รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 167 ความเป็นมนุษย์ อันดับแรกตนต้องมีจิตใจที่มีมโนธรรม!

บทที่ 167 ความเป็นมนุษย์ อันดับแรกตนต้องมีจิตใจที่มีมโนธรรม!

บทที่ 167 ความเป็นมนุษย์ อันดับแรกตนต้องมีจิตใจที่มีมโนธรรม!

“ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ…”

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมองไปรอบ ๆ เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

ที่นี่ว่างเปล่ามากเกินไป…

นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอยู่เลย

นี่มันผิดปกติมากเกินไป!

จำต้องรู้ว่าในโลกแห่งการฝึกตน ทุกคนต่างต้องการฝึกตน

แม้ว่าจะเป็นพรรคฝึกตนเล็ก ๆ แค่เอ่ยว่าเปิดรับลูกศิษย์ คนจำนวนมากก็จะมาเข้าร่วมในการประเมินอย่างแน่นอน

ทว่าที่พรรคจื่อเสียกลับไม่มีผู้ใดเลย…

มันผิดปกติเกินไป!

เดิมทีพรรคจื่อเสียหาใช่พรรคผู้ฝึกตนขนาดเล็ก แต่พวกเขาเป็นพรรคผู้ฝึกตนขนาดกลาง

ภายใต้สถานการณ์ปกติควรมีผู้คนมากมายที่นี่

หรือพวกเขามาเร็วเกินไป?

ก็ไม่น่านะ…

เวลาในการประเมินที่พรรคจื่อเสียประกาศ ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าเท่านั้น

ข้ามาที่นี่ล่วงหน้าหนึ่งเดือนกว่าซึ่งไม่ถือว่าเร็วเลย

หลังจากพรรคประกาศวันประเมิน ผู้คนย่อมมารอล่วงหน้ามากกว่าหนึ่งเดือนหรือสองเดือน…

“มิน่าเล่าที่แม่นางผู้นั้นบอกว่าตอนนี้รับการทดสอบได้เลย ก็เพราะที่นี่ไม่มีคนมา!”

ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งกล่าว

“เราเปลี่ยนไปสำนักอื่นดีหรือไม่ ไม่มีคนมาที่นี่ ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีนัก…”

ผู้ใหญ่มองหน้ากันด้วยความกังวล

นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นมา นี่นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติจริง ๆ ราวกับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในพรรคจื่อเสียโดยที่พวกเขาไม่รู้

ผู้ปกครองทุกคนต่างกังวลว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับลูกของพวกเขา หลังจากที่เข้าไปในพรรคจื่อเสีย

“ข้าก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดี!”

“หากเจ้าเปลี่ยนข้าก็เปลี่ยน ได้ยินมาว่าสำนักเฉียนหลันก็เปิดรับลูกศิษย์ด้วย”

ผู้ใหญ่ท่านอื่นพยักหน้ารับ

“ท่านพ่อ ท่านจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? พี่สาวอุตส่าห์พาพวกเรามาที่นี่ ซ้ำยังเข้าไปข้างในเพื่อช่วยรายงานแทนพวกข้า แล้วพวกข้าจะเดินออกไปเช่นนี้ได้อย่างไร!”

เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหัวด้วยไม่อยากจะเปลี่ยนสถานที่

นางรู้สึกว่าหากนางทำเช่นนั้น ใจย่อมรู้สึกผิดต่อพี่สาวที่พาพวกเขามาที่นี่…

“ข้าไม่อยากไป!”

“ข้าด้วย!”

เด็ก ๆ คนอื่นก็ส่ายหัวไม่อยากจากไปเช่นกัน

“อ้ายฉาน ฟังคำพ่อก่อน ก่อนที่พวกเราจะไป แม้ว่าจะไม่ได้ไปพรรคอื่น แต่พวกเรามาดูกันก่อนว่าสถานการณ์ของพรรคจื่อเสียนั้นยังดีอยู่หรือไม่”

พ่อของเด็กหญิงตัวน้อยพูดกับบุตรสาวของตนเอง

อ้ายฉาน คือชื่อเด็กหญิงตัวน้อย

“ข้าไม่ทำ!”

แม้ว่าอ้ายฉานจะอายุพียงแค่เจ็ดขวบ แต่นางกลับดื้อรั้นมาก

นางพูดเอ่ยต่ออีกว่า “ท่านพ่อ ท่านบอกว่าอยากให้ฉานเอ๋อร์เป็นคนมีเมตตาและชอบธรรม หากพวกเราจากไปตอนนี้ แล้วพวกเราจะเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร”

นางส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ฉานเอ๋อร์ ไม่ต้องการเป็นคนไม่ชอบธรรม!”

“นี่…” พ่อของอ้ายฉานถูกขัดด้วยคำพูดที่อ้ายฉานเอ่ย

อย่างที่เด็กหญิงกล่าว มันคงไร้ความเมตตาและไม่ชอบธรรมสำหรับพวกเขาที่จะจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

อย่าลืมว่า แม่นางผู้นั้นพาพวกเขามาที่นี่และยังเข้าไปข้างในเพื่อรายงานแทนพวกเขา หากพวกเขาต้องจากไปจริง ๆ พวกเขาก็จะสูญเสียความชอบธรรมไป

“มันก็ไม่ถูกต้องจริง ๆ นั่นแล แต่ดูที่ประตูภูเขาของพรรคจื่อเสียเสียก่อน ไม่มีแม้กระทั่งลูกศิษย์เฝ้าประตู พรรคที่ไม่มีลูกศิษย์เฝ้าประตู มันจะเป็นได้อย่างไร?”

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกล่าว

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นปุถุชนธรรมดา ทว่าแท้จริงแล้ว นี่คือโลกแห่งการฝึกตนและมีผู้ฝึกตนอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่ว่าสำนักใดก็ย่อมมีศิษย์เฝ้าประตูคอยปกป้องสำนัก

ทว่าพรรคจื่อเสียกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว…

เห็นเช่นนี้แล้ว ดูอย่างไรก็มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพรรคจื่อเสียจริง ๆ!

“ใช่!”

“มันดูผิดปกติเกินไป!”

ผู้ใหญ่คนอื่น ๆ พยักหน้า ก่อนที่พวกเขาจะอุ้มลูกของตนและต้องการเดินจากไป

“ข้าไม่ไป!”

“คุณชายบอกกับพวกเราว่าไม่ว่ามนุษย์เราจะไปได้ไกลเพียงใด พวกเราจะต้องซื่อตรง มีเมตตากรุณาและมีความชอบธรรม!”

เด็กเหล่านี้ดิ้นรนอย่างสิ้นหวังและไม่ยอมจากไป

“จู้จื่อ ลูกต้องเชื่อฟัง!”

“พวกข้าทำเพื่อตัวพวกเจ้านะ!”

พวกผู้ใหญ่ไม่ว่าจะมากันเยอะเพียงใด ก็ต้องออกแรงดึงพาลูกพวกเขาไป

“ช่างมันเถอะ”

ในเวลานี้เอง พ่อของอ้ายฉานกล่าวขึ้นมา “พวกเราสอนเด็ก ๆ เสมอว่าให้เป็นคนดีและไม่ละเมิดมโนธรรม แต่หากพวกเราพาเด็ก ๆ ไปตอนนี้ พวกเราจะยังมีจิตใจที่เป็นมโนธรรมอยู่อีกหรือ?”

คำพูดของอ้ายฉานทำให้เขาเจ็บปวดไม่น้อย

เขาสอนอ้ายฉานตั้งแต่เด็กว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องรู้จักสำนึกผิดชอบชั่วดีก่อน

เป็นความจริงที่สถานการณ์ปัจจุบันของพรรคจื่อเสียดูไม่ดีนัก

แต่การพาเด็ก ๆ จากไปตอนนี้ก็ถือว่าไม่มีความเมตตาและดูไม่ชอบธรรมเกินไป ข้ารู้สึกเสียใจกับมโนธรรมของตนเองเหลือเกิน

ผู้ใหญ่บางคนหน้าเริ่มแดงขึ้นมา การทำเช่นนี้ก็ผิดมโนธรรมและไร้เหตุผลจริง ๆ

“ข้าไม่สน ข้าอยากพาจู้จื่อของข้าไป”

ผู้ใหญ่ร่างกำยำนั้นคือพ่อของจู้จื่อ เขาออกแรงดึงจู้จื่อให้ตามไปด้วย

แม้ว่ามันจะผิดมโนธรรมและไร้สำนึก…แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกชายกระโดดลงไปในขุมนรกนี้

ในความคิดของเขา พรรคจื่อเสียในตอนนี้ก็คือขุมนรกขุมหนึ่ง

“ข้าไม่ไป ถ้าท่านอยากไปท่านก็ไปเสีย!”

จู้จื่อเป็นเด็กที่แข็งแรง และเขาก็กัดแขนของพ่ออย่างดื้อรั้น

“เอ๊ะ! จู้จื่อเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงกัดพ่อ!?”

พ่อของจู้จื่อรู้สึกเจ็บปวดจึงปล่อยมือเด็กชาย และจู้จื่อก็วิ่งหนีหายไป

“เจ้าเด็กเวร ต่อต้านข้าเสียได้!”

พ่อของจู้จื่อโมโหมาก เขาถอดรองเท้าผ้าที่สวมอยู่ออก และไล่ตามจู้จื่อไปเพื่อทุบตีเขา

“มาเลย ข้าไม่ไป แม้ว่าท่านจะฆ่าข้าก็ตาม!”

จู้จื่อวิ่งด้วย ตะโกนไปด้วย

ในเวลานี้เอง เด็กสาวในอาภรณ์สีขาวและชายชราผมขาวเดินออกจากพรรคจื่อเสียด้วยย่างก้าวที่เชื่องช้า

พ่อของจู้จื่อสงบลงทันที ขณะที่ผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ก็หยุดพูดเช่นกัน

ต่อหน้าผู้ฝึกตน พวกเขาไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ

“พวกเจ้าต้องการเข้าพรรคจื่อเสียของข้าหรือไม่?”

ชายชราผมขาวถามอ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ

“อยาก!”

“พวกข้าต้องการเป็นศิษย์น้องของพี่สาว”

อ้ายฉานและเด็กคนอื่น ๆ ตะโกนเอ่ยพร้อมกัน

“อืม ตกลง!”

ชายชราผมขาวพยักหน้า

แล้วเขาก็มองไปที่พ่อของอ้ายฉานกับผู้ใหญ่คนอื่นพลางพูดว่า “มีบางอย่างที่ข้าต้องบอกพวกเจ้าล่วงหน้า”

“เชิญท่านพูด!”

พ่อของอ้ายฉานรอผู้เฒ่าตอบกลับเหตุผล

“เมื่อไม่นานมานี้ แดนบูรพาทิศตกอยู่ในความโกลาหล ผู้ฝึกตนจากภูมิภาคอื่นมาอาละวาดทางแดนบูรพาทิศของพวกเรา พรรคจื่อเสียของข้าดูแลคุ้มครองเมืองปุถุชนเบื้องล่าง แบกรับความเสียหายจากการต่อสู้กับผู้ฝึกตนพวกนี้ที่สร้างความเดือดร้อนในเมืองปุถุชน…”

ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “การต่อสู้ครั้งนั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อพรรคจื่อเสียของเรา ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งและลูกศิษย์จำนวนมากเสียชีวิต แม้แต่หัวหน้าของพรรคก็เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนั้น ส่วนผู้อาวุโสที่รอดกลับมาต่างก็บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย…”

เขาหยุดพูดไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ตอนนี้พรรคจื่อเสียของเราดำรงอยู่ในนามเท่านั้น เหลือเพียงผู้อาวุโสสองหรือสามคนกับลูกศิษย์อีกสิบกว่าคนเท่านั้น”

เป็นเรื่องจริงที่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพรรคจื่อเสีย!

หลังจากได้ยินสิ่งที่ชายชราผมขาวพูด สีหน้าของพ่ออ้ายฉานและผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ต่างเปลี่ยนไปในทันที

พวกเขาเดาถูกแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันของพรรคจื่อเสียนั้นย่ำแย่มาก…

ผู้นำพรรคเสียชีวิตและคนอื่น ๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหลือเพียงผู้อาวุโสเพียงสองหรือสามคน กับลูกศิษย์อีกสิบกว่าคนเท่านั้น ที่สำคัญคือพรรคจื่อเสียเหลือเพียงแค่นามเท่านั้นที่ยังคงอยู่

“ทว่าแม้จะเหลือเพียงคนเดียวในพรรคจื่อเสีย แต่พรรคของเราจะยังคงสืบทอดต่อไป!”

ดวงตาของชายชราเปล่งประกายขึ้นมาและเขาก็พูดอย่างฮึกเหิม

“สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล พวกเจ้ายังต้องการให้เด็ก ๆ เข้าร่วมพรรคจื่อเสียของข้าอยู่หรือไม่? ข้าสามารถทดสอบความสามารถของเด็ก ๆ ได้ในยามนี้เลย เเต่หากพวกจ้าไม่ต้องการ ข้าก็ไม่ตำหนิพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถพาเด็ก ๆ ออกไปได้” เขากล่าวต่อ

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท