ตอนที่ 20 ลงชื่อเข้าใช้ในเขตต้องห้าม ลู่ทางสู่ปราชญ์ (รีไรท์)
หลังจากเหตุการณ์หอคอยปราบอสูร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกลับเข้าสู่ความสงบ
ไม่เพียงแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่กลับเข้าสู่ความสงบ โลกภายนอกก็ตกสู่ความสงบที่หาได้ยากยิ่งเช่นกัน ธรรมะไม่ออกมา ฝ่ายอสูรไม่ปรากฏ
สงครามระหว่างธรรมะและอสูรราวกับจบลงภายในค่ำคืนเดียว!
หลังจากผู้คนมากมายไถ่ถามจึงได้พบว่า ณ เวลานั้นในสนามรบระหว่างธรรมะและอสูร หลัวชิงเซียนที่ต้องการกลับมาช่วย ถูกจักรพรรดิปีศาจเสวี่ยเหลียนและจักรพรรดิปีศาจเชียงอวี้ขัดขวางด้วยกำลังทั้งหมดที่มี หลัวชิงเซียนผู้ร้อนใจราวกับเพลิงแผดเผาชั่วขณะนั้น ได้ใช้เคล็ดต้องห้ามสูญแปดร้อยสังหารศัตรูนับหมื่นในกระบวนท่าเดียว และจักรพรรดิอสูรทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บแสนสาหัสในทันที
ยิ่งกว่านั้น ด้วยเหตุผลบางประการสำนักอสูรกลืนกินหนึ่งในเก้าสำนักอสูรใหญ่ ระดับสูงในสำนักได้รับบาดเจ็บหนัก แม้แต่ผู้นำสำนักยังคาดว่าอาจจะตายแล้ว ดังนั้นคนของสำนักอสูรจึงหยุดพักไปชั่วขณะ
ถือโอกาสที่อสูรกำลังอ่อนแอ สำนักฝ่ายธรรมจึงได้โอกาสพักหายใจและฟื้นฟูกำลัง
ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ตั้งแต่เหตุการณ์ในหอคอยปราบอสูร หลัวชิงเซียนพักรักษาบาดแผลอยู่ในพระราชวังจักรพรรดินี
ในระหว่างช่วงเยียวยารักษาร่างกายนั้น หนิงฝานกลายเป็นบุรุษผู้อบอุ่น ไต่ถามสุขภาพร่างกายนางทุกวัน ดูแลเอาใจใส่นางในทุก ๆ ทางที่ทำได้
นี่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนพุ่งทะยานขึ้นไม่น้อย
แม้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งหนิงฝานเกาะกุมมือหยกของหลัวชิงเซียน เจ้าตัวก็ไม่แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมมีโอกาสลองอีกเป็นครั้งที่สอง!”
หนิงฝานตื่นเต้นกับสิ่งนี้เหลือคณา
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดี ๆ กลับไม่อยู่นาน
สองสามเดือนต่อมา เมื่อหลัวชิงเซียนฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ นางออกจากพระราชวังจักรพรรดินีแล้วกิจวัตรยุ่ง ๆ ของนางก็คืนกลับมา
“เฮ้อ! ไม่ว่าจะเป็นหนทางสู่การไร้เทียมทาน หรือเส้นทางสู่การทะลุทะลวง ย่อมต้องการความรับผิดชอบอันหนักหนา และมีเส้นทางอันยาวไกลต้องก้าวเดิน!”
หนิงฝานถอนหายใจ
หลัวชิงเซียนไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาจึงคืนสู่ชีวิตการลงชื่อเข้าใช้เพื่อฝึกฝนก่อนหน้าดังเดิม
ถึงตอนนี้ระดับขั้นในการฝึกฝนของเขาสูงขึ้นและสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยเสื้อคลุมเร้นลับที่สวมอยู่บนร่างกาย แต่หนิงฝานก็ไม่พอใจกับการลงชื่อเข้าใช้ในหอหมื่นวิถี วิหารโอสถ และสถานที่อื่น ๆ อีกต่อไป เขาเริ่มที่จะลอบเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามอย่างหอคอยปราบอสูร
หรืออย่างเช่น คลังสมบัติศักดิ์สิทธิ์ หอบรรพชน และอื่น ๆ
[ลงชื่อเข้าใช้ในคลังสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ได้รับกระดิ่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!]
[ลงชื่อเข้าใช้ในโถงบรรพชนครั้งแรก ได้รับเคล็ดหวนคืนชีวิต!]
สองการลงชื่อเข้าใช้ครั้งแรก แต่กลับได้รับรางวัลเช่นนี้ทำให้หนิงฝานเบิกบานใจมาก
กระดิ่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นับว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าอย่างแท้จริง เพียงแค่ได้ยินมันในทุก ๆ วันก็สามารถเสริมความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณและยังช่วยควบรวมจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!
การควบรวมจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เปรียบดังการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อสำคัญในการเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ยุทธ์!
ยังมีเคล็ดหวนคืนชีวิต ซึ่งสามารถสังเวยร่างโคลน อีกทั้งยังครอบครองพลังต่อสู้ถึง 70% ของทวยเทพ
…
นี่เป็นสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ใหม่ หนิงฝานจึงเริ่มฝึกฝนอีกครั้งในขณะที่ลงชื่อเข้าใช้เพื่อเก็บขนแกะ!
นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว หนิงฝานพลางเรียนรู้เคล็ดหวนคืนชีวิตไปด้วย
การแยกร่างด้วยเคล็ดนี้ ความสนใจของเขาที่มีต่อมันนับว่าไม่น้อย
เวลาลอยละล่องผ่านไป อีกหนึ่งปีครึ่งต่อมา
ณ พระราชวังจักรพรรดินี
ตู้ม!
มีเสียงทะลุทะลวงผ่านกึกก้องภายในร่างกายของหนิงฝาน ผู้ที่ฝึกฝนอย่างอุตสาหะ ทะยานเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ
นี่ล่วงเข้าสู่ปีที่เก้าแล้วนับตั้งแต่เขามายังโลกแห่งนี้
ในเวลาเพียงแค่เก้าปี ระดับการฝึกฝนของเขาเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบ จากแรกเริ่มเดิมทีเป็นขั้นขัดเกลาร่างระดับสาม
หากความเร็วในการฝึกฝนนี้หลุดรอดออกไป จะต้องทำให้ใต้หล้าตกตะลึงเป็นแน่!
“หลังจากขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสมบูรณ์แบบ คือปราชญ์ยุทธ์ หากต้องการเป็นปราชญ์ยุทธ์แล้ว จะต้องหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ พลังศักดิ์สิทธิ์ และจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ทั้งสามสิ่งหลอมรวมกันเท่านั้น จึงจะมีโอกาสเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ยุทธ์!”
“อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการชำระทั้งสามสิ่งนี้ให้บริสุทธิ์ยากเป็นอย่างยิ่ง หลายพันปีมานี้ ผู้มีพรสวรรค์น่าตื่นตะลึงมากมายนับไม่ถ้วนล้วนสิ้นสุดอยู่ที่นี่!”
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าย่อมต่างออกไป!”
คิดเช่นนี้แล้ว หนิงฝานตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ฝึกฝนร่างกาย ข้ามีมหาเคล็ดขัดเกลาร่างอสูรสวรรค์ หากข้าฝึกฝนจนสมบูรณ์ ร่างกายย่อมได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์!”
“ฝึกฝนพลัง ข้ามีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่เขียนขึ้นโดยผู้เฒ่าไท่เสวียน สามารถแปรเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้!”
“ฝึกฝนจิตวิญญาณ ข้ายังมีทรัพย์สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถควบรวมจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”
“ตราบใดที่ข้าไม่มีย่นย่อ ไม่ท้อถอย ฝึกฝนไม่หยุดหย่อน ย่อมสามารถเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ยุทธ์ได้แน่นอน!”
ในหัวหนิงฝานได้วางแผนการที่จะเป็นปราชญ์ยุทธ์ในอนาคตเอาไว้แล้ว
“ฮ่า ๆ หลังจากกลายเป็นปราชญ์ยุทธ์แล้ว เจ้าต้องมีพลังในการปกป้องตัวเองเอาไว้บ้าง จากนั้นจึงจะสามารถออกไปท่องดูโลกภายนอกได้”
ในที่สุด หนิงฝานก็ยิ้มออกมาอย่างรื่นเริงใจ
ปิดด่านฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ด้วยต้องการจะเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ยุทธ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ทว่าจากนั้น
หนึ่งเดือนผ่านไป
สองเดือนผ่านไป
สามเดือนผ่านไป
หลังจากติดอยู่ที่คอขวดเป็นเวลาสามเดือน หนิงฝานหยุดชะงักอีกรอบ
หายนะ!
ยากเหลือเกิน!
ยากสุดจะพรรณนา!
หนิงฝานโหยหวนคร่ำครวญ!
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดในโลกนี้ จึงไม่มีผู้ใดสามารถทะลุทะลวงสู่ขอบเขตปราชญ์ยุทธ์นานนับพันปี ย่อมเป็นเพราะสามระดับขั้นของการเข้าสู่ขั้นปราชญ์ยุทธ์พูดง่าย ๆ ว่ายากอย่างยากจะเข้าถึง!
แม้แต่หนิงฝานที่ครอบครองร่างแห่งเซียนกระบี่บรรพกาล ทั้งพรสวรรค์ไร้ผู้ใดเทียบเทียม ยังมีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มหาเคล็ดขัดเกลาร่างอสูรสวรรค์ และกระดิ่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเคล็ดชำระอื่น ๆ อีก การฝึกฝนเป็นระยะเวลาสามเดือนยังมิรุดหน้ามากมายนัก
ส่วนระยะห่างของขั้นปราชญ์ยุทธ์นั้น เขารู้สึกว่ามันช่างไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน
“ดูเหมือนว่าข้าจะใจร้อนเกินไป สิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้นานนับพันปี ข้าจะประสบผลสำเร็จได้อย่างง่ายดายได้เช่นไร”
“ลืมมันเสียเถอะ ลืมมันเสียเถอะ ออกไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์กัน!”
หนิงฝานส่ายหัวไปมา
สุดท้ายเขาก็หยุดฝึกฝน แล้วเดินลงไปด้านล่างของพระราชวังจักรพรรดินี
อย่างไรก็ตามแต่ ทันทีที่เขาเดินลงจากพระราชวังจักรพรรดินี หนิงฝานกลับพบว่าทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังเคลื่อนไหว บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร และมีผู้คนมากมายจากสิบสำนักปะปนในนั้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“หรือว่าอสูรก่อเรื่องอีกแล้ว?”
หนิงฝานงงงวย เปิดสัมผัสเทพเจ้า สุ้มเสียงมากมายนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา แล้วเขาก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุได้ในทันที
“สุสานนักบุญปรากฏขึ้นในใต้หล้า!”
“ธรรมะและอสูรทั้งสองฝ่ายล้วนต้องการพิชิตมัน”
หนิงฝานประหลาดใจ
สุสานนักบุญ ดังชื่อเรียกขาน มันคือสุสานของปราชญ์ยุทธ์ในตำนาน!
ปราชญ์ยุทธ์ผู้เกรียงไกรผู้หนึ่ง สุสานย่อมฝังไว้ด้วยทรัพย์สมบัติล้ำค่านานาชนิดที่สะสมไว้ในช่วงชีวิตตน สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นทรัพย์สมบัติศักดิ์สิทธิ์อันมิอาจประเมินค่าได้ ผู้ใดได้รับมันมาย่อมเพิ่มพูนความแกร่งกล้าอย่างมหาศาล
ด้วยเหตุนี้ ทั้งฝ่ายธรรมะและวิถีอสูรย่อมให้ความสำคัญต่อสุสานนักบุญเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพราะนี่เหมือนประหนึ่งกุญแจสำคัญในศึกระหว่างฝ่ายธรรมและอสูร!
อย่างไรก็ตาม หนิงฝานรู้สึกขาดความสนใจต่อเรื่องนี้
ประการแรก เขาในหลายปีมานี้ได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับสมบัติล้ำค่ามากมาย ซึ่งแม้แต่ปราชญ์ยุทธ์ก็มิอาจมี
ประการที่สอง กำเนิดของสุสานนักบุญ ย่อมกลายเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ในใต้หล้าอย่างแน่นอน มิอาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้และการเข่นฆ่ากันได้
เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปขลุกในบ่อโคลนตมนี้ แค่เพียงอยู่ภายในพระราชวังจักรพรรดินีอย่างสงบและกลายเป็นปราชญ์ยุทธ์ด้วยตัวเอง นี่คือความเป็นจริง
หลังจากนั้น หนิงฝานเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ อยู่สักพัก ได้มองดูทิวทัศน์อันงดงามของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว จึงกลับไปพระราชวังจักรพรรดินี
กระทั่งค่ำคืนนั้น หลัวชิงเซียนกลับมายังพระราชวังจักรพรรดินีด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“ภรรยา เจ้าเป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นสีหน้าของหลัวชิงเซียน หนิงฝานขมวดคิ้วมุ่นทันที
“หนิงฝาน เจ้ารู้เรื่องสุสานนักบุญที่เลื่องลือไปทั่วในช่วงนี้หรือไม่?” หลัวชิงเซียนถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าต้องการพูดคุยกับหนิงฝานเพื่อคลายความขุ่นเคือง
“ข้ารู้ มีอะไรหรือ?” หนิงฝานถามด้วยความสงสัย
หลัวชิงเซียนผ่อนลมหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ! เจ้าก็รู้ สุสานนักบุญนี้ประหนึ่งความพินาศย่อยยับต่อฝ่ายธรรมเรา!”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” หนิงฝานฉงนใจ
“เจ้าอยู่แต่ในพระราชวังจักรพรรดินีตลอดทั้งปีย่อมมิรู้เรื่อง ตอนนี้เก้าสำนักอสูรใหญ่ ยกเว้นจักรพรรดิปีศาจเสวี่ยเหลียนแห่งสำนักอสูรกลืนกินและจักรพรรดิปีศาจเชียงอวี้แห่งสำนักอสูรพันปรารถนา ยังมีจักรพรรดิแห่งอสูรทั้งสองปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง พวกเขาคือจักรพรรดิปีศาจชีซาแห่งสำนักอสูรเจ็ดสังหาร และจักรพรรดิปีศาจว่านโซ่วแห่งสำนักอสูรหมื่นสรรพสัตว์!”
“ตรงกันข้าม ฝ่ายธรรมเรานั้น นอกจากผู้อาวุโสที่เร้นกายอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว จนถึงตอนนี้มีข้าเพียงผู้เดียวที่เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นจักรพรรดิยุทธ์!”
“แลสุสานนักบุญนี้ เราไม่อาจมอบให้อสูร ไม่เช่นนั้นย่อมหมายถึงภัยพิบัติเป็นทวีคูณ”
ใบหน้าของหลัวชิงเซียนเต็มไปด้วยความหดหู่
“ข้ารู้แล้วว่าเรื่องอันใดที่สร้างความลำบากใจให้ภรรยาข้า”
หนิงฝานส่ายหัวพลางแย้มยิ้ม จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ในระหว่างที่ไปสุสานนักบุญ เจ้าไปกับผู้อาวุโสนิรนามผู้นั้นได้ ผู้อาวุโสนิรนามผู้นั้นสังหารสองจักรพรรดิด้วยกระบี่เดียว ความสามารถด้านการต่อสู้ไม่เลวเลย พวกเจ้าทั้งสองร่วมมือกันต่อกรกับจักรพรรดิอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่มิควรเป็นปัญหาใช่หรือไม่?”
“มันง่ายยิ่งนักที่เจ้าจะพูดเช่นนั้น แต่เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้อาวุโสนิรนามผู้นั้นจะไปกับข้าได้?” หลัวชิงเซียนมอบสีหน้าว่างเปล่าให้หนิงฝาน อันที่จริง ใบหน้าของนางค่อนข้างละมุนละไมอยู่ในที
“ไปเป็นแน่ ดูอย่างเรื่องหอคอยปราบอสูรเป็นตัวอย่างสิ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความลำบาก มิใช่ว่าเป็นผู้อาสุโสนิรนามเคลื่อนไหวหรอกหรือ? ตอนนี้สุสานนักบุญอุบัติขึ้น เกี่ยวโยงถึงความอยู่รอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องเคลื่อนไหวอีกครั้งเป็นแน่” หนิงฝานขยิบตา เอ่ยออกมาเพียงเท่านี้
“ใช่แล้ว!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หนิงฝานเอ่ยออกมา หว่างคิ้วของหลัวชิงเซียนจึงผ่อนคลายลง รู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ท้ายที่สุด
หลัวชิงเซียนพลันเหลือบตามองหนิงฝาน รอยยิ้มพิลาสตราตรึงใจปรากฏบนใบหน้างามล้ำของนาง
“สวามี ข้าง่วงแล้ว!”
หนิงฝานถึงกับผงะ
จากนั้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น “ง่วงแล้วก็ดี ปะไปนอนกัน!”