ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 1 เล่ม 4 ตอนที่ 12-10

ภาค 1 เล่ม 4 ตอนที่ 12-10

[ปีเตอร์ ไปทำธุระให้หน่อยได้ไหม]

[ครับ สักครู่นะครับ]

พอเขาลงบันไดมา แม่ก็ยื่นเงินให้

[ช่วยไปซื้อแป้งข้าวจ้าวให้หน่อย ต้องเป็นแบบออร์แกนิคนะ]

[ครับ ยังไงผมก็กำลังจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว]

[ไปห้องสมุดเหรอ]

[จะไปคืนหนังสือ แล้วก็ไปทำธุระด้วยครับ]

[ไปดีมาดีล่ะ]

เสียงฝีเท้าของอินซอบที่ออกจากประตูหน้าบ้านไปเบาลง ผ่านไปประมาณสิบห้าวันแล้วตั้งแต่ที่เขากลับมาที่อเมริกา แผลของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ และสีหน้าของเขาก็สดใสขึ้นเหมือนกัน พอได้กินอาหารที่ดีต่อร่างกายที่แม่ทำให้ สีเลือดก็กลับมา

อินซอบออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แม้ทั้งหมดที่เขาทำจะเป็นแค่การเดินเล่นคนเดียวไปรอบๆ เพราะยังไม่สามารถออกกำลังกายหนักๆ ได้ แต่เขาก็ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน วิลที่อยู่ตรงลานบ้านนึกว่าจะได้ไปเดินเล่น ก็เลยตามเขาออกมาพลางส่ายหางไปด้วย

[ไม่ได้ รอก่อน วันนี้ฉันจะไปคนเดียว]

เขาใช้มือขยี้ขนวิลให้ยุ่งก่อนจะออกจากบ้านไป เขาคืนหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดและซื้อดอกไม้ที่ร้านขายดอกไม้ เป็นดอกไม้ที่เขาจะเอาไปให้เจนนี่ เขาถือช่อดอกฟรีเซียที่เธอชอบช่อหนึ่งขึ้นรถบัส

อินซอบมาถึงสุสาน เขาหาหลุมศพของเจนนี่และวางช่อดอกไม้ลง

[สุขสันต์วันเกิดนะเจนนี่ เธอยังอายุสิบเก้าอยู่สินะ]

ถ้าอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้คงสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวสนุกๆ กันมากกว่านี้ ถ้าฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เกาหลีให้ฟัง เธอจะแสดงท่าทียังไงนะ เธอจะไม่เชื่อและหัวเราะคิกคักหรือเปล่า หรือว่าจะทำตาเป็นประกายและอ้อนขอให้เล่าเรื่องต่อไปกันนะ

[ฉันนึกว่าฟิลลิปจะเป็นคนไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยอ่านจดหมายของเธอเลย เขาไม่ใช่มนุษย์ที่จะอ่านจดหมายตั้งแต่แรกอยู่แล้วน่ะ…คนที่ทำไม่ดีกับเธอดูเหมือนจะเป็นคนอื่น]

นี่เป็นบทสรุปที่อินซอบได้หลังจากที่จับตามองอีอูยอนผู้ซึ่งไม่แตะจดหมายที่ส่งมาหาตัวเองเลยมาตลอด

[ขอโทษนะ…เจนนี่ เพราะฉันไม่เชื่อเธอ ตอนนั้นไม่ว่าใครจะว่ายังไง ฉันก็ควรจะอยู่ข้างเธอสิ]

เขาพึมพำด้วยความสำนึกผิดที่เหลืออยู่ในใจพลางเช็ดน้ำตา เขานั่งคุยนั่นคุยนี่อยู่ที่หลุมศพของเจนนี่สักพัก และลุกขึ้นในตอนที่นึกขึ้นมาได้ว่าแม่สั่งให้เขาไปซื้อแป้งข้าวจ้าว

[ไว้คราวหน้าฉันจะมาใหม่นะ]

อินซอบบอกลาเจนนี่และออกไปจากสุสาน เขาลงรถในตัวเมืองก่อนจะเดินเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์

เขาส่งจดหมายที่เขียนถึงอีอูยอนเมื่อวาน และเขาก็ถามพนักงานไปรษณีย์ว่าใช้เวลาเท่าไรจดหมายถึงจะถึงเกาหลี พนักงานตอบไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้ว่าเดี๋ยวนี้ใช้เวลาประมาณสองวัน เพราะเป็นแบบด่วนพิเศษ

…งั้นก็น่าจะถึงแล้วสิ

ห้าวันก่อนเขารวบรวมความกล้าเขียนจดหมายถึงอีอูยอน หลังจากที่มาถึงอเมริกา ไม่มีการคุยโทรศัพท์ ส่งข้อความ หรือส่งอีเมลหากันเลย ทั้งอีอูยอนและชเวอินซอบต่างก็เป็นแบบนั้นกันทั้งคู่

พวกเขาไม่ได้ติดต่อหากันอย่างที่สัญญากันไว้ อินซอบยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาอยู่หลายครั้ง และลังเลว่าจะโทรศัพท์ไปหาดีไหม แต่ถ้าได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เขาจะต้องวิ่งกลับไปที่เกาหลีทันทีแน่ๆ เขาจึงอดทนไว้อย่างยากลำบาก

เขาจัดชั้นวางหนังสือ และเจอห่อกระดาษเขียนจดหมายสีส้มที่เขาซื้อมาทิ้งไว้สมัยก่อน การที่เขาตัดสินใจว่าจะเขียนจดหมายจึงเป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับคำว่ากลับกลอก หลังจากที่เขาขยำกระดาษเป็นสิบใบและโยนทิ้งลงถังขยะ เขาก็เขียนจดหมายได้สำเร็จอย่างยากลำบาก

[สวัสดีครับ ผมชเวอินซอบเองนะครับ ผมสบายดี แล้วผมก็สงสัยว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าวันหยุดพักร้อนจบลงแล้ว ผมจะกลับไปนะครับ

ป.ล. เคทสบายดีไหมครับ]

คำที่เขาเขียนเพิ่มเติมไปในบรรทัดสุดท้ายเป็นไหวพริบที่ช่วยเสริมเนื้อความในจดหมายที่แข็งทื่อ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฝั่งนั้นจะมองว่านั่นเป็นการพูดเล่นหรือไม่ก็ตาม

พอส่งจดหมายไปแล้ว อินซอบก็แอบส่องดูในตู้จดหมายอยู่วันละสองสามรอบ แม้จะรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จดหมายตอบกลับจะมา แต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาจะรอ ต่อให้ไม่ใช่จดหมายตอบกลับ แต่ถ้าอีกฝ่ายโทรศัพท์มาหา…

อินซอบส่ายหน้าไปมา

ไม่ได้ ไม่ได้ ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าอีอูยอนโทรศัพท์มาหา ต่อให้เป็นการลาพักร้อน หรือลาป่วย เขาก็อาจจะบินไปเกาหลีทันทีเลยก็ได้ นี่เป็นการตัดสินใจที่อีกฝ่ายตัดสินใจเพราะคิดถึงเรา เราจะต้องอดทนและทำตาม เอาล่ะ อดทนไว้เถอะ

…เหมือนจะลืมอะไรบางอย่างนะ อ๋า! แป้งข้าวจ้าว

อินซอบหมุนเท้าไปทางที่มีร้านขายของของคนเกาหลี แม่ของเขาซึ่งมีงานอดิเรกเป็นการอบขนมมักจะเอาแป้งข้าวจ้าวไปอบขนมปัง เขาทักทายคุณป้าเจ้าของร้านที่คุ้นหน้าพลางเดินเข้าไปในร้าน แล้วหยิบแป้งข้าวจ้าวขึ้นมา

“ไปเที่ยวกลับมาแล้วเหรอ”

คนรอบๆ ตัวคิดว่าเขาการที่เขาหายไปจากอเมริกาเป็นเวลาหนึ่งปีนั้นคือเขาไปแบกเป้เที่ยวมา อินซอบยิ้มก่อนจะตอบว่าครับ

“สนุกไหมล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับว่าสนุกไหม แต่…ผมคงลืมมันไม่ลงเลยล่ะครับ”

“เขาถึงบอกไงล่ะว่ามันดีที่คนหนุ่มสาวจะได้ลองลำบากด้วยตัวเอง”

อินซอบยิ้มให้กับน้ำเสียงอบอุ่นของคุณป้าเจ้าของร้านที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว หลังจากคิดเงินเสร็จ เขาก็หันหลังกลับ แต่คุณป้าเจ้าของร้านกลับร้องว่า ตายแล้วๆ ก่อนจะเร่งเสียงโทรทัศน์ ดูจากการที่เขาได้ยินภาษาเกาหลีแล้ว ดูเหมือนนี่จะเป็นรายการบันเทิงเกาหลีที่เธอชอบดู

เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ชื่ออีอูยอนโผล่เข้ามาในหูของอินซอบที่กำลังจะออกจากร้าน เขาหมุนตัวกลับไป และเดินไปที่เคาท์เตอร์ที่มีโทรทัศน์ตั้งอยู่อย่างรวดเร็ว

“เขาบอกว่าอะไรเหรอครับ”

“บอกว่าดาราคนไหนสักคนนี้แหละเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงน่ะ คราวที่แล้วคนที่ถ่ายละครเรื่องนั้นก็เกิดอุบัติเหตุด้วยนี่ ละครเรื่องนั้นมีคำสาปอะไรหรือเปล่านะ”

“คนที่ประสบอุบัติเหตุคือใครเหรอครับ”

“ชื่ออะไรนะ อี…”

“อีอูยอนหรือเปล่าครับ”

“ใช่แล้ว ว่าแต่มีอะไรเหรอ”

“บาดเจ็บมากไหมครับ เขาบอกหรือเปล่าครับว่าเป็นอุบัติเหตุอะไร แล้วบอกไหมครับว่าบาดเจ็บหนักแค่ไหน”

พออินซอบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหมือนกับเกือบจะร้องไห้ เจ้าของร้านก็ทำตาโตก่อนจะยักไหล่

“ฉันเองก็ไม่รู้ เห็นมันออกมาในข่าวเฉยๆ น่ะ เขาบอกว่ารถพังไปครึ่งหนึ่ง การถ่ายละครคงจบสิ้นไปตลอดกะ…นี่! ปีเตอร์!”

อินซอบวิ่งออกจากร้านไป แม้จะยังวิ่งไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ในสภาพที่เดินไม่ได้เลย เขาจะต้องกลับบ้านไปเก็บของเดี๋ยวนี้เลย

แม้พ่อกับแม่จะไม่อนุญาต แต่เขาจะอธิบายให้ฟังทีหลัง ก่อนอื่นเขาจะต้องเก็บของแล้วไปเลย ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องมีของหรอก มีแค่เงินกับพาสปอร์ตก็พอแล้ว

เราต้องเจอคนคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

วิ่งยังไม่ทันถึงหนึ่งช่วงถนนดี เขาก็หอบหายใจเสียแล้ว ความรู้สึกคลื่นไส้ตีขึ้นมา เขาก้มตัวลงและหอบหายใจอยู่สักพัก ขาของเขาเริ่มหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องไปต่อ อินซอบสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้น และเริ่มเดินต่อ

ตอนที่เขาเดินผ่านหัวมุมและมาถึงหน้าบ้าน เขาเจอเบนซ์สีดำที่ใครบางคนจอดเอาไว้ แม้จะสงสัยว่าเป็นรถของใคร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องแบบนั้น…

“…”

อินซอบหยุดเดินเหมือนกับแข็งค้างอยู่กับที่

มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านของเขา ผู้ชายคนนั้นใส่เฝือกไว้ตั้งแต่ช่วงหัวไหล่ข้างขวาลงมา เขายืนอยู่หน้าประตูหน้าบ้านด้วยใบหน้าเรียบเฉย และกำลังมาทางนี้

“…คุณอีอูยอน…?”

“คุณอินซอบ”

แม้จะเห็นกับตา แต่ก็ยังไม่เชื่อ อินซอบกะพริบตาหลายครั้ง เป็นอีอูยอนจริงๆ ตอนนี้อีอูยอนกำลังยืนอยู่หน้าบ้านของเขาที่อเมริกา

“มะ มาที่นี่ได้ยังไง…ไม่สิ ผมได้ยินว่าบาดเจ็บ ได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุ เจ็บตรงไหนมากไหม แล้วไปโรงพยาบาลหรือยัง…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

เพราะไม่รู้จะต้องเริ่มถามที่ตรงไหนก่อนดี เขาจึงพูดสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวออกมาทั้งหมด อีอูยอนทำหน้าเจื่อนลงไปนิดหน่อยก่อนจะเอ่ย

“ขอโทษนะครับ คุณอินซอบ…เคทน่ะไม่ได้สบายดีเลยสักนิด”

มีกระถางดอกไม้วางอยู่ที่ปลายเท้าของเขา และอยู่ในสภาพที่สดมากเมื่อเทียบกับการที่บอกว่าไม่ได้สบายดีเลยสักนิดแล้ว เขาถือมันขึ้นเครื่องบินมาได้ยังไงกันนะ ไม่สิ เขามาที่นี่ เพราะเคทป่วยเหรอ นี่มันอะไรกันแน่

อินซอบมองอีอูยอนด้วยสีหน้าที่บอกว่าเขาไม่เข้าใจ อีอูยอนถอนหายใจด้วยสีหน้าลำบากใจ และหรี่ตาลงอยู่ครู่หนึ่ง

“ผมได้รับจดหมายแล้วครับ”

เขาหยิบซองจดหมายสีส้มที่อินซอบส่งไปออกมาจากกระเป๋า

“เดิมทีผมคิดว่าจะให้คุณอยู่ที่อเมริกาสักหกเดือนน่ะครับ”

อินซอบเองก็คิดว่าการกลับเกาหลีในช่วงเวลาประมาณนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะคิดถึงอีอูยอนมากๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดต่อครอบครัว และถูกตัดสินว่างานที่เร่งด่วนในตอนนี้ก็คือการรักษาตัวให้กลับมาหายดีอยู่ที่นี่เสียก่อน

“ผมจงใจไม่ติดต่อมาเองครับ”

“…”

“ผมกลัวว่าจะปล่อยคุณไปไม่ได้ เพราะคิดถึงมาก ผมก็เลยไม่มาเจอหน้า”

“…”

เขาเดาเอาไว้อยู่แล้ว สมุดโน้ตที่อีอูยอนเป็นคนมอบให้ทำให้อินซอบรู้ว่าอีกฝ่ายให้วันลาพักร้อนที่ยาวนานแก่ตน และไม่ยอมมาเจอหน้า เพราะกลัวว่าจะปล่อยเขาไปไม่ได้ถ้าหากเจอกัน

“แต่ผมก็เป็นบ้า…เพราะจดหมายแค่ฉบับเดียว”

อีอูยอนได้รับจดหมายของอินซอบ และอ่านข้อความเดิมๆ อยู่ร้อยรอบ ไม่สิ อยู่พันรอบต่างหาก สุดท้ายพอเขาเกือบจะช่วยตัวเองในขณะที่อ่านจดหมาย อีอูยอนเปลี่ยนใจ เพราะคิดว่านี่มันไม่ได้แล้ว

เขาต้องไปหาชเวอินซอบ

“แล้วอุบัติเหตุ…ทำไมถึง…”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ”

ช่วยไม่ได้ ตารางการถ่ายละครถูกวางไว้แล้ว และบรรยากาศก็วุ่นวายมาก เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ถ้าเขาไม่หาข้ออ้างที่เป็นไปได้ เขาก็จะหาเวลาว่างไม่ได้ อีอูยอนจึงขับรถยนต์ของตนออกไปเงียบๆ เขาทำรถเบนซ์ที่กรรมการผู้จัดการคิมให้เป็นของขวัญพังไปครึ่งคัน พอได้ยินหมอบอกว่าถ้าพลาดไปล่ะก็ เส้นประสาทอาจจะขาดและเขาก็จะไม่สามารถใช้แขนได้อีกเลย อีอูยอนจึงบอกว่า ‘โชคดีนะครับที่ไม่ได้ขาด’ ก่อนจะยิ้ม และผลก็คือละครถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด พอทั้งคังยองโมและอีอูยอนเกิดอุบัติเหตุ บริษัทที่ลงทุนผลิตละครก็บอกว่าโชคไม่ดีตั้งแต่เริ่ม และถอนตัวออกไป แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะจับต้นคอเหมือนความดันขึ้นและทรุดลงไป แต่อีอูยอนกลับพูดได้อย่างมั่นใจว่าเขาจะไปพักแล้วค่อยกลับมา

อินซอบก้าวเข้าไปตรงหน้าของอีกฝ่ายอีกหนึ่งก้าว

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

พอเห็นว่าในดวงตาที่มีน้ำตาคลออยู่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่ส่งมาหาตนเอง อีอูยอนก็คิดว่าโชคดีมากเลยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมา

“ไม่เป็นไรครับ”

“กระดูก…หักที่ไหนหรือเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็หายแล้ว”

“จงใจทำให้เป็นแบบนี้เหรอครับ”

น้ำเสียงของอินซอบที่ถามแบบนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง พออีอูยอนยิ้มอย่างคลุมเครือและไม่ตอบอะไร อินซอบก็ขึ้นเสียง

“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะครับ ทำไม! อีกนานแค่ไหนถึงจะได้เจอกันล่ะครับ…ถ้าบาดเจ็บแบบนี้…!”

อีอูยอนใช้แขนข้างเดียวกอดอินซอบไว้

“ให้ตายเถอะ ผมคิดถึงคุณจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ”

“…”

“ผมเหมือนจะตายอยู่แล้ว ผมอ่านแต่จดหมายของคุณอินซอบอย่างเดียวทั้งวัน แล้วก็คิดถึงอยู่ตลอดเวลา ผมอยากสัมผัสคุณ…ผมมาเพราะจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ทำแบบนั้นไม่ได้เหรอครับ”

อีอูยอนเอ่ยถามอีกครั้ง

“ผมถามว่าทำแบบนั้นไม่ได้เหรอครับ”

“…”

“คุณอินซอบไม่คิดถึงผมเหรอครับ”

อินซอบพยักหน้าน้อยๆ ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย แล้วก็พูดว่า ‘คิดถึงครับ’ ด้วยน้ำเสียงที่กลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้

หลังจากที่ถอนหายใจเบาๆ อีอูยอนก็เอ่ยปากพูด

“…ผมอยากจูบคุณอินซอบครับ แต่ถ้าเป็นที่นี่จะยุ่งยากนิดหน่อย งั้นไปที่โรงแรมกันก่อนดีไหมครับ”

อินซอบเช็ดน้ำตา

“ช่วยรอสักครู่นะครับ”

“…”

อีอูยอนไม่ได้หลับเลยสักงีบในเครื่องบินจากเกาหลีมาที่อเมริกา เขาเช่ารถที่สนามบิน และในขณะที่มาที่นี่ เขาก็ขับรถโดยที่เกือบจะไม่สนใจสัญญาณจราจรอยู่แล้ว คำว่า ‘รอสักครู่’ ที่หลุดออกมาจากปากของอินซอบตอนนี้ฟังดูโหดร้ายมากกว่าคำว่ารอตลอดชีวิตสำหรับเขาเสียอีก

อินซอบไปที่หน้าประตูบ้านและวางถุงที่ถืออยู่ลง จากนั้นก็กลับมาตรงหน้าอีอูยอนพลางเอ่ย

“เรียบร้อยแล้วครับ”

***

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท