ภายใต้ท้องฟ้ากระจ่างใส หยวนหลิงเซวียนยืนอยู่บนเวทีด้วยใบหน้าเย็นชา ตอนที่เขาได้รับข่าวนี้ เขาก็ถึงกับผุดลุกขึ้นจากตั่งไม้ที่ตนนั่งอยู่ทันที ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ขยะทั้งสามจากหอสามัญเอาชนะไปได้อย่างเหนือความคาดหมายหรือ?!
เจ้าพวกหอชั้นเยี่ยมมัวทำอะไรอยู่!
พวกเขาจงใจออมมือให้คนพวกนั้นหรือเปล่า?
หยวนหลิงเซวียนขมวดคิ้วอย่างทนไม่ไหว แต่หลังจากนั้นก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาอีกครั้ง
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าบางครั้งลำดับการประลองก็ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของกลุ่มมากทีเดียว
ในสองรอบที่ผ่านมา การประลองพลังปราณนั้นอยู่ในลำดับสุดท้าย
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เฮยเจ๋อไม่มีแม้แต่โอกาสให้ได้ลงแข่งเลยด้วยซ้ำ หากเขาได้ลงแข่งล่ะก็ ผลที่ออกมาก็คงไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากบางของหยวนหลิงเซวียนก็ยกขึ้นอย่างดูถูกอีกครั้ง
โชคของเจ้าพวกขยะชั้นต่ำจากหอสามัญช่างดีเสียเหลือเกิน พวกมันได้อานิสงส์จากระบบการแข่งขันถึงสองรอบติด
แต่ในรอบนี้ พวกมันลืมข้อได้เปรียบที่ว่านั่นไปได้เลย!
สงสัยว่าเจ้าพวกนั้นจะเข้าใจเรื่องนี้ดี ด้วยเหตุนี้พวกมันถึงได้ไม่กล้าโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ
หยวนหลิงเซวียนมองที่นั่งร้างผู้คนของหอสามัญ น้ำเสียงของเขายามเอ่ยกับตู๋ซูเฟิงที่อยู่ไม่ไกลนักทั้งยานคางและฟังดูเกียจคร้าน ”ท่านเจ้าสำนักขอรับ เรายังเหลือเวลาอยู่อีกครึ่งก้านธูปก็จริง แต่หากธูปหอมดอกนี้ไหม้หมดแล้ว แต่พวกเขายังไม่มาปรากฏตัวที่นี่อีก เช่นนั้นเห็นทีว่าพวกเราคงทำได้เพียงตัดสินให้พวกเขาแพ้ไปตามกติกาของการประลองนี้เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น ขอท่านอย่าได้ปกป้องศิษย์จากหอของตนเลยขอรับ มิฉะนั้นพวกเราคงรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก”
ตู๋ซูเฟิงนั่งอยู่ในตำแหน่งของอาจารย์หัวหน้าหอสามัญอย่างสง่างาม หลังจากได้ยินคำพูดของหยวนหลิงเซวียน เขาก็ทำเพียงแค่ยกชาขึ้นมาจิบ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ว่า ”ตำแหน่งที่ข้านั่งอยู่ในเวลานี้ไม่มีสิทธิ์ตัดสินสิ่งใดด้วยซ้ำ แล้วข้าจะไปปกป้องพวกเขาได้อย่างไร”
”ท่านเจ้าสำนักพูดถูก หลิงเซวียน เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ยืนรออีกสักหน่อยแล้วกัน” อาจารย์ไป๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูบเคราของตนเบาๆ ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความพอใจอย่างยากจะอธิบายได้ ”อีกไม่นานเจ้าก็คงได้ลงมา อย่างไรเสียหอชั้นเลิศของเราก็เป็นผู้ชนะทุกปีอยู่แล้ว รอพวกเขาอีกสักครึ่งก้านธูปแล้วจะเป็นไรไปเล่า อย่าใจร้อนไปหน่อยเลย”
หยวนหลิงเซวียนยิ้ม ”ท่านอาจารย์ ศิษย์มิได้ใจร้อนขอรับ ข้าเพียงแต่เกรงว่าคู่ต่อสู้จะกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้ามาต่างหาก หากเป็นเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักคงรู้สึกเสียใจไม่น้อยขอรับ”
”ที่เจ้าพูดก็ถูก” อาจารย์ไป๋แสร้งทำหน้านิ่ง แล้วลอบมองไปทางตู๋ซูเฟิง ”ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ทั้งสามจากหอของท่านได้ลงทะเบียนการแข่งเอาไว้หรือไม่ หากพวกเขาต้องการที่จะยกเลิกการแข่งนี้ ทำเพียงแค่ถอนชื่อตัวเองออกไปก็พอแล้ว อย่างไรเสีย ปกติแล้วบรรดาคนอวดดีเช่นนั้นก็ล้วนแต่กลัวว่าตนจะเสียหน้าเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก จนไม่สามารถอยู่ในสำนักต่อได้กันทั้งนั้น พวกข้าเข้าใจดี เราบอกให้หลิงเซวียนกับเพื่อนๆ ออมมือให้พวกเขาในระหว่างประลองก็ได้ แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขั้นที่ไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้เลย”
ตู๋ซูเฟิงหมุนถ้วยชาในมือ น้ำเสียงอ่อนโยนอันเป็นนิสัยแผ่วเบากว่าที่เคย ”ใครบอกอาจารย์ไป๋หรือว่าพวกเขาคิดที่จะยกเลิกการแข่งขัน พวกเขาก็เพียงแค่มาสายไปเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ทันถึงเวลาแข่งเลยด้วยซ้ำ อาจารย์ไป๋จะร้อนใจไปทำไมกัน”
”หึๆ ท่านพูดถูก ข้าจะร้อนใจไปทำไมกัน แน่นอนว่าคนที่ควรจะร้อนใจย่อมไม่ใช่ข้า” น้ำเสียงประหลาดของอาจารย์ไป๋แฝงไปด้วยความยียวน พร้อมกันนั้นเขาก็ละสายตาออกมาจากร่างของตู๋ซูเฟิง
ตู๋ซูเฟิงนั่งนิ่งไม่พูดจา พลางทอดสายตามองไกลออกไป สายตาของเขาหยุดลงบนธูปหอมที่ใกล้จะมอดลงเต็มที
เด็กรับใช้ของเขาเอนตัวเข้ามาหาเล็กน้อย พร้อมรายงานบางอย่างให้เขาฟัง
ตู๋ซูเฟิงขมวดคิ้วทันที
ในตอนนั้นนั่นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงของใครบางคนตะโกนขึ้นมาว่า ”ธูปกำลังจะหมดดอกแล้ว!”
ตู๋ซูเฟิงจับถ้วยชาที่อยู่ในมือแน่น นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาจมลงสู่ความลึกล้ำ
ผู้ตัดสินทั้งสามมองหน้ากัน จากนั้นจึงเริ่มหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำหมึก และกำลังจะเขียนคำว่า ’ทิ้งการแข่งขัน’ ลงในช่องของหอสามัญ แต่แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังปัง!
ผนังรอบเวทีการประลองถูกใครบางคนเตะจนเป็นรู!
ฝุ่นสีขาวตลบอบอวลอยู่ในสายตา ที่ตรงนั้นคล้ายมีร่างสามร่างปรากฏขึ้น แต่ละร่างมีบรรยากาศที่แตกต่างกัน แต่ตัวตนของแต่ละคนนั้นกลับดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
หนานกงเลี่ยยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของเขาประดับประดาไปด้วยความเย้ายวนและมีอิสรเสรี เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นสางเส้นผมของตัวเอง ที่ข้อมือขาวไร้ริ้วรอยนั้นมีสร้อยลูกประคำห้อยอยู่ ดวงตาเรียวของเขาแย้มยิ้มอย่างซุกซน เขาไม่มีเวลาพอที่จะยับยั้งกลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากร่างของตนเองเอาไว้ได้ทัน เพียงแค่เสี้ยวหนึ่งจากคิ้วของเขาก็ทำให้บรรดาเด็กสาวหลงเสน่ห์จนใบหน้าแดงซ่านไปตามๆ กัน
คนถัดมาคือเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ข้างเขาด้วยรอยยิ้มไม่กว้างนัก แต่รอยยิ้มบางๆ นั้นกลับดูเหมือนไม่ใช่รอยยิ้มเสียทีเดียว ในท่าทางเฉื่อยชาของนางมีเอกลักษณ์บางอย่างแฝงอยู่ นางใช้มือข้างซ้ายของตนพับแขนเสื้อที่มือขวาพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นแล้ว นางดูมีเสน่ห์มากกว่า…
และคนสุดท้ายคือชายหนุ่มผมดำในชุดสีเงิน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา และกำลังค่อยๆ สาวเท้าเดินตามมา
สายลมพัดเส้นผมสีดำของเขา เสื้อคลุมตัวยาวที่อยู่ในอากาศเย็นเฉียบปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ แต่ก็ดูราวกับว่ามันไม่ได้เปรอะเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม บรรยากาศอันสูงศักดิ์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขากลับพรั่งพรูออกมา ประหนึ่งราชาปีศาจที่นั่งอยู่ในปราสาทโบราณอันรกร้าง ทั้งสง่างาม และเยือกเย็น…
”ไปกันเถอะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มพร้อมกับเงยหน้าขึ้น นางจงใจพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ”ไปทำให้พวกเขาได้รู้กันดีกว่าว่าหอสามัญอย่างพวกเรานั้นโอหังเพียงใด”
มันเป็นแค่คำพูดง่ายๆ เพียงประโยคเดียว
คนทั้งสามที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่มีรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา เดินเรียงต่อกันก้าวเข้าสู่เวทีการประลองซึ่งเต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่จากผู้คนมากมาย
ท่าทางไม่แยแสผู้ใดเช่นนั้นคล้ายจะตอบรับคำพูดที่อาจารย์ไป๋พูดไปเมื่อครู่นี้
ใช่แล้ว!
พวกเขายโสโอหังถึงเพียงนั้นเชียวล่ะ!
เมื่อเห็นคนทั้งสาม คิ้วหงอกขาวของอาจารย์ไป๋ก็ขมวดเข้าหากันทีละน้อย เขาส่งเสียงเย็นชาด้วยความไม่พอใจว่า ”ข้าไม่เคยเห็นใครมาปรากฏตัวบนเวทีด้วยวิธีเช่นนี้มาก่อน!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยและสหายของนางไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด พวกเขาทั้งสามมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตู๋ซูเฟิงอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของพวกเขาล้วนฟังชัดเจนทุกคำพูด ”ตัวแทนหอสามัญรายงานตัว!”
ผู้ตัดสินที่นั่งอยู่ไกลออกไปมองเห็นหน้าทั้งสามไม่ชัดนัก แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็ลุกขึ้นยืน และวางพู่กันลงอีกครั้ง
ตู๋ซูเฟิงเงยหน้าขึ้นมองลูกศิษย์ที่ทำตัวน่าปวดหัวที่สุดทั้งสามคนตรงหน้า เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า ”หักหนึ่งหมื่นตำลึง แต่อย่างไรพวกเจ้าก็ยังเหลือเงินอยู่อีกหกหมื่นตำลึง”
[ทำไมล่ะ]
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”ท่านเจ้าสำนัก พวกข้าไม่น่าจะมาสายมิใช่หรือ”
เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งกลืนแมลงวันเข้าไปของอาจารย์ไป๋ พวกนางก็รู้ว่ามาทันเวลา
”มีเรื่องวิวาทกับคู่ต่อสู้หลังจบการประลองจนก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โต หักไปห้าพันตำลึง นอกจากนี้…” ตู๋ซูเฟิงหันหน้าไปมองผนังที่ถูกทำลายอย่างไม่รีบร้อน ”ทำลายทรัพย์สินของสำนัก หักอีกห้าพันตำลึง”
หนานกงเลี่ยยังไม่อยากจะยอมรับ ”พวกข้าจำเป็นต้องใช้ทางลัดมาที่นี่” ถ้าพวกเขาไม่ถีบผนังเข้ามา พวกเขาก็คงมาไม่ทันแน่ อีกทั้งเหตุผลหลักก็คือการถีบผนังคงจะดึงดูดสายตาใครต่อใครได้ดีทีเดียวมิใช่หรือ
ตู๋ซูเฟิงมองหนานกงเลี่ย สายตาคู่นั้นเหมือนกับกำลังพิจารณาว่าเขาควรจะหักเงินห้าพันตำลึงนั้นไปดีหรือไม่
เมื่อเห็นดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันไปมองหนานกงเลี่ย พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างรวดเร็ว
หนานกงเลี่ยยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าที่เคย
ตู๋ซูเฟิงวางถ้วยชาในมือลง พร้อมกับพูดช้าๆ ว่า ”ต่อปากต่อคำกับอาจารย์ประจำหอ หักเพิ่มอีกห้าพันตำลึง”
หนานกงเลี่ย ”…”
เฮ่อเหลียนเวยเวย ”…”
บ้าชะมัด นี่เขาคิดจะลงโทษพวกนางหรือไร!
”เอาล่ะ ถึงตาเจ้าแล้ว ไปขึ้นเวทีซะ” ตู๋ซูเฟิงเว้นวรรค จากนั้นจึงพูดเสริมขึ้นอีกครั้งว่า ”ถ้าเจ้าเอาชนะได้อย่างสวยงาม ข้าจะยอมพิจารณายกเลิกการหักเงินก่อนหน้านี้ดู”
ท่านเจ้าสำนักวิธีการตีหนึ่งที แล้วให้พุทราแดง[1]ของท่านจะใช้ได้ผลดีเกินไปแล้ว
ในจำนวนคนทั้งสาม มีอย่างน้อยก็สองคนที่ไฟแห่งความตื่นเต้นลุกโชนขึ้นทันที คนทั้งสองราวกับเชื่อมโยงอยู่ในจักรวาลเดียวกัน ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายเจิดจ้าทันทีที่มองไปยังหยวนหลิงเซวียนที่อยู่บนเวที!
มุมปากของหยวนหลิงเซวียนโค้งขึ้น ราวกับเขาไม่เห็นว่าคนพวกนั้นจะมีค่าอันใดเลยแม้แต่นิดเดียว ”ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นก็รีบขึ้นมาสู้เร็วเข้า หลังจากสู้กันเสร็จข้าจะได้กลับไปงีบเสียที”
————-
[1] ตรงกับสำนวนไทย คือ ตบหัวแล้วลูบหลัง