หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – ตอนที่ 645

ตอนที่ 645

บทที่ 645 แท่นสังเวย!
ที่ปลายท่อนไม้มีแท่นสังเวยอย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้า แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาก็ยังสั่นสะท้านไปถึงทรวง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ

โม่หินขนาดใหญ่โตมโหฬารมีชั้นสอง ชั้นล่างไม่ขยับเขยื้อน ส่วนชั้นบนต่อติดกับด้ามหมุนเก้าด้ามที่คอยเคลื่อนส่วนด้านบนให้บดกับชั้นด้านล่าง เสียงบดดังสนั่น หากมีอะไรหลุดไปแทรกกลางคงจะถูกบดขยี้จนแหลก หวังเป่าเล่อนึกถึงอสูรร่างยักษ์สองตนที่พบบนโลกใบนี้ สรุปความได้ง่ายดายว่าน่าจะมีพลังบางอย่างสั่งการให้ศพอสูรเก้าตนคอยลากด้ามหมุนทั้งเก้า เหล่าอสูรถูกบังคับให้วิ่งวนไม่หยุดเพื่อหมุดโม่หิน!

อสูรแต่ตนถูกโซ่ล่ามไว้ หากชะลอฝีเท้าลงแม้แต่นิด ตัวอักขระบนโซ่จะแปรเปลี่ยนเป็นแส้ล่องหนเข้าฟาด ต้องจำนนทนทุกข์อยู่ในวังวนความเจ็บปวดและความเป็นทาส

ช่างตื่นตะลึงยิ่งนัก!

หวังเป่าเล่อหรี่ตา คุกเข่าลงบนท่อนไม้และจ้องไปยังโม่หินที่อยู่ถัดออกไป เขาเห็นกระดูกนับไม่ถ้วนกองสุมอยู่ใต้โม่หิน ถัดไปมีหุ่นเชิดร่างแห้งเหี่ยวมากมายกำลังโยนกระดูกเข้าหินโม่อย่างขยันขันแข็ง

โม่หินหมุนบดไปเรื่อยๆ โครงกระดูกถูกบดเป็นเศษผง เลือดสีคล้ำและเศษเนื้อไหลหยดลงจากโม่หิน แต่ส่วนใหญ่หายไปในโม่หินราวกับถูกกลืนกินเข้าไป

หวังเป่าเล่อรังเกียจตระกูลไม่รู้สิ้นมากขึ้นเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า ต้องใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะสงบใจลงได้ เขาเขยือบไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง สัมผัสได้ถึงแรงสั่นที่เพิ่มมากขึ้น ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นร่องยุบบริเวณกึ่งกลางของโม่หิน

ภายในนั้นมีตัวตนหนึ่งนั่งอยู่!

เทียบกับโม่หินขนาดใหญ่ยักษ์แล้ว ตัวตนนั้นเล็กเหมือนกับมด ทำให้หวังเป่าเล่อไม่ทันสังเกตเห็นก่อนหน้า ต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ ตัวตนนั้นเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น!

ชายหนุ่มดูไม่ออกว่าชายคนนั้นตายไปแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาทั้งสามปิดสนิท แขนหกข้างวางเรียบอยู่ข้างลำตัว เขาอาจจะทำสมาธิอยู่ หรือไม่ก็สิ้นลมไปในท่านั้น ร่างกายชายผู้นั้นไร้ซึ่งพลังชีวิต มีเพียงรอยช้ำดำคล้ำปรากฏอยู่ทั่วตัว

หวังเป่าเล่อพิจารณาผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นตรงหน้า ไม่ได้รีบร้อนทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเป็นกังวลเรื่องพวกเจ้าเยี่ยเหมิงและความอันตรายของภารกิจนี้ ไม่รู้เลยว่าจะออกไปได้เช่นไร ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็รู้ว่ามาถึงจุดนี้แล้ว มัวคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

เขากัดฟันแน่น ข่มความกังวลเอาไว้ ดวงตาพลันฉายแววเย็นเยียบ ชายหนุ่มคุกเข่าลง มองสำรวจโม่หินที่ทำงานไม่หยุด ตั้งใจจะดูสถานการณ์จนกว่าจะเห็นช่องโหว่อะไรสักอย่าง

เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะหวังเป่าเล่อเฝ้าโม่หินตรงหน้าด้วยความอดทนจนผ่านไปแล้วเจ็ดวัน

ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาสังเกตเห็นว่าใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์พอดีที่ท่อนไม้ด้ามจับจะหมุนครบหนึ่งรอบ นอกจากนี้ยังบันทึกอัตราการบดกระดูกของโม่หินไปด้วย แต่ข้อมูลที่ได้ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ โม่หินเป็นเหมือนเครื่องจักรทรงพลังที่ทำงานต่อเนื่องได้ถึงหนึ่งอาทิตย์โดยไม่มีหยุดพัก

ทั้งเหล่าหุ่นเชิดที่คอยโยนกระดูกใส่และผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่นั่งอยูบนโม่หินต่างเหมือนติดอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง

เข้าไปใกล้ไม่ได้ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้าไม่มีทางทำลายแท่นสังเวยได้เลย… หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว พยายามปัดความกังวลและความไม่สบายใจทิ้งและเฝ้ารอต่อไป แต่ครั้งนี้ไม่ต้องรอนาน สามวันผ่านไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

ไม่ใช่โม่หินหรือเหล่าหุ่นเชิดที่เปลี่ยน แต่เป็นโลกทั้งใบ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนที่สูงจึงมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกล เขาเห็นว่าฟากฟ้าไกลห่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เหมือนกับว่าหมอกสีแดงกำลังพุ่งมาทางตน!

เสียงสั่นไหวดังขึ้นเรื่อยๆ จากทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อเห็นเงากองทัพกำลังพุ่งตรงมา!

นั่นมัน… ชายหนุ่มหรี่ตา มองเห็นภาพที่คุ้นเคย หมอกสีแดงคือละอองเกสรที่ดอกปีศาจราเขียวปล่อยออกมา จึงไม่ยากเลยที่จะเดาได้ว่าเงากองทัพที่กำลังเคลื่อนตัวมานั้น…คือโครงกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน!

เป็นไปได้ไหมว่าแท่นสังเวยจะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นช่วงๆ เพื่อดึงเหล่าโครงกระดูกที่ตกอยู่ในภวังค์คาถาของดอกปีศาจให้เข้าหา ชายหนุ่มมีสีหน้าตื่นตะลึง เขาก้มมองภูเขากระดูกใต้โม่หิน จากนั้นก็หันกลับไปมองยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลห่าง ความตื่นตระหนกเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจเมื่อภาพเหตุการณ์ตรงหน้าช่วยยืนยันว่าที่คิดไว้นั้นถูกต้อง

ผืนดินสั่นไหว ทัพความตายเคลื่อนตัวเข้ามาจากไกลห่าง จระเข้ยักษ์ร่างเน่าเปื่อยโผล่พ้นดินมาร่วมกับกองทัพแห่งความตาย

จระเข้ตัวนั้นไม่ใช่อสูรแข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ สถานการณ์เริ่มแย่ลงไปอีกเมื่ออสูรมากมายเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ทีละตัว!

พลังประหลาดแผ่พุ่งไปรอบบริเวณ ดอกปีศาจราเขียวทุกดอกบานสะพรั่งทันใดพร้อมกับปล่อยละอองเกสรสร้างหมอกสีแดงนำพาศพรอบๆ มุ่นหน้าไปทางแท่นสังเวย

หวังเป่าเล่อไม่สามารถนั่งรอเฉยๆ ได้อีกต่อไปเมื่อภัยอันตรายกำลังรุดหน้าเข้ามา เขาแนบตัวลงกับพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาแท่นสังเวย หากเหล่าศพที่หมอกสีแดงนำทางมาถึง พวกนั้นคงจะพบตนเข้าในทันที และต้องติดอยู่ในกองทัพผีดิบเหมือนก่อนหน้านี้

หากเป็นเช่นนั้นคงจะมีโอกาสรอดต่ำมาก ทางเดียวที่จะรอดไปได้ตอนนี้คือมุ่งหน้าไปยังแท่นสังเวย แม้จะอันตราย แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่เขามี

ข้าไม่น่ามาที่นี่เลย! หวังเป่าเล่อแบกหน้าเคร่งเครียดของตัวเองคลานไปด้านหน้า ก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างผ่านตา เขามองไปทางกองกระดูกใต้ท่อนไม้ เหล่าหุ่นเชิดเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีฝูงชนกว่าสี่สิบคนบนภูเขากองกระดูกลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปทางแท่นสังเวยอย่างระมัดระวัง!

ในฝูงชนนั้นมีคนคุ้นหน้าอย่างเฟิ่งชิวหรัน เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า สวีหมิง ลู่หยุน และผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอีกจำนวนหนึ่ง

พวกเขาซ่อนอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน เขาหยุดชะงักขณะหันมองกลุ่มผู้ฝึกตน สายตาเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงอัญมณีเปล่งแสงห้าสีในมือเฟิ่งชิวหรัน ชายหนุ่มหยุดคิด เฟิ่งชิวหรันที่นำทัพอยู่เหมือนจะใช้พลังบางอย่างที่เขาไม่รู้จักซ่อนฝูงชนไว้ไม่ให้หุ่นเชิดสังเกตเห็น

พวกเขาน่าจะมาถึงนานแล้วแต่ตัดสินใจรอดูสถานการณ์ก่อนเหมือนข้า กองทัพที่ตื่นขึ้นจากละอองเกสรคงจะบีบบังคับให้พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง! หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุป ตายังจ้องไปทางเจ้าเยี่ยเหมืองและกงเต๋า

เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าทั้งสองปลอดภัยดี ผู้ฝึกตนบางคนดูอ่อนล้า แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ การเดินทางของพวกเขาคงจะเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากมาย แต่ก็รอดพ้นมาได้เพราะมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอย่างเฟิ่งชิวหรันคอยปกป้อง ด้วยพลังแกร่งกล้าจากท่อนไม้และจุดซ่อนตัวที่คาดไม่ถึงขอหวังเป่าเล่อ กลุ่มตรงหน้าจึงไม่สามารถสังเกตเห็นเขาได้

ทุกคนเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่หวังเป่าเล่อจะเผยตัว เขาจับตาดูพวกเฟิ่งชิวหรันไปพร้อมๆ กับรุดหน้าเข้าไปหาแท่นสังเวย

ทั้งสองกลุ่มเดินหน้าไปยังแท่นสังเวยจากคนละจุดขณะที่ละอองเกสรยังระเบิดขึ้นในอากาศไม่หยุดหย่อน ผืนดินสั่นไหวรุนแรงจากกองทัพศพที่มุ่งหน้าเข้ามา ในที่สุด พวกเขาก็ไปถึงขอบแท่นสังเวยพร้อมกัน!

เหลือดไหลหยดเปื้อนหน้าพวกเขา พลังทรงอำนาจอัดแน่นในอากาศห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ หลายคนตัวสั่นเทิ้มจากพลังกดดันแม้จะมีพลังปราณของเฟิ่งชิวหรันช่วยคุ้มกัน หวังเป่าเล่อเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เขาหันมองพวกเฟิ่งชิวหรันอีกครั้ง

ชายหนุ่มเห็นนางตั้งผนึกมือขึ้น ก่อนจะชี้นิ้วออกไป ยันต์ส่องแสงจ้าพุ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เป็นยันต์ที่ดูเก่าแก่ เหมือนจะอยู่รอดมาเป็นพันปี พลังแกร่งกล้าพวยพุ่งออกมาจากแผ่นกระดาษ หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนโดนผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จ้องหน้าทำให้เขาต้องหายใจถี่รัว

เฟิ่งชิวหรันกัดลิ้นพ่นเลือดใส่ยันต์ เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาทันใด ปักษาเพลิงถือกำเนิดขึ้นจากเปลวไฟ มันกรีดร้องพร้อมกับพุ่งตรงไปยังโม่หิน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท