ตอนเย็นจวนจะพลบค่ำ จ้าวหลิงเฟิงคิดจะส่งลู่เจียวกลับบ้านตระกูลเซี่ย ตอนเช้าเขาได้รับปากเซี่ยซิ่วไฉว่าจะพากลับไปส่งด้วยตนเอง ดังนั้นพูดได้ก็ต้องทำได้
เพียงแต่จ้าวหลิงเฟิงไม่ทันได้ไปส่งลู่เจียว ก็เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นส่งหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงมารับนาง
ลู่เจียวเห็นคนตามมากันมากมายเช่นนี้ก็ไม่ต้องการให้จ้าวหลิงเฟิงไปส่งแล้ว จึงปฏิเสธเขา
“ข้ามีคนตามไปส่งมากมายเช่นนี้ ไม่ต้องให้เจ้าไปส่งแล้ว”
จ้าวหลิงเฟิงพอได้ฟังก็ไม่ยอม กล่าวว่า “เช้านี้ข้ารับปากเซี่ยซิ่วไฉว่าจะพาเจ้ากลับไปคืนอย่างปลอดภัย ตอนนี้ไม่ส่งเจ้ากลับก็ถือว่าไม่รักษาคำพูดไหม เดี๋ยวหากเจ้าเกิดเรื่องอะไร เซี่ยซิ่วไฉต้องมาคิดบัญชีลงหัวข้าแน่นอน”
ลู่เจียวยิ้มพลางชี้ไปทางหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงด้านหลัง กล่าวว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าพวกเขาสองคนร้ายกาจมากหรือ ในเมื่อพวกเขาร้ายกาจ เจ้าเป็นห่วงอะไร วางใจเถอะ”
ความจริงลู่เจียวแอบคิดว่า หากคนพวกนั้นมาจับตัวนางจริง นางก็ไม่ถือสาจะจับเป็นอีกฝ่าย จากนั้นก็สืบดูคนบงการเบื้องหลังคนเหล่านี้ หากคนเหล่านี้ปากแข็งไม่ยอมบอก นางก็ไม่ถือสาที่จะหาคนสักคนออกมาชี้ตัวรองนายอำเภอหยางกับเผิงจู่ปู้
ลู่เจียวครุ่นคิด แล้วก็หยอกจ้าวหลิงเฟิงว่า “นอกจากที่เจ้าว่ามานั้นเป็นเท็จ พวกเขาไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น”
จ้าวหลิงเฟิงใบ้กินในทันที เขาพูดเองก็ได้แต่รับเอง
แต่พอจ้าวหลิงเฟิงมองหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากง ก็รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง แต่คิดถึงว่าตนเองต้องไปรับบุตรสาว ก็ยิ้มมองลู่เจียวกล่าวว่า “ความจริงข้าก็ไปเพื่อส่งเจ้าและรับอวี้หลัวด้วย ก็เลยถือโอกาสไปส่งเจ้าด้วย”
ลู่เจียวยังจะพูดอะไรได้ ได้แต่พยักหน้า “ได้ พวกเราไปกันเถอะ”
ลู่เจียวพาหร่วนไคกับหร่วนจู๋สองพี่น้องนั่งรถม้าหลินต้า หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงขับรถม้าอีกคันตามมาด้านหลังคอยคุ้มกันลู่เจียว
ส่วนจ้าวหลิงเฟิงย่อมนั่งรถม้าตระกูลจ้าวตามด้านหลังรถม้าสองคัน
ยามนี้แม้ว่าฟ้าใกล้พลบค่ำแล้ว แต่ท้องถนนยังคงคึกคักมาก ริมทางยังมีคนไม่น้อยทำการค้าเล็กๆ คนเดินซื้อของกันอยู่ก็ไม่น้อย
หากพวกเขาไปตามถนนที่คึกคักเส้นนี้ ก็ย่อมไม่มีทางมีคนมาจับตัวลู่เจียว
ลู่เจียวอยู่ๆ เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา สั่งการให้หลินต้าอ้อมไปอีกทาง
หลินต้าลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ทำตามคำสั่งลู่เจียว
รถม้าเลี้ยวไปอีกทางอย่างรวดเร็ว เส้นทางนี้ริมทางสองข้างมีแต่บ้านคน ยามนี้บนถนนเงียบมาก นอกจากมีคนเดินผ่านไปสองสามคนก็ไม่มีคนสักคน
ลู่เจียวแอบรู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนจ้องมองนาง ต้องลงมือนะ ต้องลงมือนะ
รถม้าสามคันแล่นผ่านถนนอิฐชิงจวนไร้ผู้คนมาได้ราวหนึ่งก้านธูป ก็มีคนก้าวออกมาจากมุมมืด
พวกเขาลงมือ หร่วนจู๋ในรถม้าก็หันไปมองลู่เจียวกล่าวว่า “เหนียงจื่อ มีคนตามมา เป็นคนเป็นวิชายุทธ์ด้วย”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ดีเลย จับเป็น”
หร่วนจู๋รับคำเสียงหนึ่ง ก่อนจะโดดลงจากรถม้า หร่วนไคนั่งอยู่ข้างหลินต้าก็พุ่งไปด้านหน้ารถม้าพร้อมกับน้องสาวตน
หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงด้านหลังก็บังคับม้าหยุดทันที กระโดดไปป้องกันรถม้าซ้ายและขวา
จ้าวหลิงเฟิงเองก็พาลูกน้องสองคนขึ้นหน้ามา เขายืนอยู่ข้างรถม้าปลอบใจลู่เจียวในรถ
“ลู่เหนียงจื่ออย่าได้เป็นห่วง ไม่มีอะไรแน่นอน”
ลู่เจียวไม่ได้เป็นห่วง นางเลิกม่านมองไปจ้าวหลิงเฟิงนอกรถ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นห่วงอะไร”
กล่าวจบ ก็เห็นในมุมมืดมีคนสิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้นล้อมรถม้าลู่เจียวไว้ทันที
ลู่เจียวเลิกม่านมองออกไป ไม่ได้รู้สึกกลัวสักนิด กลับกัน ในใจนางกลับตื่นเต้นยินดี นางจะได้เห็นยอดฝีมือต่อสู้กันกับตาหรือนี่
หน้ารถม้ามีคนชุดดำปิดหน้าคนหนึ่งยกมือชี้ไปที่รถม้าตวาดเสียงดังว่า “เป้าหมายพวกเราครั้งนี้ก็คือลู่เหนียงจื่อในรถ คนอื่นไปได้”
วาจานี้หากเป็นคนธรรมดาไม่เป็นวิชายุทธ์ เกรงว่าก็คงหนีไปแล้ว น่าเสียดายหร่วนไคกับหร่วนจู๋และพวกหลี่หนานเทียนต่างเป็นวิชายุทธ์ ย่อมไม่กลัวคนตรงหน้า
ลู่เจียวในรถม้าสั่งการคนนอกรถม้าว่า “จับเป็นสองถึงสามคน”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ เหนียงจื่อ”
คนด้านนอกรับคำ เงาร่างสองเงาก็พุ่งออกไปรวดเร็ว
เป็นหร่วนไคกับหร่วนจู๋สองคน หร่วนไคพุ่งออกไปรวดเร็ว ยังกล่าวกับหลี่หนานเทียนและโจวเส้ากงด้านหลังว่า “พวกท่านอยู่อารักขาเหนียงจื่อ”
“ตกลง”
หร่วนไคกับหร่วนจู๋พุ่งตรงไปหาคนชุดดำ ทั้งสองคนราวกับดาวตกสองดวงพุ่งถลา พริบตาเดียวก็ทะยานไปถึงคนชุดดำ คนชุดดำแต่ละคนในมือมีอาวุธเหมือนกัน
อาวุธหร่วนไคก็คือแส้ยาวสีดำ อาวุธหร่วนจู๋ก็คือกระบี่อ่อน
สองพี่น้องถืออาวุธแล้วกลับกลายเป็นเครื่องมือสังหาร
โดยเฉพาะหญิงสาวอย่างหร่วนจู๋ที่แสนบอบบางอ่อนหวาน นางเคลื่อนไหวว่องไวราวภาพเงา ไม่นานก็พุ่งแหวกกลางกลุ่มคนชุดดำ ที่ที่นางผ่านคนเหล่านั้นล้วนกองพื้นไร้ลมหายใจ กระบี่ยาวราวกับมังกรเริงวารี ที่ที่พาดผ่านล้วนได้ยินเสียงกระบี่ฟันเลือดเนื้อโลหิตไหลนอง
พริบตา คนชุดดำก็ล้มลงไปเป็นแถบ ส่วนนางยังคงสังหาร หร่วนไคด้านหลังอดเรียกไว้ไม่ได้ “น้องพี่ จับเป็นสองคน”
หร่วนจู๋ผ่อนความเร็วลงหน่อยหนึ่ง ไว้ชีวิตสองคน
ฝีมือหร่วนไคเองก็ร้ายกาจมาก แต่กล่าวตามจริง เทียบกับหร่วนจู๋แล้วก็ยังด้อยกว่านิดหน่อย
หร่วนจู๋สังหารคนขึ้นมาก็ไม่เหมือนหญิงสาวตัวน้อย แต่เหมือนภูติผีล่าสังหาร
ลู่เจียวกับจ้าวหลิงเฟิงในรถม้าเห็นแล้วก็อึ้งมองตาค้าง
ข้างกายจ้าวหลิงเฟิงความจริงก็มีคนอารักขาที่เป็นวิชายุทธ์ไม่น้อย แต่ความจริงคนคุ้มกันเขามากมายเช่นนี้ แต่มีเพียงคนเดียวที่ฝีมือพอเทียบกับหร่วนจู๋ที่เป็นหญิงสาวผู้นี้ได้ แต่ไม่แน่ก็อาจสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฝีมือหญิงสาวตัวน้อยนี้ร้ายกาจจริงๆ และโชคดีที่นางเป็นคนของลู่เจียว หากเป็นคนของผู้อื่น ไม่แน่อาจกลายเป็นเครื่องมือสังหาร
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดมองไปยังคนชุดดำพวกนั้น ฝีมืออีกฝ่ายก็ไม่เลวและคนยังมากกว่า แต่พวกเขาเกรงว่าคงไม่เคยคิดแม้แต่ฝันถึงว่าจะพบอาวุธสังหารเช่นหร่วนจู๋ผู้นี้
ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายคิดไม่ถึง แม้แต่ลู่เจียวเองก็คิดไม่ถึงว่าฝีมือหร่วนจู๋จะร้ายกาจเช่นนี้
นางร้ายกาจเช่นนี้ คุณหนูหกตระกูลเถียนยังตัดใจยกให้นาง ลู่เจียวแอบไม่อยากจะเชื่อ เลิกคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย
นางคิดออกในทันที ว่าทำไมคุณหนูหกตระกูลเถียนจึงมอบหร่วนจู๋ให้นาง เพราะเห็นคุณค่าของคนมีความสามารถ
หร่วนจู๋คือยอดฝีมือวิทยายุทธ์สูงส่ง แต่นิสัยบริสุทธิ์เปิดเผย ไม่เคยผ่านประสบการณ์โลกกว้าง หากให้คนรู้ว่านางมีความสามารถเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าจะหาทางเอานางไว้รับใช้ข้างกาย กลายเป็นอาวุธสังหารโหดร้าย หากเป็นเช่นนั้น หร่วนจู๋ย่อมถูกทำลายสิ้น
คุณหนูหกตระกูลเถียนเชื่อคุณธรรมนาง กอปรกับพวกเขาเองก็คิดมอบน้ำใจให้พวกเขา ดังนั้นจึงได้มอบหร่วนจู๋ให้ในทันที ประการแรก หร่วนจู๋ย่อมไม่ถูกทำลาย ประการที่สอง ครอบครัวลู่เจียวย่อมผูกสัมพันธ์กับตระกูลเถียน
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็มองไปยังหร่วนจู๋ด้านนอกทันที นางเก็บกระบี่อ่อนแล้ว สีหน้ามีรอยยิ้มพึงพอใจ ลากคนชุดดำสองคนเดินมา รอบกายไม่ได้มีไอสังหารเหมือนก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย