ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 1 ตอนที่ 1-5

ภาค 2 เล่ม 1 ตอนที่ 1-5

“นายทำได้ สู้ๆ”

ชเวอินซอบจอดรถตู้ก่อนจะพูดให้กำลังใจตัวเอง แม้จะบอกว่าเขาเคยลองทำมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว และในช่วงเวลานั้นทั้งสภาพแวดล้อมของแวดวงธุรกิจและความชื่นชอบของอีอูยอนอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

“เครื่องดื่ม ข้าวเช้า ส่วนเสื้อผ้ากับทรงหน้าทางนั้นจะทำให้เอง และเราก็กรอกสถานที่ไว้แล้ว ดีล่ะ”

อินซอบหายใจเข้าลึกๆ และลงจากรถ เขาหลับๆ ตื่นๆ เพราะคิดว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะได้เริ่มทำงานแล้ว เขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด พอมาเอารถที่บริษัทและมาถึงบ้านของอีอูยอน ก็ยังเหลือเวลามากกว่าที่คิด ชเวอินซอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาอีอูยอน

[ผมอยู่ข้างล่างแล้วครับ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขอขึ้นไปได้ไหมครับ]

อินซอบรออยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับมา

ทำยังไงดีล่ะ

ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องคิดมากเลย ถ้าไม่ได้คบกัน ก็แค่รอจนกว่าจะถึงเวลา และพาอีอูยอนไปส่งก็พอแล้ว ชเวอินซอบคิดอยู่สักพัก และเดินไปที่ประตูทางเข้าส่วนกลาง เขาไม่จำเป็นต้องขอให้ใครเปิดประตูให้ เพราะเขารู้รหัสผ่านอยู่แล้ว

อินซอบจับโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาที่ขึ้นลิฟต์ไป ถ้าเห็นข้อความก็น่าจะโทรศัพท์มาหาแล้วสิ แต่นี่กลับไม่มีการติดต่ออะไรมาเลย

หลับอยู่หรือเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็น่าจะขึ้นไปหาตอนนี้ได้ เพราะเราต้องปลุกเขา…เขาจะสายไม่ได้ ถ้าอยากเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่เข้มงวดก็ต้องทำแบบนี้แหละ

ชเวอินซอบหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเองก่อนจะพยักหน้า พอมาถึงหน้าประตูบ้านของอีกฝ่าย อินซอบก็ลังเลอีกครั้ง

ต้องกดกริ่งหรือว่าจะกดรหัสผ่านเข้าไปเลยดีนะ

เขาครุ่นคิดก่อนจะกดกริ่ง เขานึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าให้รักษาความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงของอีอูยอนผ่านอินเตอร์โฟน

[‘ใครครับ’]

“ผมเองครับ”

หลังจากนั้นประตูก็เปิด

“ทำไมถึงไม่เข้ามาเลยล่ะครับ กดกริ่งทำไม”

อีอูยอนออกมาในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันอยู่ที่เอว เพราะเขากำลังอาบน้ำอยู่ เขาเอ่ยถามเหมือนสงสัย

“เอ่อ คือว่า…”

อินซอบเห็นร่างที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังกะพริบตาปริบๆ ด้วยความตกตะลึงเหมือนเป็นเด็กนักเรียนหญิง ม.ปลาย ที่อยู่ต่อหน้าดาราที่ชอบ

“เข้ามาสิครับ”

อีอูยอนจับแขนของอินซอบลากเข้าไป แม้จะได้ยินเสียงประตูปิดตามหลัง แต่อินซอบก็ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ ร่างกายเปลือยเปล่าของอีอูยอนอยู่ในระยะที่แค่ยื่นมือออกไปก็สามารถสัมผัสได้แล้ว ถึงจะพยายามไม่สนใจ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่ดี

ไม่ได้ เราต้องเป็นมืออาชีพ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เราได้กลับมาทำงานอีกครั้ง

อินซอบทำใจให้สงบ เขารวบรวมความกล้าก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“มาเร็วนะครับเนี่ย”

อีอูยอนแกะผ้าเช็ดตัวที่พันเอวอยู่ออกในที่สุด อินซอบกลั้นหายใจดังเฮือก และรีบหันหน้าหนีไปอีกครั้ง

“…ครับ ผมกลัวว่ารถจะติดน่ะครับ”

“ไปนั่งที่โซฟาสิครับ เดี๋ยวผมอาบน้ำเสร็จแล้วจะออกมา”

“เข้าใจแล้วครับ”

อินซอบนั่งลงบนโซฟาทั้งๆ ที่ยังเต็มไปด้วยความประหม่า ไหล่ของเขาคลายลงหลังจากที่อีอูยอนเข้าห้องน้ำไปแล้ว

เขาสมเพชตัวเอง พวกเขาควรจะดูเหมือนดารากับผู้จัดการส่วนตัวธรรมดาแท้ๆ แต่เขากลับเป็นแบบนี้ คนทั้งโลกจะต้องมองออกแน่ๆ ว่าเขาชอบอีอูยอน

แต่รูปร่างแบบนั้นน่ะ

“…เฮ้อ”

อินซอบถอนหายใจก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบแก้ม

ไหล่ของควอเตอร์แบก ราวกับเขาได้ยินเสียงสั่นๆ เพราะความตื่นเต้นของเจนนี่ ร่างกายของอีกฝ่ายเป็นร่างกายที่พวกแฟนๆ สรรเสริญว่าเป็นสัดส่วนมหัศจรรย์ แล้วช่วงนี้อีกฝ่ายก็ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นด้วย …นี่เรากล้าคบคนแบบนั้นเชียวเหรอ

“คิดอะไรขนาดนั้นครับ”

“ครับ? อ๋อ ก็แค่…”

อีอูยอนที่สวมกางเกงชั้นในสีดำใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมพลางเดินมาที่ห้องนั่งเล่น เขาเหมือนกับรูปปั้นที่มีชีวิต อินซอบเบนสายตาหนีและตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

“ตารางงานวันนี้คือการถ่ายภาพนิ่งนะครับ ส่วนผมไม่ต้องไปทำที่ร้าน แต่ทางนั้นจะทำให้เองที่นนั่นเลยครับ เสื้อผ้าก็เหมือนกัน”

เนื่องจากเป็นการถ่ายภาพนิ่ง จึงมีทีมทำผมและทีมเสื้อผ้าไว้ต่างหากอยู่แล้ว อินซอบพูดตามที่นึกขึ้นมาได้ เพื่อที่จะไม่ให้ถูกจับได้ว่าความจริงแล้วตัวเองกำลังประหม่า

“คุณอินซอบเอาผมหน้าม้าขึ้นด้วยนี่ครับ”

“ผมเตรียมอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ไว้แล้วครับ คุณต้องถ่ายงาน เพราะงั้นไม่ควรทานอาหารที่ย่อยยากนะครับ”

ในบทสนทนานี้ ต่างฝ่ายต่างพูดสิ่งที่ตนอยากพูดออกมาโดยที่ไม่มีการสื่อสารกันเลย

“สูทนี่ใช่ตัวที่เคยใส่ก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ”

“ครับ เป็นแบบนั้นครับ งั้นถ้าเตรียมตัวเสร็จแล้วก็ออกมานะครับ ผมจะรอ”

อีอูยอนยิ้มพลางเอาเข่าของตัวเองมาวางไว้ตรงหว่างขาของอินซอบ อินซอบตกใจเหมือนโดนไฟจี้ และเอนตัวไปด้านหลัง

“ยังเหลือเวลาอยู่อีกหน่อยนะครับ”

“ครับ…”

เขาพยายามที่จะไม่มอง อินซอบดึงสายตาออกมาจากแผงอกที่แข็งแกร่งของอีอูยอนที่เดินเข้ามาประชิดตัว

“ผมไม่เห็นคุณอินซอบทำท่าทางแบบนี้มานานแล้ว นึกถึงเมื่อก่อนเลยนะครับ ผมคิดว่าคุณไม่เหมาะจริงๆ แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่เหมาะเหมือนเดิม”

หยดน้ำที่หยดลงมาจากเส้นผมที่เปียกชื้นเปียกเสื้อเชิ้ตของอินซอบ

“อ๋า เห็นหัวนมซะแล้ว”

อีอูยอนใช้นิ้วชี้ลูบหน้าอกของอินซอบ อินซอบตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นพร้อมกับกลั้นหายใจไปด้วย

สำหรับอีอูยอนแล้ว นี่เป็นความงามที่ไม่สามารถหาได้จากนักแสดงคนอื่น มีแฟนๆ กลุ่มหนึ่งบอกว่าถ้าได้ยินบทสนทนาหยาบคายที่อีอูยอนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้วล่ะก็ ต่อให้ตายก็ไม่เป็นไร

ชเวอินซอบเป็นแฟนคลับตัวยงที่ได้ยินบทสนทนาหยาบคายนั้นจนเกือบจะตายทุกวัน เขารีบลุก เพราะรู้ถึงอานุภาพนั้นดีกว่าใคร

“รถ รถจะติดนะครับ”

“ครับ?”

“ผมขอลงไปสตาร์ทรถทิ้งไว้ก่อนนะครับ”

อินซอบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ และรีบเดินไปที่ประตูหน้าบ้าน เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากทางด้านหลัง

“โอเคครับ เดี๋ยวผมตามลงไปนะครับ”

อินซอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตึกตัก จึงรีบปิดประตู อินซอบใช้ฝ่ามือตบแก้มตัวเองแปะๆ ในขณะที่เดินไปที่ลานจอดรถ

ตั้งสติซะ ผู้จัดการส่วนตัวที่สุขุม ผู้จัดการส่วนตัวที่เข้มงวด ความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจ…เราจะทำได้ไหมนะ

หลังจากขึ้นมานั่งประจำที่นั่งคนขับรถ อินซอบก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด

เขาบอกกรรมการผู้จัดการคิมว่าเขาอยากช่วยให้อีอูยอนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ แต่ความจริงแล้วเขามีความต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายเท่านั้น

ดูสิครับ กรรมการผู้จัดการ ผมเป็นคนเลวขนาดนี้เลยล่ะครับ พระผู้เป็นเจ้า ขอโทษนะครับ วันนี้ลูกมีความตั้งใจที่ชั่วร้ายอีกแล้ว

ประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดออกในตอนที่อินซอบสวดภาวนาสำนึกบาป

“หลับตาทำอะไรอยู่เหรอครับ”

“ผมสวดภาวนาอยู่น่ะครับ…ทำไมถึงไม่เช็ดผมให้แห้งล่ะครับ คุณจะเป็นหวัดเอาได้นะ”

อินซอบมองผมหมาดๆ ของอีอูยอนพลางยื่นปาก

“แค่นี้ผมไม่เป็นหวัดหรอกครับ”

พออีอูยอนขึ้นมานั่งบนรถ อินซอบก็ทำหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับส่ายหน้า

“ไปนั่งข้างหลังครับ”

“…”

“ไม่ได้ครับ”

อินซอบห้ามอีอูยอนอย่างเฉียบขาด เขาสลักคำว่าผู้จัดการส่วนตัวที่เฉียบขาดและเป็นมืออาชีพไว้ในใจ

อีอูยอนเหม่อมองอินซอบขณะปิดประตูรถ และไปนั่งที่เบาะหลัง

“ผมเตรียมของกินง่ายๆ กับน้ำไว้ให้ตรงนั้นแล้วนะครับ”

มีถั่ว แซนด์วิช และน้ำดื่มวางเอาไว้ อีอูยอนหมุนฝาขวดน้ำแร่ก่อนจะฝังตัวเองลงกับเบาะรถ

อินซอบเหลือบมองข้างหลังผ่านกระจกมองหลัง พวกเขาสบตากัน อีอูยอนขยิบตาข้างหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“งั้นผมจะออกเดินทางแล้วนะครับ”

แม้จะพูดนิ่งๆ แต่อีอูยอนกลับเห็นว่าต้นคอของอินซอบเป็นสีแดง

***

“ถึงแล้วครับ”

หลังจากจอดรถด้วยฝีมือที่ลื่นไหลแล้ว อินซอบก็หันกลับไปมองด้านหลังพลางพูด

“ยังจอดรถได้เก่งเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

แม้จะดีใจที่ได้รับคำชม แต่อินซอบก็พยายามที่จะไม่แสดงออกและตอบอย่างราบเรียบ

“ผมจะเปิดประตูให้นะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองได้”

อีอูยอนลงจากรถก่อนจะหรี่ตาและเอ่ยเรียกว่า ‘คุณอินซอบ’ เพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ครับ?”

“จนกว่าผมจะถ่ายเสร็จ คุณจะไปพักที่ไหนก่อนไหมครับ”

“พูดอะไรล่ะครับ ผมก็ต้องอยู่ด้วยสิครับ”

“มันใช้เวลานานนะครับ”

“ผมรู้ครับ”

ปกติแล้วการถ่ายภาพนิ่งจะใช้เวลาประมาณครึ่งวัน เขารู้ว่ามันจะเป็นไปในรูปแบบไหน เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วสองสามครั้ง

“แต่คุณห้ามทำงานหนักเกินไปนี่ครับ”

ตอนที่ถ่ายภาพนิ่ง ผู้จัดการส่วนตัวแทบจะไม่มีงานที่ต้องทำ พวกเขาแค่นั่งอยู่ตรงมุมสตูดิโอ วิ่งไปหาดาราในระหว่างที่ถ่ายทำ และทำงานทั้งหมดที่ถูกใช้ให้ทำ คอยชมในตอนที่ถ่ายรูปเสร็จ หรือรองรับอารมณ์หงุดหงิดเท่านั้นเอง แต่เนื่องจากอีอูยอนเป็นพวกไม่ต้องการทั้งสามอย่างนั้น อินซอบจึงทำเพียงยื่นน้ำให้อีกฝ่ายอย่างเดียว

“ผมนั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร”

“รู้ไหมครับว่าวันนี้เป็นการถ่ายภาพนิ่งเกี่ยวกับอะไร”

“รู้ครับ เป็นการถ่ายภาพโปรโมทนาฬิกาครับ”

อินซอบเริ่มศึกษาอย่างตั้งใจทันทีที่ได้ตารางงาน เป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้วที่เขาจะค้นหาภาพลักษณ์ ประวัติความเป็นมา และสินค้าของแบรนด์ นาฬิกาของแบรนด์นี้เรือนหนึ่งราคาเกือบจะพอๆ กับรถยนต์หนึ่งคัน และเป็นแบรนด์ที่หรูหราที่สุดที่ถูกนับเป็นนาฬิกาในฝันของเหล่าสุภาพบุรุษ อินซอบคิดว่ามันเหมาะกับภาพลักษณ์ที่หรูหราของอีอูยอนมาก

“ผมต้องถ่ายกับนางแบบด้วยนะครับ”

อินซอบกะพริบตาอยู่สองสามที

“ผมรู้ครับ”

อีอูยอนทำตามยิ้ม ตอนนั้นเองอินซอบจึงได้รู้ถึงความตั้งใจของอีอูยอน

“ผมรู้จักแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวครับ”

เขาเคยดูภาพยนตร์กับละครที่อีอูยอนแสดงอยู่บ่อยๆ ในบรรดาผลงานพวกนั้น แค่ฉากเลิฟซีนที่ถ่ายทำกับนักแสดงผู้หญิงอย่างเดียวก็มีเป็นคันรถบรรทุกแล้ว อินซอบจ้องอีอูยอนตรงๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ผมจะไม่ทำให้คุณอีอูยอนต้องเป็นกังวลด้วยเรื่องแบบนั้นหรอกครับ”

อีอูยอนบอกว่า ‘โอเคครับ’ พร้อมกับลงจากรถไป อินซอบถือเครื่องดื่มที่เอามาแจกพวกสตาฟอย่างชำนาญ และเดินตามหลังอีอูยอนไป

***

“รูปปั้น รูปปั้นชัดๆ ให้ตายเถอะ ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะออกกำลังเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ดูรูปร่างเขาสิ”

พอเห็นอีอูยอนสวมสูทสีกรมท่า ผู้กำกับมาจินยองก็พูดชื่นชมไม่ยอมหยุด เขาเป็นผู้กำกับที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความจู้จี้จุกจิก ต่อให้นายแบบหรือนางแบบเป็นคนที่มีชื่อเสียงขนาดไหน แต่ถ้าหากไม่ถูกใจตัวเองล่ะก็ เขาก็จะด่าออกมาทั้งหมด

“ขอบคุณครับ รบกวนด้วยนะครับ”

พอเห็นอีอูยอนยิ้มอย่างนุ่มนวลและกล่าวขอบคุณ ใบหน้าของผู้กำกับและสตาฟผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ก็สดใสอิ่มเอิบ

‘ตอนที่อีอูยอนเข้ามาที่บริษัทของเราครั้งแรกน่ะ ตอนแรกฉันนึกว่าเขาเป็นคนบ้าเสียอีก เสื้อผ้าก็เก่า ผมเผ้าก็ยาวไม่เป็นทรง เพราะแบบนั้นฉันก็เลยเรียกยามมาไล่เขาไป เหอะ ฉันบ้าไปแล้ว ตอนนั้นหน้าของหมอนั่นดูไม่ได้เลยล่ะ’

นี่เป็นการพูดตอนเมาเหล้าครั้งที่สิบแปดของกรรมการผู้จัดการคิม พอพูดมาถึงตรงนั้นกรรมการผู้จัดการคิมก็จะดื่มเหล้าที่ถืออยู่จนหมด และต่อจากนั้น

‘แต่ก็ยังสมบูรณ์แบบ’

เขาพึมพำคำพูดนั้นออกมาด้วยสีหน้าที่ทุกข์ยากที่สุดในโลก ก่อนจะเริ่มดื่มเหล้าเข้าไปอีกครั้ง

สมบูรณ์แบบ อินซอบลองคิดทบทวนถึงคำพูดนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนเงียบๆ คนเดียว อีอูยอนสมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกเขาสบตากัน อีอูยอนแอบส่งตายิ้มให้อินซอบ อินซอบรีบหลบสายตา เขากลัวว่าจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวจึงหยิกต้นขาของตัวเอง และพยายามรักษาสีหน้าที่เรียบเฉยเอาไว้ อีอูยอนเหลือบมองท่าทีนั้นของอินซอบและกลั้นยิ้มเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มปรึกษาเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์ของวันนี้กับผู้กำกับ

ชเวอินซอบถูต้นขาที่เจ็บแสบก่อนจะมองไปรอบๆ

“เธอบอกว่านางแบบเป็นใครนะ”

แม้แต่อินซอบก็ยังหูผึ่งให้กับเรื่องราวที่เขาสงสัยตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก่อนที่จะได้คำตอบกลับมา พวกคนที่อยู่ตรงประตูก็เริ่มส่งเสียงเอะอะ ความสนใจทั้งหมดมุ่งไปทางนั้นโดยอัตโนมัติ อินซอบที่หันหน้าไปอย่างไม่ใส่ใจกลั้นหายใจดัง เฮือก ดวงตาสีเขียวกับผมสีบลอนด์ที่ดูสุขภาพดี และใบหน้าที่ได้สัดส่วนอย่างสมบูรณ์แบบให้ความรู้สึกเหมือนเธอเป็นเทพธิดาที่อยู่ในเทพนิยายมากกว่าเป็นมนุษย์ รูปร่างเย้ายวนที่ถูกปกปิดอย่างน่าหวาดเสียวด้วยชุดเดรสซาตินสีดำชวนให้รู้สึกหวิวๆ

“…ไม่ใช่มนุษย์แล้ว นั่นน่ะ เอลฟ์ชัดๆ”

“สวยจริงๆ ดูความยาวของขาสิ”

อินซอบกะพริบตากลมโตอยู่สองสามครั้ง เขาไม่คิดเลยว่าจะมีนางแบบต่างชาติมา และยังเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงพอสมควรอีกด้วย ไนม่า แคมป์มาน เป็นนางแบบที่แม้กระทั่งอินซอบที่ใกล้เคียงกับการเป็นคนธรรมดาในวงการนี้ยังเคยได้ยินชื่อ

รู้ตัวอีกทีคนทั้งสองก็กำลังทักทายกัน และพูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ

“อีอูยอนเนี่ยเก่งภาษาอังกฤษมากเลยนะ”

“นั่นมันระดับเจ้าของภาษาเลยนะ”

“ทำไมล่ะ คือว่านะ มีข่าวลือว่าอีอูยอนเป็นลูกนอกสมรสของนักธุรกิจที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงชาวต่างชาติล่ะ…”

พวกสตาฟกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงเบาๆ เพราะรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถ้าเป็นปกติ พวกผู้จัดการส่วนตัวจะตอบโต้พวกข่าวลือไปตามคู่มือคำตอบที่ถูกป้อนมา แต่อินซอบกลับไม่พูดอะไรแม้จะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบอย่างชัดเจน อินซอบจดจ่อและมองร่างของอีอูยอนที่ยืนอยู่ในสถานที่ถ่ายทำที่ไม่ได้เห็นมานาน

“ว่าแต่แค่ยืนด้วยกันสองคนก็เหมาะสมกันแล้วเนอะ”

“นั่นสิ ปกติอยู่กับพวกนางแบบชาวต่างชาติ รูปภาพจะใช้ไม่ได้เลยนะ”

แม้จะเป็นชายหญิงที่ดูดีขนาดไหน แต่นางแบบและนายแบบชาวตะวันตกและชาวเอเชียก็เข้ากันได้ยาก ไม่ใช่แค่ความต่างของรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังมีความขัดแย้งที่ซับซ้อนอันมาจากความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม เช่น ทัศนคติและท่าทางอีกด้วย ดังนั้นพวกสปอนเซอร์จึงยืนกรานที่จะใช้นายแบบและนางแบบชาติเดียวกันเท่าที่จะทำได้ นั่นไม่ใช่เพราะการแบ่งแยกเชื้อชาติ แต่เป็นเพราะเข้าใจว่าพวกผู้บริโภคไม่สามารถชื่นชมความแตกต่างนั้นเป็นความงดงามได้ ไม่ว่าจะถ่ายได้ดีอย่างไรก็เป็นการรวมตัวที่เท่าทุนอยู่ดี

“ต้องยอมรับเลยนะว่าอีอูยอนเป็นคนที่ทำให้เคมีระหว่างกันมีชีวิตจริงๆ”

“แค่สองคนนั้นถ่ายรูปด้วยกัน เคมีระหว่างกันก็มีชีวิตแล้ว”

เขาได้ยินเสียงหัวเราะ

แม้คนอื่นๆ จะพูดกระซิบกระซาบเหมือนกับกำลังชมสิ่งของหายาก แต่นี่เป็นภาพที่คุ้นเคยสำหรับอินซอบ เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปในช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำ ในสมัยที่เขารู้สึกว่าอีอูยอนนั้นห่างอยู่ห่างไกล

เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ แต่ก่อนหน้าที่จะออกมาเมื่อกี้เรากินยาไปแล้วนี่นา อินซอบใช้ฝ่ามือกดบริเวณหน้าอกอย่างระมัดระวัง และประเมินสภาพร่างการของตัวเอง เนื่องจากเป็นการเจ็บปวดที่ผ่านไปเฉยๆ หัวใจของเขากลับมาเป็นปกติทันที

การถ่ายทำเริ่มขึ้นแล้ว

“ดี เข้ามาใกล้ๆ กันอีกนิด แบบนั้นแหละ ดีมาก ทำแบบนั้นแหละ สายตาก็ดี ท่าโพสต์ก็ดี”

ช่างภาพมาจินยองที่ขึ้นชื่อว่าเรื่องมากในวงการนี้ตะโกนแค่คำว่าดีออกมาอยู่ตลอด อีอูยอนเป็นผู้นำนางแบบสาวอย่างเป็นธรรมชาติ และการถ่ายแบบก็ดำเนินต่อไป บรรยากาศเป็นกันเองดำเนินไปตลอดการถ่ายแบบ คนทั้งคู่พูดคุยกันอย่างอบอุ่นจนยากที่จะเชื่อว่าเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก โดยเฉพาะนางแบบสาวที่แสดงความสนใจต่ออีอูยอนอย่างเปิดเผย

“คุณอีอูยอนทำแบบนั้น แล้วถ้ามีข่าวฉาวขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ คุณผู้จัดการส่วนตัวจะต้องระวังให้ดีเลยนะ”

สตาฟฝ่ายแสงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยแซวอินซอบ

“…ผมทราบครับ”

“คุณผู้จัดการส่วนตัวคงจะเหนื่อยแย่เลยสินะครับ ดาราที่มีชื่อเสียงและหน้าตาดีอย่างนักแสดงอีน่ะ ทุกเรื่องก็เป็นข่าวฉาวไม่ใช่เหรอครับ พวกผู้หญิงน่าจะต่อคิวกันเยอะเลยนะ”

“ฮ่าๆ…”

อินซอบหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท