รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 169 เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มหาเต๋าส่งคำอวยพร

บทที่ 169 เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มหาเต๋าส่งคำอวยพร

บทที่ 169 เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มหาเต๋าส่งคำอวยพร

ภายในพรรคจื่อเสียโอ่อ่าอลังการ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา

ที่นี่คือสำนักที่สืบทอดกันมาเกือบพันปีแล้ว

อนิจจา บัดนี้ความเปล่าเปลี่ยวกระจายอยู่ในที่แห่งนี้ เดินมาทั้งทางก็ยังไม่พบผู้ใด

พวกเขามาอยู่ในลานกว้างขนาดใหญ่ ตรงกลางมีศิลาโบราณขนาดมหึมาตั้งอยู่หกก้อน อักขระโบราณอันซับซ้อนสลักอยู่บนนั้น

ผู้เฒ่าผมขาวทำการอธิบายให้ทุกคนฟัง

นี่คือศิลาวัดปราณ หากมีศักยภาพฝึกตน อักขระโบราณบนศิลาวัดปราณจักสว่างขึ้น

“ระดับความแข็งแกร่งของศักยภาพขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ศิลาตรวจญาณสว่าง หากสว่างหนึ่งก้อน หมายความว่าศักยภาพดาด ๆ หากสว่างสองก้อน หมายความว่าศักยภาพพอใช้…”

ผู้เฒ่าผมขาวกล่าว “การที่เราจะรับเป็นศิษย์นั้น มาตรฐานคือต้องสว่างขึ้นถึงสองก้อน จากนั้นยังต้องผ่านบททดสองอีกจำนวนหนึ่ง ทว่าบัดนี้สถานการณ์ต่างออกไป ขอเพียงพวกเจ้าทำให้ศิลาวัดปราณสว่างขึ้นได้ก้อนเดียว ข้าก็จะรับพวกเจ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคจื่อเสีย ไม่จำเป็นต้องผ่านบททดสอบหลังจากนี้”

สถานการณ์ต่างออกไป

พรรคจื่อเสียในยามนี้ข้อแม้ลดลงไปมาก

ทุกสำนักฝึกตนล้วนมีศิลาวัดปราณเช่นนี้ ผู้ที่ทำให้สว่างขึ้นมาได้แค่ก้อนเดียว ได้แต่เข้าร่วมสำนักฝึกตนขนาดเล็กเท่านั้น

กลุ่มอำนาจฝึกตนซึ่งอยู่ระดับกลางขึ้นไปไม่ต้องคิดเลยว่าจะได้…

“ปีนี้ เฮ้อ…”

สตรีในชุดขาว อันหลานเสวี่ย ทอดมองลานกว้างว่างเปล่าแล้วถอนหายใจเบาๆ รู้สึกย่ำแย่เป็นที่สุด

นับแต่พรรคจื่อเสียสถาปนาขึ้นจวบจนบัดนี้ การสอบคัดเลือกศิษย์ของทุกปีล้วนมีผู้เข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง ผู้เข้าสอบคัดเลือกแน่นขนัดเต็มลานกว้างไปหมด มิหนำซ้ำนอกประตูพรรคยังมีคนรออยู่อีกคณานับเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือก

ทว่าปีนี้…

สถานการณ์ย่ำแย่อย่างมาก

ความพลิกผันมหันต์เช่นนี้ทำให้นางระทมใจยิ่ง

ความจริงคนที่เหลือรอดมาในพรรคจื่อเสียมิได้น้อยเยี่ยงนี้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่เลือกจากที่นี่ไป…

ยอดฝีมือตายตกไปมาก แม้กระทั่งหัวหน้าพรรคยังสิ้นชีพ อนาคตของพรรคจื่อเสียย่อมมีแต่ความมืดมน เหลือแสงสว่างเพียงน้อยนิด

คนส่วนใหญ่ที่รอดมาได้ก็เลือกไปจากพรรคจื่อเสียเพราะเหตุนี้

ผู้อาวุโสและเหล่าลูกศิษย์ที่ยังเลือกอยู่กับพรรคจื่อเสียล้วนเป็นผู้ที่ผูกพันธ์ลึกซึ้งกับพรรคจื่อเสีย ยินดีร่วมหัวจมท้ายกับพรรคจื่อเสียจนถึงที่สุด

ตัวนางคือหนึ่งในนั้น

“ข้าจักกระตุ้นพลังศิลาวัดปราณ และเริ่มสอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการ”

ผู้เฒ่าผมขาวกล่าว ก่อนจะถ่ายทอดพลังปราณไปยังศิลาวัดปราณทั้งหกก้อน

ศิลาวัดปราณหกก้อนนี้เชื่อมถึงกันด้วยค่ายกลโบราณบางอย่าง

หลังจากถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป ศิลาวัดปราณทั้งหกก้อนส่องแสงเจิดจ้าออกมาพร้อมกัน อักขระโบราณบนศิลามีหลักเต๋าอันแกร่งกล้าไหลเวียน

บ่งบอกว่าศิลาวัดปราณทั้งหกได้รับการกระตุ้นให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์

จากนั้น ประกายที่เปล่งปลั่งออกจากศิลาวัดปราณทั้งหกก้อนค่อย ๆ ดับลง กลับสู่ความสงบ

“เข้าไปทีละคน ต่อให้พวกเจ้าเลือกที่จะไม่เข้าร่วมพรรคจื่อเสีย ข้าก็หวังให้พวกเจ้าวัดพบศักยภาพฝึกตน และได้ก้าวสู่เส้นทางฝึกตน”

ผู้เฒ่าผมขาวคลี่ยิ้ม เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ขอให้พวกเจ้าสำเร็จ!”

“ข้าเอง”

อ้ายฉานพูดขึ้น พร้อมเดินเข้าไปเป็นคนแรก

เด็กหญิงเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางของศิลาวัดปราณทั้งหกก้อน ก่อนจะหลับตาลงอย่างประหม่า

นางใฝ่ฝันถึงโลกแห่งการฝึกตนเป็นที่สุด

โดยเฉพาะหลังจากได้ฟังตำนานสถาปนาเทวดาและตำนานไซอิ๋วที่คุณชายหลี่เล่าให้นางฟัง ความใฝ่ฝันที่นางมีต่อโลกแห่งการฝึกตนยิ่งทวีคูณ!

นางปรารถนาก้าวสู่เส้นทางฝึกตนอย่างยิ่งยวด!

‘ขอให้ข้าสำเร็จด้วยเถิด ต่อให้มีศิลาวัดปราณสว่างเพียงก้อนเดียวก็ยังดี!’

นางภาวนาในใจ

ทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มเด็กน้อยต่างมองอ้ายฉานด้วยความประหม่า

ครานี้อ้ายฉานสำเร็จหรือไม่ เกี่ยวพันถึงชะตากรรมในอนาคตของอ้ายฉาน…

หากสำเร็จ นางจักก้าวสู่เส้นทางฝึกตน ได้เป็นผู้ฝึกตน

หากไม่สำเร็จ จักถือว่าไร้วาสนาในด้านฝึกตน ต่อจากนี้เป็นได้เพียงปุถุชนธรรมดา

หลังจากอ้ายฉานเข้าไปยืนอยู่กลางศิลาวัดปราณทั้งหกก้อน ใต้เท้านางก็มีค่ายกลโบราณปรากฏ คลื่นริ้วค่ายกลคลี่ตัวออกช้า ๆ

ที่คือค่ายกลตรวจญาณ ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนผู้สูงส่งท่านหนึ่งในยุคโบราณ ใช้สำหรับตรวจจับว่ามีศักยภาพฝึกตนหรือไม่โดยเฉพาะ

ก่อนค่ายกลตรวจญาณเช่นนี้ปรากฏ ผู้คนไม่รู้เลยว่าตัวเองมีศักยภาพฝึกตนหรือไม่ ได้แต่ให้เวลาเป็นผู้ตัดสิน

ผู้คนฝึกฝนบำเพ็ญวิชา หากไม่มีการก้าวหน้าเป็นเวลานาน บ่งบอกว่าไร้ศักยภาพฝึกตน

แต่เช่นนี้ถือเป็นการเปลืองเวลาเปลืองแรงอย่างมาก

เพราะเหตุนี้บรรพชนผู้ยิ่งใหญ่จึงสร้างค่ายกลตรวจญาณขึ้นมา และมีการสืบทอดค่ายกลตรวจญาณกันเป็นวงกว้าง

คนผู้นี้เป็นบรรพชนโบราณอย่างแท้จริง ยุคสมัยของท่านยาวนานจนไม่อาจย้อนไปได้ถึง

ค่ายกลตรวจญาณสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น และได้ผู้ยิ่งใหญ่ท่านแล้วท่านเล่าปรับให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ความแม่นยำของค่ายกลตรวจญาณอยู่ในระดับสูงส่ง แทบไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดเลย

ผู้คนจึงยึดถือค่ายกลตรวจญาณเป็นมาตรฐาน และสืบทอดต่อกันมารุ่นสู่รุ่น

ค่ายกลตรวจญาณทำงานอยู่ใต้เท้าอ้ายฉาน ทว่าศิลาตรวจญาณหกก้อนนี้ปราศจากแสงสว่าง นิ่งสงบไร้ความเคลื่อนไหว

นี่นางไร้ศักยภาพอย่างนั้นหรือ?

บรรดาผู้ใหญ่และเด็กน้อยทั้งหลายประหม่ายิ่งกว่าเดิม

เวลาผ่านเลยไปเรื่อย ๆ ศิลาตรวจญาณทั้งหกก้อนยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ

ผู้เฒ่าผมขาวปริปาก หมายจะให้อ้ายฉานกลับมา

ใช้เวลาไปเท่านี้แล้ว หากอ้ายฉานมีศักยภาพฝึกตน ศิลาตรวจญาณคงมีปฏิกิริยาไปแล้ว

แต่จวบจนบัดนี้ศิลาตรวจญาณยังไม่ส่งสัญญาณใด อ้ายฉาน…ไม่มีศักยภาพด้านฝึกตน

ทว่าขณะเขากำลังอ้าปาก ยังไม่ทันได้ส่งเสียง ด้านศิลาตรวจญาณก็เกิดปฏิกิริยา!

ฟึ่บ!

ศิลาตรวจญาณก้อนหนึ่งสว่าง อักขระโบราณบนศิลาราวกับมีชีวิตขึ้นมา ว่ายเวียนอยู่บนแผ่นศิลา!

จากนั้นศิลาตรวจญาณก้อนนี้ส่องแสงเจิดจ้า พุ่งขึ้นไปบนนภาเกิดเป็นภาพอันน่าทึ่ง!

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!

เสี้ยวอึดใจต่อมา ศิลาตรวจญาณก้อนที่สอง ก้อนที่สาม…ก้อนที่หก ล้วนส่องแสงเจิดจ้า วาววามแยงตาจนไม่อาจมองตรง ๆ ได้!

“สวรรค์…พรรคจื่อเสียของเรายังไม่เคยมีลูกศิษย์ที่ทำให้ศิลาตรวจญาณสว่างได้ทั้งหกก้อนมาก่อน!”

ดวงหน้าขาวนวลดุจหิมะของอันหลานเสวี่ยเต็มไปด้วยความตะลึง ปากอ้าค้างเป็นรูปวงกลม เปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ

ศิลาตรวจญาณสว่างทั้งหกก้อน ไม่ใช่แค่พรรคจื่อเสียของพวกเขาที่ไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้ แม้กระทั่งกลุ่มอำนาจเฟื่องฟูอย่างสำนักไท่หัว สำนักเมฆาลับฟ้าก็ไม่เคยปรากฏมาก่อน!

เช่นนี้เป็นการแสดงออกของพรสวรรค์ที่สะท้านโลกันตร์!

นับแต่ยุคโบราณ ผู้มีศักยภาพสูงส่งเพียงนี้มีเพียงหยิบมือในแดนบูรพาทิศอันกว้างใหญ่ มือเดียวก็นับหมด!

“อะไรกัน! มีพรสวรรค์สะท้านโลกันตร์เพียงนี้เชียวหรือ!”

ผู้เฒ่าผมขาวสะท้านใจมากเช่นกัน

พรสวรรค์ยิ่งใหญ่ปานนี้ หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดในอนาคต นางย่อมไปได้ถึงระดับวิญญาณนักบุญแน่นอน!

ตึง!

เวลานั้นเอง บังเกิดเสียงระฆังดังอยู่ในฟ้าดินสะท้อนไปทั่วทั้งนภา

จากนั้น บุปผามหาเต๋าโปรยปรายลงมาดอกแล้วดอกเล่า แวววาวงดงาม ทั้งยังแฝงไว้ซึ่งหลักเต๋ามากมายไม่มีที่สิ้นสุด!

ลางมงคลตกกระทบอ้ายฉานลางแล้วลางเล่า ขณะเดียวกันยังมีดนตรีศักดิ์สิทธิ์มหาเต๋าดังขึ้น ราวกับกำลังอวยพรอ้ายฉาน!

“เกิดปรากฏการณ์ประหลาด…มหาเต๋าส่งคำอวยพร สวรรค์ นางมีศักยภาพสูงถึงปานใดกันนี่!?”

ผู้เฒ่าผมขาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ลิ้นพันกันไปหมด

น่าทึ่งเกินไปแล้ว!

ปรากฏการณ์สะท้านใจเยี่ยงนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึง แต่บัดนี้ได้เห็นกับตา หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก!

“นี่ นี่ นี่!”

อันหลานเสวี่ยตะลึงจนไม่รู้ว่าต้องใช้ถ้อยคำใด

เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มหาเต๋าส่งคำอวยพร!

ตั้งแต่ยุคโบราณมา…ยังไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเลย!

นี่คือพรสวรรค์ที่น่ากลัวยิ่งกว่าพรสวรรค์สะท้านโลกันตร์เสียอีก!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท