มีเพียงให้ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเขา เขาถึงจะวางใจ
เพียงแต่ ชายชราคิดไม่ถึงว่า แม้แต่ในความฝันบุตรชายก็ใคร่อยากจะกำจัดเขา หนิงเซ่าชิงหัวเราะเยือกเย็น สั่งอาซานและอาอู่ “อย่าบอกเรื่องนี้ให้ฮูหยินรู้”
อาซานไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้านายจึงไม่ให้บอกฮูหยินขอรับ คนที่ลงมือคือท่านผู้เฒ่าเรือนตระกูลถง หากฮูหยินทราบเรื่องนี้ ต้องไล่คุณชายตระกูลถงออกไปแน่นอน…” เจ้านายจะได้กำจัดเสี้ยนหนามได้พอดี!
อาอู่เองก็พูด “จริงด้วยขอรับ เจ้านาย บ่าวเองก็รู้สึกว่าให้ฮูหยินรู้จะดีกว่า ไล่คุณชายตระกูลถงออกไป จะได้บรรเทาความคับแค้นใจ”
องครักษ์เงาคอยติดตามหนิงเซ่าชิงทุกวัน รู้จักนิสัยของนายตนดีกว่าอาซานและอาอู่เล็กน้อย
หากบอกฮูหยิน ฮูหยินย่อมไล่คุณชายตระกูลถงนั่นออกจากเรือน ทว่า คุณชายถงไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนเบื้องหน้าที่แสดงออกมา ความเป็นจริงเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก
ตอนนี้นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ จี้ซวี่เหยาไม่ได้สอนโดยเปล่าประโยชน์ เขารู้จักกลยุทธ์เดินหน้าและถอยหลัง ทั้งยังรู้จักข่มขู่ หากเขารู้เรื่องราวทั้งหมด หลังจากกลับไป ต้องมีปัญหากับผู้เฒ่าถงแน่นอน มีความเป็นไปได้ที่จะ ‘อาการกำเริบ’ จนผู้เฒ่าถงร้อนใจ เมื่อเขามีใจจะทำสิ่งใดแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่แน่อาจจะลงมืออย่างเหี้ยมโหด
องครักษ์ตระกูลถงไม่ได้ทำจากเต้าหู้ องครักษ์ตระกูลถงคือยอดฝีมือ ท่านผู้เฒ่าถงเป็นคนอำมหิตมาโดยตลอด เมื่อถึงเวลา หากเขาทุ่มสุดตัวโดยไม่สนสี่สนแปด ย่อมไม่ส่งผลดีต่อพวกเขา
“ถงจื่อจิ้งคือถงจื่อจิ้ง ผู้เฒ่าถงคือผู้เฒ่าถง พวกเจ้าห้ามเอามาปนกัน ข้าตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องหารือกันอีก”
สีหน้าหนิงเซ่าชิงเยือกเย็น น้ำเสียงเคร่งขรึม อาซานและอาอู่ไม่กล้าพูดอะไรอีก คุกเข่าบนพื้นพร้อมกัน ประสานมือคำนับพูด “ขอรับ”
หนิงเซ่าชิงผายมือบอกให้ทั้งสองลุกขึ้น แล้วหยิบของบางอย่างออกมาอ้อมแขน บอกกับอาอู่ “พรุ่งนี้ฮูหยินจะเข้าเมืองไปซื้อสาวใช้ เจ้าเอาของสิ่งนี้ส่งไปให้ซูชี”
“ขอรับ” อาอู่รับจดหมายหนังวัวมาจากหนิงเซ่าชิง เขารู้ว่าจดหมายนี้เมื่อคราวก่อนลุงอวี๋เป็นคนเอามา เนื้อความด้านในคือโฉนดที่ดินและสัญญาหุ้นส่วนเหมืองแร่
เหมืองแร่ที่นั่นคือแร่ที่พบได้น้อย ล้ำค่ายิ่งนัก เพื่อเหมืองแร่ผืนนั้นเจ้านายของตนต้องเดินทางออกนอกเมืองหลวงหลายครั้งจึงจะได้มาครอบครอง
ให้คุณชายแห่งตระกูลซูง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ แม้ภายในใจของเขาจะสงสัย ทว่าไม่กล้าถาม เมื่อครู่เขาถามด้วยความสงสัย ก็ทำให้เจ้านายขุ่นเคืองด้วยความไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเล็กน้อย หากถามอีก เกรงว่าเจ้านายจะโมโหเอาได้
ถึงอย่างไร ขอเพียงเป็นเรื่องที่เจ้านายตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เขามีหน้าที่ทำตามก็พอ
อาอู่เก็บจดหมายฉบับนั้นเข้าไปในอ้อมแขน ทว่ามือของหนิงเซ่าชิงเริ่มสั่นเทา
ริมฝีปากที่อ่อนราวกับสีของน้ำซีดขาวขึ้นมาทันที จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว แล้วกลายเป็นสีม่วง เพียงเวลาหายใจ ร่างกายเย็นยะเยือก รอบตัวมีไอเย็นแผ่ซ่านออกมา
“เจ้านาย” ทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกัน ร้อนใจยิ่งนัก
นี่คือลางบอกก่อนที่พิษลมหนาวจะกำเริบ!
พวกเขาต่างรู้ดีวันนี้เจ้านายใช้พลังปราณหลายครั้ง พิษลมหนาวต้องกำเริบแน่นอน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะกำเริบเร็วเช่นนี้ รุนแรงเช่นนี้ พวกเขารู้เพียงว่า ใช้พลังปราณเพียงเล็กน้อย หากเจ้านายกลับมาปรับพลังปราณ แม้จะเร็วขึ้น แต่อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งปีให้หลังจึงจะกำเริบ
ถึงอย่างไรก็เจอตัวหมอประหลาดแล้ว เขาเองก็เจอตัวยานำพาแล้ว รอเพียงหิมะละลาย ดอกไม้ผลิบาน แล้วเก็บเกี่ยว ก็สามารถกินยาได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ ตอนอยู่ในรถม้า หนิงเซ่าชิงกลัวมั่วเชียนเสวี่ยจะได้รับไอหนาว แล้วทิ้งโรคเอาไว้ ตอนนั้นจึงใช้พลังปราณของตนเองเพื่อขับไอหนาวออก ไอหนาวที่ขับออกไปใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อ เท่ากับใช้พลังปราณอย่างแท้จริง สูญเสียพลังมากยิ่งกว่าต่อสู้กับคนชั่วพวกนั้น
หนิงเซ่าชิงย่อมคิดไม่ถึงว่าตอนหลังจะมีคนบุกโจมตีกลางดึก แม้จะคาดคิดได้ว่าจะมีคนบุกโจมตีกลางดึก เขาเองก็ทำใจให้มั่วเชียนเสวี่ยลำบากไม่ได้
องครักษ์เงาเห็นนายของตนตัวสั่น จึงพยุงตัวหนิงเซ่าชิงไปนั่ง
หนิงเซ่าชิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ปรับพลังปราณในทันที อยากจะใช้พลังปราณโอบล้อมไอหนาวเอาไว้ แล้วกดลงไปในจุดฝังเข็ม
เพียงครู่หนึ่ง คิ้วของเขา มีเกล็ดน้ำแข็งก่อตัว เหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผากคือเหงื่อน้ำแข็ง
องครักษ์เงาเห็นว่าอาการแย่แล้ว วางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของหนิงเซ่าชิงโดยไม่ลังเล ป้อนพลังปราณทั้งหมดของตนเขาไปในตัวของหนิงเซ่าชิง ช่วยเขาจัดการไอหนาวที่ยุ่งเหยิงนั่น
ได้องครักษ์เงาคอยช่วย เวลาหนึ่งมื้ออาหาร เกล็ดน้ำแข็งบนใบหน้าของหนิงเซ่าชิงค่อยๆ หายไป ริมฝีปากสีม่วงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว แล้วจางลง…
รอหนิงเซ่าชิงเก็บพลังปราณครั้งสุดท้าย องครักษ์เงากลับอ่อนระทวยล้มลงบนพื้น
“เจ้านาย ไอหนาวนี้บ่าวทำสุดกำลัง สามารถกดมันได้เพียงหนึ่งร้อยวัน หากหนึ่งร้อยวันให้หลังเกิดกำเริบขึ้นอีก อาศัยกำลังภายใน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจกดเอาไว้ได้อีกแล้ว” หลังจากองครักษ์เงาพูดจบ เขาก็หมดสติไป
ภายในหนึ่งร้อยวัน? เช่นนั้น ยานั่นไม่อาจมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ดวงตาของอาซานและอาอู่ฉายความตกตะลึง
“เจ้านาย…”
หนิงเซ่าชิงยกมือขึ้นปรามพวกเขาทั้งสองที่กำลังจะพูด กำชับเพียงหนึ่งประโยค “เรื่องนี้ห้ามบอกฮูหยินเด็ดขาด”
เช้าตรู่วันที่สอง เป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ยร่างกายอบอุ่น จึงนอนหลับสนิท และตื่นแต่เช้า
นางบิดขี้เกียจ หันไปมองหนิงเซ่าชิงที่อยู่ข้างกายซึ่งยังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าตอนนอนที่สง่างามเคล้าไปด้วยความหนักหน่วง เสียงลมหายของเขาก็หืดหอบกว่าปกติเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดว่าเขามีพิษอยู่ในตัวอยู่แล้ว เมื่อวานไม่เพียงแต่ประลองกับซูชี ในตอนหลังยังช่วยตนขับไอหนาวออกจากร่างกาย แล้วหลังจากนั้นก็ต่อสู้กับโจร ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ด้วยเหตุนี้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงจัดผ้าห่มให้เขา ลุกขึ้นจากเตียงเงียบๆ ใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกไปจากห้อง
เมื่อเดินออกมา รู้สึกสดชื่นอย่างมาก นางพูดในใจว่าพลังปราณของคนโบราณใช้ได้ผลดีจริงๆ เมื่อวาน นางแช่อยู่ในน้ำเย็นนานพักใหญ่ ตอนอยู่บนรถม้าหลังจากหนิงเซ่าชิงขับไอหนาวออกจากตัวนาง นางก็รู้สึกอบอุ่นตลอดทั้งคืน นอนหลับสนิท วันนี้ตื่นขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่เป็นหวัด ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก
ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!
เมื่อวานถงจื่อจิ้งทำการตัดสินใจแน่วแน่ นี่เพิ่งยามเหม่าก็ตื่นขึ้นมาฝึกวรยุทธ์แล้ว
คราวนี้ เพิ่งกลับมาจากฝึกวรยุทธ์ เขาเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมา เดินเข้าไปบอกเล่าการฝึกฝนในวันนี้อย่างดีอกดีใจ ทั้งยังแสดงมัดยาวให้มั่วเชียนเสวี่ยดูที่ลานบ้าน
มั่วเชียนเสวี่ยกลัวว่าเขาจะทำให้หนิงเซ่าชิงที่กำลังหลับสนิทตื่น ทั้งยังเห็นถงจื่อจิ้งดีใจเช่นนี้ นางทำใจขัดความสุขในการฝึกวรยุทธ์ของเขาไม่ได้ จึงพาเขาไปฝึกมวยที่ลานนอกเรือน
เขาฝึกมวยอย่างไร ทำท่าเหมือนลิงบ้า หยอกล้อจนมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเสียงดัง
แต่ว่าอาซานและอาอู่ที่อยู่ด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ย กลับกัดฟันจนเสียงดังกรอด เสียงนั้นดังจนมั่วเชียนเสวี่ยที่ยืนอยู่ไกลออกไปหลายจั้งยังได้ยิน
มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่าพวกเขาไม่ชอบถงจื่อจิ้งมาโดยตลอด นึกว่าพวกเขาสองคนกินน้ำส้มสายชูแทนเจ้านาย นางจึงไม่ได้สนใจนัก
ในตอนหลังนางครุ่นคิด เมื่อวานนางเกือบล้มเข้าหาบุรุษอื่น ภายในใจของนางรู้สึกละอายเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรกับถงจื่อจิ้งมากมาย เพียงแค่พูดให้กำลังใจไม่กี่คำ แล้วค่อยบอกเขาให้ออกไป…