ตอนที่ 25 พายุสงบลงแล้ว สระอสูรศักดิ์สิทธิ์! (รีไรท์)
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า หลัวชิงเซียนยืนอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าว่างเปล่า ฉากของผู้อาวุโสนิรนามดูเหมือนจะปรากฏขึ้นในห้วงนึกของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ!
ภาพของเซียนกระบี่ปรากฏขึ้นในโลกนี้!
พิชิตชั้นสิบของหอคอยสวรรค์ทะนง!
หนึ่งกระบี่สังหารจักรพรรดิถึงสอง!
และเสียงหัวเราะอย่างโอหังบนท้องฟ้าเมื่อครู่นี้!
ทว่าตอนนี้ พลันหายสิ้นไปแล้ว!
แม้กระทั่งชื่อและรูปร่างหน้าตาของผู้อาวุโสไร้นามล้วนมิรู้เป็นเช่นไร และตอนนี้ก็ได้หายวับไปแล้ว!
“ต้องโทษข้า!”
“ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดข้า!”
หลัวชิงเซียนภายในใจเต็มไปความเศร้าหมอง หากนางเป็นผู้ที่สู้ต้านกับจักรพรรดิปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกด้วยกันกับเขา หรืออยู่บนท้องฟ้าคอยเก็บกวาดซากผุพัง ผู้อาวุโสนิรนามอาจไม่ตายตกไป
ท่ามกลางความเงียบงันที่ยาวนาน ท้ายที่สุดหลัวชิงเซียนก็คำนับลงต่อท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
“ผู้อาวุโสนิรนาม ขอบคุณสำหรับความเสียสละของท่านต่อผู้คนธรรมดาทั่วไปในโลกใบนี้!”
“แม้ท่านจะสิ้นไป จิตวิญญาณของท่านย่อมไม่สูญสลาย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะตั้งสุสานให้ท่าน ทั่วทั้งโลกจะจดจำการกระทำของท่านตลอดไป!”
“ขอให้ท่านเดินทางไปสู่ที่ดี!”
ถึงตอนนี้ ผู้ฝึกยุทธ์จากฝ่ายธรรมนับไม่ถ้วนกระทำตามหลัวชิงเซียนด้วยการค้อมหัวลงคนแล้วคนเล่า
พวกเขาย่อมรู้ดีว่าหากมิใช่เพราะผู้อาวุโสนิรนามในวันนี้ พวกเขาย่อมเป็นฝ่ายที่ได้รับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินอย่างแน่นอน
ศึกสู้รบจบลงแล้ว!
อย่างไรก็ตาม อารมณ์ของผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายธรรมกลับปกคลุมด้วยความเศร้าชนิดหนึ่งอ้อยอิ่งอยู่บางเบา กระทั่งทุกคนเบนสายตาไปยังสุสานนักบุญ เพียงเท่านั้นจึงแปรเปลี่ยนดีขึ้นมาเล็กน้อย!
สุสานนักบุญถือกำเนิด ความผันผวนของกระแสพลังศักดิ์สิทธิ์กระจายไปเนิ่นนานแล้ว
สุดท้ายด้วยการสะบัดมือหยกเสลาของหลัวชิงเซียน สุสานนักบุญจึงถูกเก็บกลับไปในทันที
“กลับ!”
หลังจากจัดการทั้งหมดนี้ หลัวชิงเซียนนำผู้คนกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ก่อนที่จะจากไป นางมองขึ้นไปบนฟากฟ้าเมื่อครู่แล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
…
ด้วยสำนักอสูรเป็นฝ่ายปราชัยและการหวนกลับของฝ่ายธรรม การเดินทางมายังสุสานนักบุญมาถึงที่สิ้นสุด!
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างธรรมและอสูรลุกโหมราวไฟป่าและแพร่สะพัดไปทั่วทั้งใต้หล้า
“นี่ ได้ยินข่าวหรือไม่ สุสานนักบุญที่สร้างความอื้ออึงถูกฝ่ายธรรมครอบครองแล้วนะ!”
“ได้ยินแล้ว ข้ายังได้ยินอีกว่ามีเซียนกระบี่นิรนามในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่อสู้ต้านทานจักรพรรดิปีศาจทั้งหกด้วยหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ สู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย ตะวันแลดวงจันทร์ล้วนมืดมน!”
“ใช่แล้ว เป็นเพราะเขา ในศึกระหว่างธรรมและอสูรนี้ จึงมีเพียงฝ่ายธรรมเท่านั้นที่จะกุมชัยชนะและครอบครองสุสานนักบุญได้”
“แต่ทว่าโชคร้ายยิ่งนัก ท้ายที่สุดจักรพรรดิปีศาจทั้งหกไม่ลังเลใจที่จะระเบิดตนเองให้ดับสิ้นไปพร้อมกันกับเขา!”
“จริงหรือเท็จ ช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว!”
“ผู้อาวุโสนิรนามปกป้องใต้หล้าด้วยชีวิตของเขา ช่างน่านับถือยิ่ง!”
“…”
ใต้หล้าทุกหนแห่ง ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังถกเถียงกันเรื่องศึกระหว่างธรรมและอสูร ณ สุสานนักบุญ ชื่อเสียงเรียงนามของเซียนกระบี่นิรนามค่อย ๆ ระบือไปทั่วทุกทิศราวกับไฟป่า
ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
เมื่อจักรพรรดินีหลัวชิงเซียนหวนคืนพร้อมกับหมู่คนฝ่ายธรรม ผู้คนสุดคณานับจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์และผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักทั้งสิบทั้งยินดีปนเศร้าหมอง
โชคดีนักที่ยังครอบครองสุสานนักบุญได้สำเร็จ
ทว่าน่าเศร้าที่ผู้อาวุโสเซียนกระบี่นิรนามต้องเสียสละตนเองลง
ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผสมปนเปด้วยความเกษมศานต์และความเศร้าสลด กระทั่งมิอาจบอกได้ว่าแท้ที่จริงรู้สึกเช่นไร
ในวังจักรพรรดินี
เนื่องจากร่างอวตารไม่ได้เชื่อมประสานการรับรู้ในส่วนของความทรงจำ กระทั่งหลัวชิงเซียนกลับมายังพระราชวังจักรพรรดินี เพียงเท่านั้นหนิงฝานจึงรู้ข่าวการตายของร่างอวตาร
“เฮ้อ! โลกภายนอกช่างอันตรายอย่างแท้จริง ดูเหมือนว่ามีแต่ต้องเป็นปราชญ์ยุทธ์เท่านั้น มิเช่นนั้นแม้แต่ตายตกก็อย่างไรยังมิรู้ตัว!”
หนิงฝานสูดหายใจเข้าลึก ๆ อดที่จะสั่นยะเยือกทั่วสรรพางค์กายไม่ได้!
ไร้เทียมทาน!
ต้องไร้เทียมทานเท่านั้น!
หากไม่ไร้เทียมทาน เขาถูกสังหารขึ้นมาแล้วย่อมมิได้เกิดใหม่อีก!
ทว่าการตัดสินใจต่อมาของหลัวชิงเซียนกลับทำให้เขาตกตะลึง
“ผู้อาวุโสไร้นาม เพื่อที่จะปกป้องผู้คนธรรมดาทั่วไปและยึดถือความชอบธรรม แม้นมิมีเถ้ากระดูกเหลือแต่สุสานย่อมต้องตั้งขึ้น เพื่อเป็นที่เคารพนับถือต่อปุถุชน!”
เชื่อเลย!
ภรรยา…ข้ายังมีชีวิตอยู่ดี มันจะไม่เป็นลางเกินไปหรือที่จะตั้งสุสาน…
หนิงฝานเอ่ยขึ้นโดยพลัน “เช่นนั้น ภรรยา เจ้ามิคิดหรือว่าผู้อาวุโสนิรนามอาจจะยังไม่ตาย?”
“เฮ้อ! ถึงแม้ข้าต้องการให้ผู้อาวุโสนิรนามยังมีชีวิตอยู่ยิ่งนัก ทว่าข้าเห็นกับตาว่าผู้อาวุโสถูกพลังระเบิดตนเองของจักรพรรดิปีศาจทั้งหกกลืนกินไปแล้ว…”
หลัวชิงเซียนสั่นศีรษะ
ตอนนี้หนิงฝานเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ถ้าหาก ข้าหมายถึงถ้าหากว่าผู้อาวุโสนิรนามผู้นี้เป็นเพียงร่างอวตารร่างหนึ่งล่ะ?”
“ร่างอวตาร?”
หลัวชิงเซียนผงะ
นางมิได้คาดคิดถึงขั้นนี้จริง ๆ
อย่างไรเสีย เพียงใช้หนึ่งต้านหกจักรพรรดิปีศาจด้วยตนเองก็น่าหวาดหวั่นเพียงพอแล้ว ทว่าหากเขาเป็นร่างอวตารจริง ตัวจริงของเขาจักแข็งแกร่งถึงเพียงใด?
หลัวชิงเซียนไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง
“ภรรยา ไม่ว่าอย่างไร ข้าคิดว่าพวกเราต้องใคร่ครวญเรื่องก่อตั้งสุสานนี้ให้ดี ในกรณีที่ผู้อาวุโสยังมีคงมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกลับตั้งสุสานให้เขา นี่มิเท่ากับเป็นการสาปแช่งเขาหรือ!” หนิงฝานแสร้งขึงขังเอ่ยออกมา
“เจ้าพูดได้มีเหตุผล มิอาจตั้งสุสานขึ้นได้!”
หลัวชิงเซียนเชื่ออย่างสนิทใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หนิงฝานถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อย่างไรก็ตามแต่ ในนาทีถัดมา หลัวชิงเซียนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ตั้งศิลาจารึกเสริมอายุยืนนานแทนเถอะ ไม่ว่าผู้อาวุโสนิรนามจะตายหรืออยู่ ชัยชนะในการกำจัดอสูรและปกป้องวิถีธรรมควรค่าแก่การนับถือโดยผู้คน!”
“…”
…
หลังความปั่นป่วนวุ่นวายของสุสานนักบุญผ่านพ้นไป กำลังของฝ่ายธรรมและอสูรค่อย ๆ ห่างชั้นขึ้น
ฝ่ายธรรมได้รับทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่นำมาโดยสุสานนักบุญ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนหรือสิบสำนักใหญ่ ล้วนเริ่มเฟื่องฟูขึ้นมา
เริ่มจากการมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตราชันยุทธ์ จ้าวยุทธ์ถือกำเนิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แรกเริ่มผู้อาวุโสที่เร้นกายเดิมทีอีกเพียงครึ่งขั้นก็จะก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ก็ได้ไต่ทะยานระดับขึ้นสู่ขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ได้สำเร็จ สวมตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดที่เดิมว่างลงจากลี่ฉิงเทียนแทน
ต่อมาหลัวชิงเซียนทะลุทะลวงขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบในคราเดียว!
หากพูดถึงโดยรวมแล้ว พละกำลังของวิถีธรรมล้วนพุ่งทะยานขึ้น
ในทางกลับกันวิถีอสูร จักรพรรดิปีศาจทั้งหกระเบิดตนเองสิ้นชีพ ผู้ฝึกยุทธ์อสูรเหนือคณานับล้วนตายตกอย่างอเนจอนาถ เก้าสำนักมหาอสูรราวกับว่าอยู่ระหว่างขอบหุบเหวแห่งการล่มสลายลง
ฉากนี้ไม่เกินความคาดหมายของทุกคน ล้วนคิดว่าวิถีอสูรไม่เป็นภัยร้ายแรงอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า มันเป็นเพียงความเงียบสงบก่อนที่พายุจะเข้าเท่านั้น
…
มีเรื่องเล่าลือมาว่าก่อนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะถูกก่อตั้งขึ้น ใต้หล้าได้ถูกกองกำลังหนึ่งครอบครองเรียกว่าสำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์
สำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีกฎควบคุมการกระทำ เผาไหม้ปล้นสะดม ข่มขืนลักขโมย ล้วนกระทำทุกสิ่งที่ชั่วร้าย ทำให้คนทุกหัวระแหงใต้หล้านี้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสิ้นหวัง
กระทั่งยุคสมัยของความภาคภูมิแห่งสวรรค์ท่านผู้เฒ่าไท่เสวียนถือกำเนิดขึ้น หลังได้รับการชำระล้างบริสุทธิ์ สำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์จึงถูกกลบฝังไปทั้งสำนัก รวมถึงบรรพบุรุษของสำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ยุทธ์ในตอนนั้นด้วย
ทว่า
ท่านผู้เฒ่าไท่เสวียนในตอนนั้นมิได้รู้ว่า มีศิษย์ของสำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์เก้าคนอยู่ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก เพื่อที่จะล้างแค้นเอาคืนแค้นกวาดล้างสำนัก ศิษย์ทั้งเก้าจึงได้ตั้งเก้าสำนักมหาอสูรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนี้ขึ้นมา
บัดนี้เวลานานนับพันปีผ่านพ้นไป ทะเลกลายเป็นทุ่งนา ทุ่งนากลายเป็นทะเล สรรพสิ่งในโลกล้วนแปรเปลี่ยน
กระทั่งท่านผู้เฒ่าไท่เสวียนผู้มิมีคนเสมอเหมือนยังมอดม้วยไป สำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์ในกาลก่อนเหลือไว้เพียงตำนานเล่าขานเสียเนิ่นนานแล้ว
ทว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ผู้คนจากสำนักอสูรได้บังเอิญค้นพบสำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกกลบฝัง ทั้งยังพบสระโลหิตในซากปรักหักพัง
สระโลหิตแห่งนี้น่าพิศวงยิ่งนัก ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มพูนพละกำลังของคนผู้หนึ่งได้ ยังฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย แม้กระทั่งหากผู้ฝึกยุทธ์ทิ้งตราประทับแห่งชีวิตเอาไว้ในสระนั้น แม้ตายตกไป ก็สามารถเกิดใหม่ในสระโลหิตนี้ได้อีกครั้ง
ดังนั้น ผู้คนจากเก้าสำนักมหาอสูรจึงเรียกสระโลหิตแห่งนี้ว่าสระอสูรศักดิ์สิทธิ์!
ในตอนนี้ ซากของสำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
ลึกไปในซากปรักหักพังเหล่านั้น สระโลหิตอันกว้างใหญ่กำลังเดือดพล่าน มันเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสดข้นหนืด
นอกเหนือจากสระโลหิต คนสามคนยืนเคียงข้างกัน หนึ่งชายชราในชุดคลุมดำสนิท หนึ่งสตรีวัยกลางคนผู้งดงาม และหนึ่งชายวัยกลางคน
แม้ทั้งสามคนมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันและสวมใส่เสื้อผ้าที่แตกต่าง ทว่าสิ่งที่พวกเขามีร่วมกันคือกลิ่นอายอันทรง และพลานุภาพของจักรพรรดิปีศาจทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งก้าวถึงขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบ
ทั้งสามคือเจ้าสำนักแห่งสำนักอสูรโรคระบาด เจ้าสำนักแห่งสำนักอสูรมารปีศาจ และเจ้าสำนักแห่งสำนักอสูรกลืนกินคนใหม่!
และพวกเขาทั้งสามได้พึ่งพาสระอสูรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อกลายมาเป็นจักรพรรดิปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่!
ทว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งสามจดจ้องไปยังสระอสูรศักดิ์สิทธิ์
ที่แห่งนั้น กลับมีร่างโลหิตทั้งหกที่ค่อย ๆ ก่อร่างขึ้นอยู่ราง ๆ
“เวินอี้ เยาเสีย ทวนซื่อ แม้พวกเราทั้งหกจะระเบิดผู้ฝึกยุทธ์นิรนามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นั้นไปพร้อมกับการระเบิดตัวเองของพวกเราแล้ว แต่จักรพรรดินีแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนยังคงมีชีวิตอยู่ นังสารเลวคนนั้นไม่อาจดูหมิ่นเป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นนางได้รับสุสานนักบุญไป สมบัติล้ำค่าในคลังสมบัตินั้นเป็นไปได้ว่าจะทำให้ทะลุทะลวงขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว พวกเจ้าทั้งสามอย่าได้กระทำการบุ่มบ่ามเด็ดขาด!”
“มิผิด! เมื่อไม่นานมานี้ พลังในสระอสูรศักดิ์สิทธิ์เริ่มเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งนี้เมื่อพวกเราทั้งหกก่อโลหิตขึ้นอีกครั้ง ย่อมทะลวงขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบ ถึงตอนนั้น พวกเราจักรพรรดิปีศาจทั้งเก้าจะถือกำเนิดขึ้นพร้อมกันอีกครา ใต้หล้าจะหวนคืนวันวานแห่งยุคสมัยของอสูรศักดิ์สิทธิ์!”
“เพื่อฟื้นคืนชัยชนะของอสูรศักดิ์สิทธิ์ เก้าสำนักมหาอสูรเราล้มลุกคลุกคลานมานานนับพันปี ตอนนี้หากเราเฝ้ารอคอยอย่างอดทนสักพัก สิ่งที่บรรพบุรุษเราล้มเหลวที่จะทำมัน เราย่อมทำให้มันลุล่วงได้!”
“…”
ร่างโลหิตทั้งหกพูดต่อกัน เมื่อฟังจากเสียง เป็นจักรพรรดิปีศาจทั้งหกที่ระเบิดตนเองไปไม่นานนี้เอง
“เข้าใจแล้ว!”
“พวกเรารอพวกเจ้า!”
เวินอี้ เยาเสีย ทวนซื่อ จักรพรรดิปีศาจทั้งสามแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ประกายปีศาจลุกโชนในดวงตาอย่างไม่สิ้นสุด
“เมื่อพวกเราเก้าจักรพรรดิถือกำเนิดอีกครั้ง ย่อมถึงเวลาที่จะกวาดล้างใต้หล้านี้!”
“ฮ่า! ฮ่า!”
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”