ชายคนนั้นเพิ่งจะเงียบเสียงลงได้ไม่ทันไร จู่ๆ ก็มีลมสายหนึ่งก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา พัดเอาเศษฝุ่นลอยเข้าไปเสียเต็มปาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอยห่างจากข้างตัวเขาอย่างใจเย็น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” คนจากหอชั้นเยี่ยมคนนั้นคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ”จะมีลมกรรโชกแค่จุดที่ข้าอยู่ได้อย่างไร แค่กๆ!”
หนานกงเลี่ยกระตุกยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาเองก็ถอยออกมาเช่นกัน
คนจากหอชั้นเยี่ยมคนนั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หมายความว่าอย่างไร คนพวกนี้เมินเขาหรือ
“เงียบ!” อาจารย์ที่ยืนอยู่บนเวทีสังเกตเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขาหันมามองทางนี้ และรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
คนจากหอชั้นเยี่ยมคนนั้นจึงทำได้เพียงลดกำปั้นของตนลง แต่สายตาที่เขาใช้มองไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวยและเพื่อนของนางยังคงคมกริบราวกับใบมีดเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด!
“จากนี้ข้าจะประกาศผลการแข่งขันทั้งสองคู่ให้ทราบ” อาจารย์คลี่ม้วนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าของตนออก เขาจำลายมือนี้ได้ ”หอชั้นเลิศปะทะหอชั้นเยี่ยม หอชั้นเลิศสามารถเอาชนะไปได้อย่างงดงาม”
“หอชั้นดีปะทะหอสามัญ…”
ผู้เป็นอาจารย์คิดว่าสายตาของเขากำลังหลอกตัวเองอยู่ ทันทีที่เขาอ่านมาถึงตรงนี้ ความตกตะลึงก็ฉายวาบขึ้นในดวงตา
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และหยวนหลิงเซวียนที่ยืนอยู่ในกลุ่มผู้ชมไม่ได้สนใจกับการประกาศนี้เท่าใดนัก พวกเขายังจำเป็นต้องประกาศเรื่องนี้อยู่อีกหรือ แน่นอนว่าหอชั้นดีต้องเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว!
อาจารย์ผมสีดอกเลาถอดแว่นตาของตนออกมาเช็ด หลังจากสวมแว่นกลับไปอีกครั้ง เขาจึงเอ่ยทวนสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อสักครู่ว่า ”หอชั้นดีปะทะหอสามัญ หอสามัญเอาชนะไปได้อย่างงดงาม”
อะไรนะ?!
ทุกคนอ้าปากค้าง พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ สงสัยว่าการประกาศผลครั้งนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า!
คนจากหอสามัญพวกนั้นจะเอาชนะคนจากหอชั้นดีได้อย่างไร
ต่อให้หนึ่งในนั้นจะโชคดี แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะชนะได้อย่างหมดจดเช่นนี้!
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับคนของหอชั้นดี พวกเขาจึงแพ้สองรอบรวด
มู่หรงฉางเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางชำเลืองมองไปทางพวกเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สังเกตเห็นสายตาของเขา จึงเอ่ยเสียงเบาว่า ”ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินจากน้องสามมาว่าที่หอสามัญมีศิษย์สาขาโหราศาสตร์ที่ทำคะแนนได้ค่อนข้างดีอยู่คนหนึ่ง พวกเขาคงจะใช้ประโยชน์จากความสามารถของคนคนนั้นกระมัง”
“ชนะรอบเดียวแล้วจะได้อะไรขึ้นมา” หยวนหลิงเซวียนยิ้มเยาะ ”ดูหน้าตาเจ้าพวกนั้นสิ พวกเขาเพียงเอาชนะหอชั้นดีได้ แต่กลับทำหน้าตาราวกับว่าตัวเองชนะเลิศไปแล้ว เจ้าพวกนั้นมันก็เป็นแค่คนบ้านนอก พวกเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจพวกเขาหรอก”
จากนั้นมู่หรงฉางเฟิงก็ถอนสายตากลับมา แล้วตอบว่า ”อืม พวกเราไปพักผ่อนกันเสียหน่อย เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในรอบที่สองดีกว่า”
แต่ว่า
อาจารย์จากหอชั้นเลิศอย่างอาจารย์ไป๋กลับมองสิ่งที่เขียนอยู่บนหน้ากระดาษชั้นดีนั้นพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น
เวลาสั้นๆ เพียงแค่นั้น แต่พวกเขากลับสามารถเอาชนะได้แล้วหรือ
แต่มันก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ อย่างไรเสียคู่ต่อสู้ของพวกเขาก็เป็นคนจากหอชั้นดี หากเทียบกับหอสามัญแล้ว คนพวกนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
อาจารย์ไป๋เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วกล่าวกับตู๋ซูเฟิงว่า ”หนนี้ท่านเจ้าสำนักคงมีความสุขยิ่งนัก ข้านึกไม่ถึงเลยว่าโชคของคนหนุ่มสาวทั้งสามจะดีถึงเพียงนี้ นับว่าสร้างปาฏิหาริย์ได้ ถือเป็นตัวแปรที่สำคัญเลยทีเดียว”
“โชคดีหรือ” ตู๋ซูเฟิงยิ้มอย่างอบอุ่นพลางเลิกคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับอาจารย์ไป๋ ยิ่งคนเราอยู่เหนือกว่าผู้อื่นนานเพียงใด เขาก็จะยิ่งรู้สึกว่าคนอื่นๆ ไม่อาจเทียบกับตัวเองได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังหลงลืมไปอีกด้วยว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใด สักวันหนึ่งย่อมมีคู่ต่อสู้มากฝีมือปรากฏกายขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อันที่จริงสามคนนั้นสร้างความปวดหัวให้กับเขามากทีเดียว… ทั้งสามเพิ่งจะลงแข่งได้แค่รอบเดียว แต่เขากลับได้รับหนังสือร้องเรียนมาถึงสามฉบับด้วยกัน ซึ่งสองคนแรกเขายังพอเข้าใจได้
แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่น เขายังไม่ทันจะขึ้นประลองเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงมีคนร้องเรียนเขาได้ล่ะ
ตู๋ซูเฟิงใช้นิ้วนวดขมับ ดูเหมือนว่าเขาคงต้องคุยกับคนทั้งสามให้รู้เรื่องก่อนจะถึงการแข่งขันในรอบที่สองเสียแล้ว
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านเรียกตัวพวกข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับผลักประตูห้องหนังสือของตู๋ซูเฟิงออก
ตู๋ซูเฟิงหยิบกระดาษคำร้องทั้งสามฉบับขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ น้ำเสียงไพเราะนุ่มนวลของเขานั้นภายนอกฟังดูอ่อนโยน แต่ภายในกลับมีความกดดันอันรุนแรงแฝงอยู่ ”นั่งลงสิ”
เมื่อเห็นดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันไปชำเลืองมองหนานกงเลี่ยที่ทำเพียงยักไหล่ จากนั้นนางจึงหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วเห็นว่าเขากลับนั่งลงด้วยท่วงท่าอันงดงามเสียแล้ว มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเท้าคางอย่างเกียจคร้าน ส่วนอีกมือหนึ่งจัดแจงรินน้ำชาให้ตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับหนานกงเลี่ยมองหน้ากัน จากนั้นจึงนั่งลง เตรียมดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มภายในห้องหนังสือของตู๋ซูเฟิงโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักตำลึง
มุมปากของตู๋ซูเฟิงกระตุก ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาขึ้นไปอีก ”ข้าได้รับหนังสือร้องเรียนมาสามฉบับ”
“ก็ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกข้า” หนานกงเลี่ยยิ้มด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ”ช่วงนี้พวกข้าไม่ได้ไปก่อเรื่องวิวาทที่ไหน อีกทั้งยังไม่ได้ปีนกำแพงเพื่อโดดเรียนด้วย”
ตู๋ซูเฟิงตวัดสายตามองเขา แล้วกล่าวต่อ ”หนังสือร้องเรียนทุกฉบับล้วนแต่ร้องเรียนเกี่ยวกับพวกเจ้าทั้งสิ้น”
หนานกงเลี่ยตกตะลึง จากนั้นจึงก้มหน้าลงจิบชาเล็กน้อย
“อาจารย์ท่านหนึ่งร้องเรียนว่าในระหว่างการแข่งขัน เจ้าทำตัวตามอำเภอใจ ก้าวร้าว และไม่เคารพครูบาอาจารย์”
ตู๋ซูเฟิงวางมือลงบนโต๊ะไม้ แสงในดวงตาของเขาหม่นลงจนแทบจะมองไม่เห็น ”เพิ่งจะประลองได้แค่รอบเดียว แต่พวกเจ้ากลับละเมิดกฎไปแล้วถึงสามข้อ พวกเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกล่าวปกป้องตัวเองว่า ”ข้าแค่นอนกลางวันก่อนจะขึ้นเวทีเท่านั้นเอง”
ตู๋ซูเฟิง … หึๆ ในนิสัยของนางไม่มีคำว่าระเบียบวินัยอยู่แม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ!
“แล้วเจ้าล่ะ” ตู๋ซูเฟิงตัดสินใจถามพวกเขาทีละคน
“ข้าหรือ ข้าไม่ได้ทำอะไรถึงขนาดนั้นด้วยซ้ำ” หนานกงเลี่ยชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย ”ข้าก็แค่พูดคุยกับเหล่าหญิงสาวที่กำลังดูการแข่งขันอยู่อย่างออกรสออกชาติตลอดการแข่งก็เท่านั้น แน่นอนว่าย่อมไม่มีโอกาสได้ทำอะไรไม่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว”
ตู๋ซูเฟิงนึกอยากจะยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองอีกครั้งเสียเหลือเกิน ”ผู้เข้าแข่งขันห้ามพูดคุยกับผู้ชม เจ้าไม่รู้หรือ” ระเบียบวินัยในตัวเจ้าก็ถูกสุนัขกินไปจนหมดแล้วหรือไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับหนานกงเลี่ยส่งสัญญาณให้กันและกัน ทันใดนั้นสายตาของทั้งสองก็ไปหยุดอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงถูกร้องเรียนด้วย
“พูดมา สุดท้ายแล้วเจ้าทำอะไรลงไปกันแน่ ถึงทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของอาจารย์ท่านนั้นขาดเอาได้” เมื่อตู๋ซูเฟิงหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็ต้องเอ่ยถามออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วดกหนาของตน ”เก้าอี้ที่ข้านั่งสกปรกเกินไป”
“แล้วอย่างไร”
น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเฉยเมยไม่แยแส สื่อว่าเขาไม่ผิดแม้แต่น้อย ”ดังนั้น ข้าจึงสลับเก้าอี้กับอาจารย์ที่อยู่ใกล้ข้าที่สุดแทน”
ตู๋ซูเฟิง ”…”
พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ! เฮ่อเหลียนเวยเวยกับหนานกงเลี่ยคิดพลางก้มหน้าจิบชาอย่างเงียบๆ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาได้รับหนังสือร้องเรียนถึงสามฉบับ ในที่สุดก็หาตัวคนร้ายที่แท้จริงเจอแล้ว!
“ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก! เจ้าเจอเก้าอี้ที่ดีกว่า แต่ไม่ยอมบอกพวกข้าสักคำ!”
เรื่องนั้นมันใช่ประเด็นหลักเสียที่ไหนกัน!
ใบหน้าหล่อเหลาของตู๋ซูเฟิงที่มักจะอ่อนโยนและงดงามอยู่เสมอเริ่มมีรอยปรากฏขึ้น เขาสูดหายใจเข้าลึก น้ำเสียงกลับมาไพเราะดังเดิม พร้อมกันนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย ”ข้อร้องเรียนแต่ละข้อเรียกเงินค่าปรับหนึ่งหมื่นตำลึง”
สีหน้ายิ้มแย้มไร้ความเห็นใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับแข็งค้าง ”ถ้าอย่างนั้นยอดรวมทั้งหมดจะมิกลายเป็นแสนตำลึงเลยหรือ”
“ตอนนี้มันเหลือเจ็ดหมื่นตำลึงแล้ว” ตู๋ซูเฟิงยกชาขึ้นดื่มไปอึกใหญ่ ”ข้าเชื่อว่าในอีกสองรอบที่เหลือ ระหว่างที่เจ้าประลองอยู่นั้น พวกเจ้าจะได้รู้ว่าการเคารพคู่ต่อสู้และครูบาอาจารย์นั้นเป็นเช่นใด”
ด้วยเหตุนี้ระหว่างการประลองในรอบสองที่หอสามัญเผชิญหน้ากับหอชั้นเยี่ยม
เฮ่อเหลียนเวยเวยและหนานกงเลี่ยจึงไม่กล้าหลับแม้แต่งีบเดียว อีกทั้งยังไม่กล้าพูดคุยหยอกล้อกับบรรดาสาวๆ อีกด้วย กิริยามารยาทอันไร้ซึ่งระเบียบวินัยและความโอหังที่พวกเขาเคยมีก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนไปเป็นการพูดจากับครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ อีกทั้งการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ยังช้าลงด้วย
บรรดาอาจารย์ล้วนแต่พอใจกับสถานการณ์นี้ยิ่งนัก คู่มือและคำอธิบายที่พวกเขาเตรียมมาได้ฤกษ์ถูกนำมาใช้เสียที!
อืม เป็นเช่นนี้สิถึงจะถูกต้อง
ดูเหมือนว่าหอชั้นเยี่ยมจะแข็งแกร่งเอาการทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสามจากหอสามัญต่างก็ถูกอีกฝ่ายกำราบเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด…