รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 171 ฟังไม่เข้าใจ ข้ารู้แต่เพียงข้าฝึกฝนได้แล้ว!

บทที่ 171 ฟังไม่เข้าใจ ข้ารู้แต่เพียงข้าฝึกฝนได้แล้ว!

บทที่ 171 ฟังไม่เข้าใจ ข้ารู้แต่เพียงข้าฝึกฝนได้แล้ว!

แสงแห่งความมงคลสาดส่องไปทั่วหล้า ดนตรีศักดิ์สิทธิ์มหาเต๋าดังไม่หยุด

ผู้คนที่อยู่บนลานทดสอบล้วนได้รับประโยชน์มหาศาล

อ้ายฉาน จู้จื่อ และเด็กคนอื่น ๆ รวมถึงบิดามารดาของพวกเขาไม่เท่าไร เพียงแค่รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง

ทว่าอาจารย์ปู่ อันหลานเสวี่ย ผู้เฒ่าผมขาวและบรรดาผู้อาวุโสกับเหล่าลูกศิษย์หาใช่เพียงแค่นั้น!

ขณะพวกเขาสบายไปทั่วร่าง ยังรู้สึกอีกว่าพลังต่าง ๆ ในกายพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว!

ซ้ำยังมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งบรรลุขอบเขตเสียเดี๋ยวนั้นอีกด้วย!

“นี่มัน…!”

อาจารย์ปู่มีสีหน้าตะลึงไม่ขาด เขารู้สึกได้ว่าบาดแผลในตัวเขากำลังสมานฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว!

ลมปราณที่เคยอ่อนแรงก็แข็งแกร่งขึ้นมา!

“ฟื้น…ฟื้นตัวแล้ว!”

เพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ บาดแผลหายไปจนสิ้น!

นี่ช่าง… คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะฟื้นตัวด้วยวิธีเช่นนี้!

เวลานั้นผู้ฝึกตนรวมถึงสัตว์อสูรทั้งหมดในแดนบูรพาทิศล้วนตะลึงงัน สายตารวมเป็นหนึ่งเดียวหันไปทางพรรคจื่อเสียอย่างพร้อมเพรียง

“ปรากฏการณ์ประหลาดอันเป็นนิมิตมงคลจากฟากฟ้า ดนตรีศักดิ์สิทธิ์มหาเต๋าดังก้องทั่วปฐพี เกิดเรื่องใดขึ้นที่นั่น!?”

“ไปเถิด รีบไปดูกัน!”

พวกเขาไม่มีความลังเล ต่างเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางพรรคจื่อเสีย

ณ เมืองชิงซาน

หลี่จิ่วเต้าเห็นนิมิตมงคลท่วมฟ้านั้นเช่นกัน ซ้ำยังได้ยินท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์มหาเต๋าอีกด้วย

ชายหนุ่มคิดในใจอยู่ว่าผู้ฝึกตนคนใดบรรลุเป็นเซียนกันนี่ ช่างเอิกเกริกเชียว

“ไม่เลว ไม่เลว”

เขาคลี่ยิ้ม รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

เอิกเกริกถึงเพียงนี้ บ่งบอกว่าคนผู้นี้แกร่งกล้ามาก

ยิ่งแกร่งก็ยิ่งน่าดีใจ

ถึงอย่างไรตัวเขาก็อาศัยอยู่ที่แดนบูรพาทิศ และหากผู้ฝึกตนแดนบูรพาทิศแข็งแกร่งขึ้น แดนบูรพาทิศย่อมปลอดภัยไปด้วย

แดนบูรพาทิศปลอดภัย เขาก็ปลอดภัย

‘เกี่ยวข้องกับท่านเซียนหรือไม่นะ’

ข้างกายหลี่จิ่วเต้า ลั่วสุ่ยขบคิดในใจ นางย่อมได้ยินวาจาของท่านเซียน

“แดนบูรพาทิศแห่งนี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่!”

“เกิดสิ่งใดขึ้นอีกล่ะนี่?”

แสงแห่งความมงคลส่องสว่างไปทั่วแดนบูรพาทิศ ผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรจากอีกสี่ภูมิภาคได้ประจักษ์ภาพนี้เช่นกัน ล้วนแล้วแต่ตกตะลึงกันหมด

ก่อนนี้มีซากโบราณราชวงศ์อวี่ฮว่าปรากฏในแดนบูรพาทิศ บัดนี้มีปรากฏการณ์น่าทึ่งปานนี้กลับเผยในแดนบูรพาทิศอีก แดนบูรพาทิศช่างไม่ธรรมดาเสียจริงลึกลับเกินจะเปรียบยิ่ง!

“ไม่ธรรมดา!”

“ไปดูกันเถิด!”

กลุ่มมหาอำนาจลับที่เก็บตัวตามสถานที่ต่าง ๆ ในภาคกลางได้เห็นปรากฏการณ์น่าทึ่งในแดนบูรพาทิศเช่นกัน

พวกเขาตัดสินใจจะไปยลด้วยตัวเองที่แดนบูรพาทิศ!

คราวก่อน ซากโบราณราชวงศ์อวี่ฮว่าปรากฏสู่สายตาผู้คนในใต้หล้า พวกเขาเองก็เห็น

เพียงแต่พวกเขาไม่อาจเคลื่อนไหวใด ๆ ได้ ทั้งยังไม่เคยเดินทางเข้าไป

เพราะกลัวจะเป็นการเปิดเผยตัวตนขึ้นมา

ทว่าหนนี้ปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในแดนบูรพาทิศอีกครั้ง ซ้ำยังน่าทึ่งเหลือคณา พวกเขาจึงเกิดความคิดอยากไปดูที่แดนบูรพาทิศสักครา

แดนบูรพาทิศเกิดเหตุน่าทึ่งติดกัน เป็นการบ่งบองว่าที่แห่งนี้ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีอาจมีความลับใหญ่หลวงซ่อนอยู่!

พวกเขาเริ่มอดกลั้นไม่ไหวแล้ว

ยุคนี้ถูกลิขิตให้ยากเย็นกว่ายุคโบราณหลายเท่านัก

ถึงอย่างไรพลังอำนาจโดยรวมของยุคนี้ก็ห่างจากยุคโบราณมากโข

เมื่อภัยพิบัติใหญ่จู่โจมเข้ามา ยุคนี้ย่อมต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน และต้องถูกล้างบางโดยสิ้นเชิง

พวกเขาจะใช้วิธีเดียวกับคราวยุคโบราณเพื่อเอาตัวรอดในยุคนี้ได้อีกครั้งหรือ

สำหรับเรื่องนี้ พวกเขาก็มิได้มั่นใจเต็มร้อย

ยุคนี้ต่างจากยุคโบราณ

ในยุคโบราณ อย่างไรภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็ถูกโต้กลับจนยอมล่าถอย

หากยุคนี้โลกทั้งใบไม่แคล้วมีเพียงต้องล่มสลาย ต่อให้พวกเขาซ่อนเร้นได้อย่างแนบเนียนเพียงใด ก็เกรงว่ายังยากจะรอดไปได้…

ด้วยเหตุนี้ หลังจากเกิดเรื่องน่าทึ่งขึ้นหลายต่อหลายครั้งที่แดนบูรพาทิศ พวกเขาพลันมีความคิดของตัวเองกันทั้งนั้น

แดนบูรพาทิศมีความลับใหญ่หลวงซ่อนอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาเก็บเกี่ยวบางอย่างกลับมาได้ ย่อมเป็นการยกระดับพลังของตนได้ทวีคูณ

ไม่ว่าเมื่อใด การมีพลังแกร่งกล้าจึงจักเป็นหลักประกันว่าปลอดภัย!

พวกเขาก็อยากแข็งแกร่งขึ้น!

“จำไว้ ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด ก็จงอย่าเปิดเผยตัวตนของพวกเจ้าง่าย ๆ!”

“นี่คือเรื่องสำคัญที่สุด!”

พวกเขาตักเตือนผู้ที่ถูกส่งไปยังแดนบูรพาทิศอย่างขึงขัง

ต้องอำพรางและไม่เปิดเผยตัวตน

เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

จะแข็งแกร่งขึ้น หรือเก็บเกี่ยวบางสิ่งกลับมาเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญสุดคือห้ามเปิดเผยตัวตน!

หากเปิดเผยตัวตนจริง ๆ พวกเขาก็หมดทางหนี และหมดสิ้นความหวัง…

ภาคกลาง

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้มืดมนปราศจากแสงอาทิตย์ วายุที่โชยพัดเข้ามาหนาวเสียดกระดูก ยามวายุหวน ประหนึ่งเสียงคร่ำครวญของสัมภเวสี ชวนขนลุกยิ่ง

บนพื้นเต็มไปด้วยซากกระดูก มีทั้งกระดูกมนุษย์และกระดูกอสูร ราวกับที่นี่คือสถานฝังศพ ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตเท่าใดต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ ชวนรู้สึกสั่นสะท้านแม้นไร้ซึ่งอากาศหนาว

พื้นที่ตรงกลางมีแม่น้ำสายใหญ่ทะลุผ่าน

สีแม่น้ำสีแดงฉานหาใดเปรียบ ส่องสะท้อนจนผืนดินนี้กลายเป็นสีแดงทั้งหมด ทั้งยังมีกลิ่นคาวของโลหิตขจรขจาย

คล้ายว่าที่นี่เป็นแม่น้ำโลหิต!

บนผิวแม่น้ำมีศพเน่าเปื่อยลอยผ่านไปเป็นครั้งคราว เลือดเนื้อเละรวมเป็นก้อนเดียว ซ้ำยังมีหนอนมากมายกำลังชอนไชศพ ชวนพิศวงจนชาวาบไปทั้งหัว!

ตู้ม!

ร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏในที่แห่งนี้ ระเบิดสิ่งมีชีวิตพิศวงครึ่งศพครึ่งอสูรหน้าตาอัปลักษณ์

จากนั้นเด็กหนุ่มก็หยิบซากอวัยวะขึ้นมากัดกิน

“อ๊าก! ชีวิตเฮงซวยเยี่ยงนี้เมื่อใดจะสิ้นสุดลงเสียที!”

เด็กหนุ่มคำราม สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

ผมของเขากระเซิงยุ่งเหยิง อาภรณ์ขาดรุ่ยจนดูแทบไม่ได้ อีกทั้งเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยหยดเลือดคาวเหม็นที่กลายเป็นสีดำแล้ว

“อย่าได้ใจร้อน หากแดนต้องห้ามนวปรภพบุกได้ง่ายดายคงไม่เรียกว่าแดนต้องห้ามแล้ว!”

ภายในตัวเด็กหนุ่มมีอีกเสียงดังขึ้น

ใช่แล้ว

เด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่น หนิงเจี๋ยนั่นเอง

และอีกเสียงในตัวเขาก็คือหลิงเสิ่งซึ่งเป็นวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม

“ความทรมานเหล่านี้ข้าจะไม่ทนไปอย่างสูญเปล่า! รอให้ได้หญ้านวปรภพและท่านคืนสภาพวิญญาณนักบุญก่อนเถิด ข้าต้องบุกกลับไปให้จงได้!”

“วางใจได้ หลังข้าคืนสภาพวิญญาณนักบุญแล้ว ก็ถึงเวลาล้างแค้นของเจ้า!”

แดนบูรพาทิศ ณ พรรคจื่อเสีย

แสงแห่งความมงคลบนท้องฟ้าสลายไป ดนตรีศักดิ์สิทธิ์มหาเต๋าเองก็ค่อยๆ เลือนหาย ทุกอย่างกลับสู่ความสงบเช่นเดิม

“ศิลาวัดปราณสว่างทั้งหกก้อน บุตรสาวของข้ามีศักยภาพเป็นอย่างไรหรือ?”

บิดาของอ้ายฉานรีบถามกับผู้เฒ่าผมขาว

“อัจฉริยะสะท้านฟ้า!”

ผู้เฒ่าผมขาวเอ่ยอย่างจริงจัง “หากไม่เกิดสิ่งใดไม่คาดคิด ในอนาคต บุตรสาวของเจ้าย่อมต้องได้เป็นนักบุญ อยู่เหนือทั้งเหยียนโจว ไม่สิ อาจจะอยู่เหนือทั้งปฐพี!”

“จริงหรือ!?”

บิดาของอ้ายฉานเต็มตื้นจนเด้งตัวกระโดด เขาไม่เคยคิดเลยว่าบุตรสาวของตนจะน่าทึ่งปานนี้!

“ข้าฝึกฝนได้แล้วหรือ!?”

อ้ายฉานไม่เข้าใจความหมายของอัจฉริยะสะท้านฟ้า แต่นางรู้ว่าดูเหมือนนางจะสามารถฝึกฝนได้แล้ว

“ใช่ว่าแค่ฝึกฝนได้ที่ใดเล่า แม้กระทั่งมหาเต๋ายังจุติคำอวยพรลงมาให้เจ้า เจ้าคือธิดาสวรรค์ ย่อมต้องประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในเส้นทางฝึกตน!”

ผู้เฒ่าผมขาวกล่าวด้วยความสะท้อนใจ

“ฮ่า ๆ เยี่ยมไปเลย!”

อ้ายฉานกระโดดโลดเต้นยินดีปรีดา ดวงหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

คำอวยพรจากมหาเต๋าอะไรกัน ธิดาสวรรค์อะไรกัน ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในเส้นทางฝึกตนอะไรกัน นางยังฟังไม่เข้าใจอยู่ดี

แต่นางเข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือนางฝึกฝนได้แล้ว!

“พี่ฉานเอ๋อร์ ท่านน่าอิจฉาจริง ๆ! ข้าเองก็จะลองด้วย!”

จู้จื่อน้อยตะโกนเสียงลั่น ฝีเท้าวิ่งพรวดไปอยู่ตรงศิลาวัดปราณหกก้อน

เขาก็อยากตรวจสอบศักยภาพของตัวเอง ดูว่าตัวเขาฝึกฝนได้หรือไม่!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท