สวี่เซี่ยนเว่ยโมโหกล่าวจบ จางเหนียงจื่อก็รีบรินน้ำให้เขา
สองสามวันนี้ความสัมพันธ์สองสามีภรรยาสองคนผ่อนคลายลงไม่น้อย เมื่อก่อนเพราะจางเหนียงจื่อไม่มีลูก สวี่เซี่ยนเว่ยเอาแต่โทษนางว่ามีลูกไม่ได้ ดังนั้นไม่ค่อยอยากจะสนใจนาง ตอนนี้รู้ว่าสาเหตุมาจากตนเอง กลับเป็นเขาเองที่ทำให้จางเหนียงจื่อลำบากไม่อาจมีลูกได้
ในใจสวี่เซี่ยนเว่ยก็รู้สึกผิด ดีกับจางเหนียงจื่อมากกว่าเมื่อก่อนมาก
“อย่าร้อนใจจนภายในร้อนในอีก หาอีกรอบ หากเป็นคนบ้านเราจริง ทำไมจะหาไม่เจอ”
จางเหนียงจื่อเพิ่งกล่าวจบ สาวใช้ด้านนอกก็เข้ามารายงานว่า “นายท่าน เหนียงจื่อ ลู่เหนียงจื่อมาขอพบ”
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อพอได้ฟังก็สบตากันทันที กระซิบกระซาบกันว่า “นางมาคิดบัญชีหรือ หรือว่ามาเพราะอาการของข้า”
จางเหนียงจื่อกระซิบว่า “ข้ารู้สึกว่านางมาคิดบัญชี”
เรื่องรักษาโรคนั้นอย่าคิดฝันไปเลย ตอนนี้คนเขาจะรักษาให้ไหมก็ยังไม่รู้เลย
แน่นอนจางเหนียงจื่อไม่กล้าพูด กลัวสะเทือนใจสามีตน
สวี่เซี่ยนเว่ยหันหน้าไปสั่งการสาวใช้ “ไปเชิญลู่เหนียงจื่อเข้ามา”
จางเหนียงจื่อรีบลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าไปเชิญนางด้วยตนเองละกัน”
จางเหนียงจื่อเดินนำสาวใช้ประจำตัวไปเชิญลู่เจียวข้างนอกเข้ามาด้วยตนเอง พานางไปเรือนบุปผาในเรือนด้านหลัง
สวี่เซี่ยนเว่ยเห็นลู่เจียวก็แอบกินปูนร้อนท้อง ยิ้มแหะๆ กล่าวว่า “ลู่เหนียงจื่อกล้าออกมาตอนนี้ได้อย่างไร”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “คงไม่อาจไม่ออกจากบ้านเพราะมีคนคอยจ้องมองกระมัง”
นางกล่าวจบก็ไม่อ้อมค้อมกับสวี่เซี่ยนเว่ยและจางเหนียงจื่อ กล่าวตรงๆ ว่า “ครั้งนี้ที่ข้ามาก็คิดถาม สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อ ว่าตรวจสอบพบคนที่แพร่งพรายความลับวันนั้นแล้วหรือยัง”
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อสีหน้าฝืดเฝื่อน กล่าวว่า “พวกเราค้นหาหลายรอบแล้ว ตามบ่าวรับใช้ในจวนแต่ละคนมาสอบแล้ว สุดท้ายก็ยังสอบไม่พบว่าบ่าวรับใช้คนไหนผิดปกติ”
ลู่เจียวได้ฟังสวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อก็รีบถามว่า “เช่นนั้นบรรดาอนุของสวี่เซี่ยนเว่ยพวกนั้นเล่า สอบแล้วหรือยัง”
พอนางกล่าวขึ้น สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อก็อึ้งไป สอบอนุในจวนพวกเขา? พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้ย่อมเป็นบ่าวรับใช้คนไหนได้ยินและทำเรื่องนี้ ปรากฏลืมสอบอนุตระกูลสวี่
สวี่เซี่ยนเว่ยได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “อนุข้าไม่ทำเรื่องเช่นนี้กระมัง”
กล่าวจบ เขาก็คิดถึงอนุที่สวมเขาให้เขาก่อนหน้านี้ขึ้นมา
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกเพราะอนุเขาอีก เขาไปรับอนุพวกนั้นมาจากไหนกันนี่
สีหน้าสวี่เซี่ยนเว่ยแปรเปลี่ยนยากคาดเดา ลู่เจียวไม่สนใจเขา หันไปมองสาวใช้จางเหนียงจื่อ “ก่อนหน้านี้คุณหนูสวี่ชิงอินพวกเจ้าสนิทกับอนุคนไหนที่สุด ใกล้ชิดที่สุด”
ในเมื่อคนรับใช้ตระกูลสวี่ไม่มีปัญหา งั้นที่มีปัญหาก็เป็นไปได้มากว่าต้องเป็นอนุ
ตอนนั้นสวี่ชิงอินอยู่ๆ มาตามติดเซี่ยอวิ๋นจิ่น ไม่แน่ว่าอาจมีคนพูดอะไร ไม่เช่นนั้นทำไมนางจึงปักใจต่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นนัก นางเคยถามเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขาว่าไม่รู้จักสวี่ชิงอิน สวี่ชิงอินอยู่ๆ ก็โผล่มามุ่งหมายเขาเอง
หากไม่มีเรื่องแพร่งพรายความลับครั้งนี้ ลู่เจียวก็คงไม่ได้คิดมาก แต่พอรวมกับเรื่องแพร่งพรายความลับนี้แล้ว นางรู้สึกว่าตอนนั้นที่สวี่ชิงอินต้องตาต้องใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
ในเรือนบุปผา สาวใช้ได้ยินลู่เจียวถามก็อึ้งไป รีบหันไปมองนายท่านกับจางเหนียงจื่อ
นายท่านกับต้าเหนียงจื่อก่อนหน้านี้มีคำสั่งแล้วว่าวันหน้าตระกูลสวี่ห้ามเอ่ยถึงสวี่ชิงอินอีก
สวี่เซี่ยนเว่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ถลึงตาใส่สาวใช้อย่างอารมณ์เสียว่า “ไม่ได้ยินลู่เหนียงจื่อถามหรือไง”
สาวใช้คิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบกล่าวว่า “คุณหนูนางสนิทกับเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อ[1]ที่สุด ปกติทั้งสองคนสนิทสนมกันราวกับพี่น้อง”
“เสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อ?”
ลู่เจียวอยู่ๆ ก็รู้สึกไวเป็นพิเศษกับแซ่นี้ นางคิดถึงเสิ่นซิ่วในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย
แม้ว่าตอนนั้นที่หมู่บ้านชีหลี่ นางให้ชายหน้าบากเอาเสิ่นซิ่วไปขายที่เช่นนั้น แต่ชายหน้าบากส่งนางไปหรือไม่ นางก็ไม่รู้ ดังนั้นเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อจะเป็นเสิ่นซิ่วไหม
หากนี่คือเสิ่นซิ่ว นางก็เข้าใจการกระทำสวี่ชิงอินก่อนหน้านี้แล้ว และการที่เรื่องความลับแพร่งพรายออกไปก็คงเพราะเสิ่นซิ่วแค้นใจและเกลียดชังนางมาก ตอนนี้น่าจะเกลียดชังไปถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยกระมัง
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ไม่แสดงท่าทีอะไรออกไป มองสวี่เซี่ยนเว่ยกล่าวว่า “เสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อชื่ออะไร”
ครั้งนี้สวี่เซี่ยนเว่ยตอบว่า “ชื่อเสิ่นเหลียน”
ชื่อไม่ใช่ แต่ลู่เจียวไม่ได้ปล่อยนางไปเพราะเรื่องชื่อไม่เหมือนนี้ นางถามอีกว่า “สวี่เซี่ยนเว่ยรับเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อมาเมื่อไร”
สวี่เซี่ยนเว่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “น่าจะสองเดือนก่อนได้ ช่วงเวลาแน่นอนข้าคิดไม่ออกแล้ว”
ลู่เจียวแววตาครุ่นคิด เวลาตรงกัน ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าหญิงที่ชื่อเสิ่นเหลียนจะเป็นเสิ่นซิ่ว ดังนั้นสวี่ชิงอินจึงได้อยู่ดีๆ ไปตามติดเซี่ยอวิ๋นจิ่น จากนั้นก็น่าจะเป็นตระกูลสวี่เป็นคนแพร่งพรายความลับที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นที่ปรึกษาหลังม่านของนายอำเภอหู
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าต้องการพบเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อสักหน่อย”
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อสบตากัน ถามเบาๆ ว่า “หญิงผู้นี้มีปัญหา?”
ลู่เจียวส่ายหน้า “ตอนนี้ยังกล่าวไม่ได้ ต้องรอพบหน้าก่อนค่อยว่ากัน”
สวี่เซี่ยนเว่ยรีบให้สาวใช้จางเหนียงจื่อไปตามเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อมา หากเป็นหญิงผู้นี้แพร่งพรายออกไปจริง ดูซิว่าเขาจะถลกหนังนางอย่างไร
สาวใช้หันหลังออกไปตามเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อ ในเรือนบุปผา ลู่เจียวแสดงท่าทีสบายๆ ถามสวี่เซี่ยนเว่ย “สวี่เซี่ยนเว่ยรับเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อมาเป็นอนุได้อย่างไร”
“ก่อนหน้านี้ข้ากับสหายหลายคนไปดื่มสุราที่ร้านอาหาร ต่อมาพอดื่มเมาแล้ว ก็เลยรับเอาเสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อมา อย่างไรก็คงไม่ให้สถานะกับนางไม่ได้กระมัง ก็เลยรับนางเป็นเสี่ยวเหนียงจื่อ”
ลู่เจียวหรี่ตาถามอีกว่า “เสิ่นเสี่ยวเหนียงจื่อมีครอบครัวไหม”
“มีนะ มีพี่ชายดุมากคนหนึ่ง เขาคิดขายนาง สุดท้ายข้ามอบให้พี่ชายนางไปร้อยตำลึง”
สวี่เซี่ยนเว่ยกล่าวจบ จางเหนียงจื่อก็ถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์เสียทันที
สวี่เซี่ยนเว่ยรีบยิ้มเอาใจ ยื่นมือไปบีบมือจางเหนียงจื่อ
จางเหนียงจื่ออยู่ต่อหน้าลู่เจียว ย่อมไม่ระเบิดอารมณ์
ลู่เจียวถามสวี่เซี่ยนเว่ยอีก “พี่ชายนางหน้าตาเป็นอย่างไร”
“สูงใหญ่ ที่หน้ายังมีแผลเป็น ดูแล้วน่ากลัวมาก”
พอสวี่เซี่ยนเว่ยกล่าวจบ ลู่เจียวก็รู้ทันทีว่าเสี่ยวเหนียงจื่อที่สวี่เซี่ยนเว่ยรับมาใหม่ก็คือเสิ่นซิ่ว ดังนั้นสวี่ชิงอินจึงได้อยู่ดีๆ ไปตามติดเซี่ยอวิ๋นจิ่น นี่ย่อมเป็นฝีมือเสิ่นซิ่ว จากนั้นก็ยังให้คนแพร่งพรายความลับที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นที่ปรึกษาหลังม่านของนายอำเภอหูออกไป
พอลู่เจียวคิดถึงว่าเสิ่นซิ่วหลบอยู่ในที่ลับทำเรื่องพวกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้านางก็พลันเย็นเยียบอย่างไม่อาจระงับ ครั้งนี้นางจะไม่ยอมปล่อยเสิ่นซิ่วไปง่ายๆ แน่
ขณะที่ลู่เจียวกำลังคิดอยู่ สาวใช้ก็รีบวิ่งเข้ามารายงานว่า “นายท่าน เหนียงจื่อ ด้านนอกประตูมีคุณชายแซ่เซี่ยมาขอพบ”
ในเรือนบุปผา สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อหันมองไปยังลู่เจียวทันที คุณชายแซ่เซี่ยคงไม่ใช่เซี่ยซิ่วไฉกระมัง
สองคนนี่อย่างไรกัน ทำไมมากันทีละคน จะมาก็ไม่มาด้วยกัน
[1] ในสมัยโบราณจะเรียกขานภรรยาเอกว่า ต้าเหนียงจื่อ เรียกขานภรรยาน้อยว่า เสี่ยวเหนียงจื่อ