หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 595

ตอนที่ 595

บทที่ 595 ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ
ตามข้อมูลที่ทั้งสามได้มาจากเฟิ่งชิวหรันก่อนที่จะเคลื่อนย้ายมา การทดสอบเจ็ดครั้งจะเกิดขึ้นในเจ็ดวังบูชา เมื่อผ่านการทดสอบแต่ละครั้ง จะถือว่าผู้เข้ารับการทดสอบพิชิตวังนั้นๆ ได้ และจะได้รับตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาล ลดหลั่นกันไปตามลำดับชั้นของวัง

ลำดับชั้นของศิษย์มีทั้งหมดเจ็ดลำดับด้วยกัน โดยเริ่มจากต่ำสุดไปสูงสุด ลำดับแรกคือศิษย์ในนาม ตามมาด้วยศิษย์สำนักนอก ศิษย์สำนักใน ศิษย์สืบทอด ศิษย์เอก และศิษย์อุปถัมภ์!

ส่วนลำดับสูงสุดนั้นคือลำดับที่เจ็ด อันถือเป็นลำดับสุดท้าย ตำแหน่งนี้มีชื่อเรียกว่าศิษย์แห่งเต๋าไพศาล!

แต่เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่ได้บอกพวกเขา ว่าแต่ละด่านต้องเจอกับอะไรบ้าง

เมื่อมายืนอยู่เบื้องหน้าวังแรก หวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยพลังอันเปลี่ยมล้น เขาหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ก่อนจะเห็นว่าสหายทั้งสองก็ตื่นเต้นกระตือรือร้นเช่นเดียวกัน ทั้งสามมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรมาก ก่อนจะเดินเข้าไปในวังแรกอย่างพร้อมเพรียงกัน!

พวกเขามาถึงประตูหลักของวังแรกในทันที เมื่อก้าวเข้าไป หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตัวสั่นงันงก ภาพต้นไม้ยักษ์ปรากฏขึ้นบนหน้าผากเจ้าเยี่ยเหมิง ต้นไม้ยักษ์นั้นคือตัวแทนของวิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณที่นางได้รับสืบทอดมา ตราประทับของเกราะจักรพรรดิบนหัวใจของหวังเป่าเล่อก็สว่างวาบขึ้นเช่นกัน รางกับกำลังถูกพลังที่มองไม่เห็นตรวจสอบโดยถี่ถ้วน!

ร่างของทั้งสองเริ่มเลือนราง ก่อนจะหายไปโดยสิ้นเชิงราวกับถูกเคลื่อนย้าย ทั้งสองไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นที่รับบททดสอบ แต่เป็นในวังบนยอดเขาลำดับที่สี่!

มีแต่กงเต๋าเท่านั้นที่เริ่มรับการทดสอบที่วังแรก เพื่อรับตำแหน่งศิษย์ในนาม!

ด้วยวิชาสืบทอดที่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น ตำหนักวังบูชาจึงส่งพวกเขาไปยังวังที่สี่ทันที โดยไม่ต้องเผชิญกับสามวังแรก ทั้งสองไม่ต้องชิงตำแหน่งศิษย์ในนาม แต่ตรงไปรับการทดสอบเป็นศิษย์สืบทอดได้ทันที!

หากทั้งสองสอบผ่าน ก็จะได้รับตำแหน่งศิษย์สืบทอดไปครอบครอง แต่แม้ไม่ผ่านก็จะยังถือว่าเป็นศิษย์สำนักใน!

นี่คือเอกสิทธิ์ของผู้ที่ได้รับการยอมรับจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏตัวขึ้นหน้าโถงของวังที่สี่ แรงดึงดูดมวลมหาศาลดูดทั้งสองเข้าไปภายในทันที เมื่อสหายทั้งสองเข้ามาภายในวัง ภาพที่พวกเขาเห็นมีเพียงความพร่ามัว ทั้งสองไม่เห็นแม้กระทั่งกันและกันราวกับถูกจับแยก หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ตัวคนเดียวในความว่างเปล่าที่โอบล้อม

หวังเป่าเล่อระวังตัวขึ้นมาทันทีขณะตรวจสอบสภาพแวดล้อม เสียงเย็นไร้อารมณ์ดังขึ้นข้างหูเขา ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น

“บททดสอบแห่งศิษย์สืบทอด ณ วังที่สี่ จะเริ่มขึ้นภายในหนึ่งร้อยลมหายใจ

“ผู้เข้ารับการทดสอบจงเตรียมตัวให้พร้อม เจ้าจะถูกส่งไปยังดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ แห่งระบบดาวฤกษ์นัยน์ตาพิจิก เจ้าต้องสังหารผู้ฝึกตนต่างดาวที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของเมฆหมุนทมิฬ ที่เข้ายึดครองดาวเคราะห์แคระนี้ สังหารผู้ฝึกตนเหล่านี้ให้สิ้นซากเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ!

“ผู้ฝึกตนต่างดาวนี้มีปราณระดับจุติวิญญาณ หากผู้เข้ารับบททดสอบไม่ทักท้วงอันใดภายในเวลาหนึ่งร้อยลมหายใจ จะถือว่าเจ้ายินดีเข้ารับการทดสอบนี้! นี่ไม่ใช่ภาพมายา หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากผู้เข้ารับการทดสอบเสียชีวิต เจ้าจะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ล่วงลับ หากเจ้ายอมแพ้ก่อนการทดสอบจบ เจ้าจะต้องพยายามเอาตัวรอดต่อไปอีกหนึ่งเดือนจึงจะได้กลับมา!”

เมื่อเสียงเย็นนั้นหยุดประกาศ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ในมนต์สะกด เขาได้ยินทุกคำพูด และเข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน แต่ข้อความนั้นก็ยังทำให้เขารู้สึกกังขา

ระบบดาวฤกษ์นัยน์ตาพิจิก ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ ผู้ฝึกตนต่างดาวที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของเมฆหมุนทมิฬ บ้าอะไรกันนี่… หวังเป่าเล่อกระพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เขาก็ยังเตรียมตัวให้พร้อม แม้จะเต็มไปด้วยความกังขา เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองอยู่ในภาพพร้อมออกศึก เขานับถอยหลังรอหนึ่งร้อยลมหายใจในใจ เมื่อเวลานั้นจบลง ชายหนุ่มก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยแรงมหาศาลที่รุงแรงกว่าที่เคยเจอมา แรงนั้นระเบิดออกในความว่างเปล่าที่เขาอยู่เมื่อก่อนหน้า!

แรงระเบิดนั้นมาพร้อมกับพายุที่มองไม่เห็น ที่หมุนวนรอบกายด้วยความเร็วสูงและพัดพาเขาจากไป ดวงตาของหวังเป่าเล่อมืดสนิท เขารู้สึกราวกับเวลาหนึ่งศตวรรษเดินหน้าผ่านไป แต่ก็รวดเร็วเหมือนพริบตาเดียวเช่นกัน เมื่อเขากลับมามองเห็นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยืนอยู่ในวังที่สี่อีกต่อไปแล้ว

ร่างกายของเขาถูกโอบด้วยกระแสความร้อน!

อากาศร้อนระอุแห้งผาก อบอวลไปด้วยกลิ่นประหลาดที่ทำให้ผู้ที่สูดเข้าไปรู้สึกไม่สบาย แม้หวังเป่าเล่อจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังรู้สึกคลื่นไส้ทันทีที่ได้กลิ่น ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะอาเจียนขณะกอดพุงของตนเองไว้

แต่เขาก็โก่งคอเปล่าโดยไม่มีอะไรออกมา เมื่อชายหนุ่มก้มหน้าก็เห็นพื้นที่อยู่แทบเท้า พื้นนั้นเป็นทรายสีดำสนิท เวลาผ่านไปสักพักจนหวังเป่าเล่อเริ่มเคยชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าซีดเซียว ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารอบตัวเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา!

ทะเลทรายทั้งหมดนั้นเป็นเม็ดทรายสีดำสนิท ทำให้ผู้ที่ติดอยู่ข้างในรู้สึกเหมือนโดนจองจำอย่างบอกไม่ถูก ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีเขียว แตกต่างจากท้องฟ้าที่ชายหนุ่มคุ้นเคยโดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ยังไม่มีแท้กระทั่งดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ มีเพียงจุดกำเนิดแสงสว่างรูปร่างประหลาดไม่สม่ำเสมอ ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าสีเขียว ส่องแสงให้พื้นดินสว่าง แต่ก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกประหลาดน่าขนลุกไปในเวลาเดียวกัน

หวังเป่าเล่อมีสีหน้างุนงง เขาสำรวจดูพื้นที่รอบกายเรียบร้อยแล้วหลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายมา และเข้าใจว่าไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังยืนตัวแข็งอยู่เป็นเวลานาน

“ที่นี่คืออารยธรรมนอกโลกเช่นนั้นหรือ” เขาพึมพำกับตนเอง พลางคิดสงสัยว่าเหตุใดตนเองจึงหายใจเอาอากาศรอบตัวเข้าไปได้ ทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าอารยธรรมนอกโลกที่ว่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่

สำหรับประการแรกนั้นเขามีคำตอบให้ตนเอง นั่นก็เพราะว่าร่างกายของเขาเป็นร่างกายของผู้ฝึกตน หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาไม่ เขาจึงเดินทางผ่านจักรวาล และทานทนสภาพอากาศแสนโหดร้ายทารุณบนดาวแปลกประหลาดได้

แต่คำถามที่สองนั้นหวังเป่าเล่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเสียที ชายหนุ่มคงจะไม่หัวเสียมากนัก หากไม่ได้เป็นเพราะตนเองเคยเล่นเกมเทพจุติมาก่อน เมื่อมีประสบการณ์เรียบร้อย เขาจึงต้องมองไปรอบๆ และจับร่างกายตนเอง นอกจากนี้ยังเปิดกำไลคลังเวทของดูเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็สรุปได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในโลกมายาแต่อย่างใด

ทุกสิ่งที่นี่เป็นของจริง!

ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าที่นี่คือไอ้ระบบพิจิกวิญญาณทมิฬอะไรนั่น… หรือชื่ออะไรก็ไม่รู้ทำนองนี้ แต่หากมีไอ้ผู้ฝึกตนต่างดาวเมฆหมุนทมิฬอะไรนั่นจริง แล้วตำหนักวังบูชารู้ได้อย่างไรว่ามีผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่จริง ก็สำนักวังเต๋าไพศาลมันล่มสลายไปแล้วมิใช่หรือ…

แล้วไอ้การทดสอบนี่มันมีที่มาอย่างไร ข้ากับเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับการทดสอบเดียวกันหรือไม่ ประกายส่องวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อ สมองของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย จนอดไม่ได้ที่จะถามแม่นางน้อย

นี่ก็เพราะว่าแม่นางน้อยเคยบอกเขาว่า เมื่อชื่อของเขาถูกจารึกอยู่บนแทนสลักเต๋า นางจะช่วยให้เขาบรรลุขั้นปราณ

ความสงสัยของหวังเป่าเล่อตอบได้ง่ายดายมาสำหรับแม่นางน้อย ดังนั้นนางจึงไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในคราวนี้ เสียงของแม่นางน้อยที่ก้องอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ เต็มไปด้วยความอวดดีไม่ยี่หระเหมือนผู้ที่รู้ทุกอย่างบนในจักรวาล

“คำถามนี้…”

“ข้ารู้ๆ แม่นางน้อยรู้คำตอบแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สามขวบ…” หวังเป่าเล่อกระแอม ก่อนพูดตอบแม่นางน้อยในจิตตนเอง ขณะมองไปรอบๆ กาย

“ผิดแล้ว! ข้ารู้คำตอบมาตั้งแต่ขวบเดียวต่างหากเล่า!” นางทำเสียงไม่พอใจพร้อมพ่นลมเยาะเย้ย จากนั้นนางจึงพูดต่อเพื่อไขข้อสงสัย

“ตำหนักวังบูชาก็เหมือนกันกับดินแดนแห่งสัมผัสทั้งห้า แรกเริ่มเดิมทีตำหนักนี้ไม่ได้ถูกสร้างโดยสำนัก แต่เป็นวัตถุต่างดาวที่ทางสำนักค้นพบ จากนั้นตำหนักก็ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้กลายเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบศิษย์ประจำสำนัก บริเวณที่จัดการทดสอบทั้งหมดเป็นอาณานิคมของสำนักวังเต๋าไพศาล ต่อให้สำนักของเราล่มสลายลง อาณานิคมเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ แม้จะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปมาก แต่ก็ยังมีคนคอยตรวจความเรียบร้อยอยู่เสมอ”

“เอาละ เจ้าจงทำภารกิจให้สำเร็จเสีย หลังจากที่ได้สถานะศิษย์สืบทอดมาแล้ว ก็ไปทำบททดสอบต่อไปเพื่อเป็นศิษย์เอกที่วังต่อไป เมื่อได้รับภารกิจถัดไปเรียบร้อยแล้ว จงปลุกพลังของฝักกระบี่ในกายเจ้า หากทำเช่นนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่เจ้าจะถูกส่งไปยังที่ๆ ข้าจะยื่นมือมาช่วยเจ้าได้ หากเจ้ามีข้าช่วยเหลือ การเป็นศิษย์เอกก็ง่ายนิดเดียว!” แม่นางน้อยประกาศอย่างภาคภูมิใจ หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบๆ ก่อนรีบพูดยกยอปอปั้นนางในทันที จากนั้นเขาก็หันตัวพุ่งไปข้างหน้า

ภารกิจคือให้ฆ่าไอ้ผู้ฝึกตนเมฆหมุนทมิฬ แต่ข้าจะไปหามันจากที่ไหนในดาวที่แสนกว้างใหญ่เช่นนี้ ข้ามีเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น หวังเป่าเล่อไม่มีแผนการใดๆ ทั้งสิ้น เขาเพิ่มความเร็วขึ้นท่ามกลางความเงียบ ความเร็วของเขามากเสียจนทำให้เกิดเสียงระเบิดดังปัง หลังจากที่พุ่งไปข้างหน้าอยู่ราวสิบห้านาทีด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มก็ชะงักงันกลางอากาศ

เขาหันหน้าไปมองทางขวาสองสามวินาที ราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองด้านซ้าย ในระยะไกล มีแหล่งชุมชนหน้าตาเหมือนหมู่บ้านปรากฏขึ้น!

แหล่งชุมชนนั้นไม่ได้ใหญ่ ตึกรามบ้านช่องดูเก่าโทรมและมีหน้าตาเหมือนกระท่อมดินเหนียว บ้านเหล่านั้นมีอยู่ราวร้อยหลังได้ ในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อเห็นชนพื้นเมืองแห่งดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ!

ภาพที่เขาเห็นนั้นต่างจากสิ่งมีชีวิตบนสหพันธรัฐ สำนักวังเต๋าไพศาล และอารยธรรมวีรบุรุษโดยสิ้นเชิง ชนพื้นเมืองบนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬนั้น มีรูปร่างผอมแห้งและมีศีรษะเล็ก แต่กลับมีขาที่แข็งแรงมาก เพียงแค่ความยาวขาก็ปาไปครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมดแล้ว

หากมองเร็วๆ พวกเขาดูเหมือนเป็ดไม่มีผิด

นอกจากนี้ทุกคนยังมีผิวสีดำ ดวงตาสองคู่มีเพียงตาขาวไร้ซึ่งตาดำ ขณะนี้ทุกคนกำลังรวมตัวกันที่ใจกลางหมู่บ้าน และกำลังสวดมนต์บูชารูปปั้นอยู่

รูปปั้นนั้นดูแปลกประหลาดยิ่งกว่าคนบูชาเสียอีก กะโหลกของรูปปั้นดูเหมือนชายชราที่ใบหน้าเหี่ยวย่นทุกกระเบียดนิ้ว แต่ลำตัวกลับมีรูปร่างเหมือนนกสีดำที่เรืองแสงสีแดงออกมา

หวังเป่าเล่อประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้อีกนิด ทันทีที่เขาก้าวขา เหล่าชนเผ่าในหมู่บ้านก็พากันหันขวับมามองเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นผู้มาเยือนจากต่างดาว สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยน พวกเขากรีดร้องตะโกนภาษาที่หวังเป่าเล่อไม่รู้เรื่อง และดูเหมือนจะกลัวจนรีบหนีตายหัวซุกหัวซุน…

หากหวังเป่าเล่อเข้าใจภาษานั้น เขาคงประหลาดใจแน่นอน เนื่องจากทุกคนพากันตะโกนว่าปีศาจได้มาเยือนแล้ว ในสายตาของชนพื้นเมืองเหล่านั้น ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิงคนนี้ เปรียบเสมือนปีศาจร้ายน่าสยองขวัญที่ต้องรีบหนีไปให้ไกลไม่มีผิด!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท