ตอนที่ 929 แผงฤทธิ์ก่อกวน
ซ่งอิงยังไม่ทันมีเวลาไปดูสัตว์ในป่า
ในขณะนี้ เมื่อชางเวยได้ยินคำพูดของฟ่านโยว จึงเอ่ยพูดขึ้นมาตรงๆ “พาฉื่อเหยียนออกมา หรือไม่หลังจากงานเลี้ยงข้าจะเข้าไปในสถานที่เทวสถิตของเจ้าแล้วเอาตัวฉื่อเหยียนออกมาด้วยตนเอง เจ้าเลือกเองแล้วกัน”
“ศิษย์พี่จะบังคับกันเช่นนี้ไปไย ข้ารู้เช่นกันว่าตอนนั้นท่านถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับฉื่อเหยียนอยู่บ้าง แต่ปีศาจก็คือปีศาจ เทพคือเทพ ปีศาจจะคู่ควรเป็นสหายกับเทพได้อย่างไร” ฟ่านโยวกล่าวอีกครั้ง
“เห็นทีว่าเจ้าจะเลือกอย่างหลังสินะ ได้” ชางเวยไม่ต่อล้อต่อเถียงแต่อย่างใด
ฟ่านโยวชะงักไปชั่วครู่ ต่อจากนั้นส่งเสียงหัวเราะร้ายกาจ “ศิษย์พี่นี่นะ ท่านยังคงคิดว่าตนเป็นผู้ที่ถูกต้องเสมอหรือไร ท่านอยากจะช่วยชีวิตฉื่อเหยียนก็ต้องดูด้วยว่าฉื่อเหยียนยินดีหรือไม่เช่นกันมิใช่หรือ เขาเป็นสัตว์สำหรับใช้ขี่โดยอยู่ใต้อาณัติข้า กินดีอยู่ดี สถานะก็ถือว่าได้รับความเคารพเลื่อมใส ข้าเคยปฏิบัติต่อเขาอย่างเอาเปรียบเมื่อใดกัน”
ชางเวยเผยแววตาเย็นชา
ฉื่อเหยียนเป็นหนึ่งในสิบราชันปีศาจ อุปนิสัยดื้อรั้นอยู่บ้าง มีความเคารพในตนเองแรงกล้า ตอนที่เป็นราชันปีศาจ เว้นแต่เคยเป็นพาหนะให้จักรพรรดินีปีศาจขี่สองสามครั้ง เทพเซียนและปีศาจอื่นๆ ล้วนไม่เคยได้เข้าใกล้ตัวเขามาก่อน!
บัดนี้ไม่นึกเลยว่าฟ่านโยวกลับเอ่ยว่าไม่เคยดูถูกและเอาเปรียบฉื่อเหยียนมาก่อน
“ฮ่าๆ” ซ่งอิงหัวเราะเบาๆ “ฟู่จวิน[1] คำพูดของเทพท่านนี้น่าสนใจจริงเชียว ในเมื่ออยากให้ฉื่อเหยียนเลือกเอง แล้วทำไมไม่ปล่อยให้ฉื่อเหยียนมาเล่า อีกฝ่ายไม่ออกมาแล้วจะเลือกได้อย่างไร ลำพังวาจาเทพท่านนี้ก็เพียงพอแล้วหรือ เขามิใช่เซียนที่เปลี่ยนร่างมาจากลิ้นหรอกกระมัง ช่างเข้าใจพูดเหลือเกิน”
ครั้นสิ้นเสียงซ่งอิง บริเวณโดยรอบก็เงียบสงัด
“บังอาจ!” จู่ๆ ในบริเวณหนึ่งก็มีเทพธิดาลุกขึ้นมา อาภรณ์นางพลิ้วไสว เหาะเหินขึ้นมาในชั่วพริบตา ก่อนจะวาดพลังเซียนเล่นงานมาที่ตัวซ่งอิง
ซ่งอิงหลบได้ทันการณ์แล้วมากอดแขนของชางเวยเอาไว้ ทำตาปริบๆ อย่างผู้น่าสงสาร “ฟู่จวิน น้องกลัวหรือเกิน”
“…” ชางเวยเบิกตาโตชั่ววูบ จากนั้นหันเล่นงานเทพธิดาตนนั้นกลับคืน เพียงชั่วพริบตาเดียวเทพธิดาตนนั้นก็กระแทกลงบนพื้น หน้าซีดเผือด
“เทพชางเวย สตรีที่ต่ำช้าผู้นี้กำเริบเสิบสานเช่นนี้ต่อหน้าท่านเทพฟ่านโยว ไฉนท่านจึงปล่อยปละเช่นนี้ได้! หรือว่ามิตรภาพระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องยังสู้สตรีมนุษย์คนเดียวไม่ได้!” เทพธิดาผู้นั้นตวาดทันที
“ถ้อยคำนี้ของเจ้าเป็นการย้ำเตือนข้าพอดีเชียว ตอนนั้นที่ท่านอาจารย์ตายจากไป เคยให้ข้าดูแลศิษย์น้อง หากศิษย์น้องกระทำผิดก็ลงโทษได้เลย ข้าเองก็นึกถ้อยคำนี้ขึ้นมาได้ตอนนี้เองเช่นกัน มิหนำซ้ำคำพูดดังกล่าวยังกึกก้องในหูอยู่เลย”
ชางเวยเอ่ยปากอย่างใจเย็น “ฟ่านโยว เจ้าทำผิดอันใดแล้ว คงไม่ต้องให้ข้าพูดให้มากความกระมัง บัดนี้แม้ว่าช้าไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้เจ้าทำลายระบบสืบสานของบรรพบุรุษ นับแต่วันนี้ไป ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากสำนักแทนท่านอาจารย์ หลังจากนี้ไป เจ้าจะเรียกตนเองว่าเป็นศิษย์มหาเทพผูอิ่งไม่ได้อีกแล้ว”
“นอกจากนี้ อาอิงเป็นภรรยาข้า ดังนั้นคำพูดและการกระทำทั้งหมดล้วนหมายถึงตัวข้าด้วย” ชางเวยกล่าวอีกครั้ง
เทพธิดาที่หาเรื่องผู้นี้เป็นใคร เขาเองก็ไม่รู้จักเช่นกัน
มิฉะนั้นจะตำหนิโดยการระบุชื่อแซ่ให้เต็มที่เสียหน่อย
ซ่งอิงพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง
“เจ้านามว่าอาอิงหรือ” ฟ่านโยวพลันหัวเราะลั่น “ก็แค่สตรีจากโลกมนุษย์ คู่ควรจะเทียบชั้นกับนางด้วยหรือ!”
ซ่งอิงกลอกตามองบน “เราพูดเรื่องของฉื่อเหยียนกันอยู่ ช่วยพูดนอกเรื่องให้น้อยๆ และตรงไปตรงมาหน่อย สามีข้าต้องการฉื่อเหยียน เจ้าให้ฉื่อเหยียนออกมาเลือกเอง หรือไม่ก็เดี๋ยวประลองกับสามีข้าสักตั้ง”
ทั้งสองคนนี้อย่างไรเสียก็ออกมาจากสำนักเดียวกัน จึงความสามารถพอๆ กัน
เพียงแต่ว่าเทพรุ่นใหญ่จากโบราณกาลทั้งสองนี้หากต่อสู้กันขึ้นมา จะเป็นปัญหาใหญ่โตไม่น้อย
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าต้องการนำความอัปยศอดสูมาสู่ตนเอง ข้าก็จะมอบให้” ฟ่านโยวพูดจบก็หยิบกระเป๋าสัตว์ป่าออกมาจากอ้อมอก เพียงชั่วพริบตา ในบริเวณดังกล่าวก็ปรากฏสัตว์ป่าขนาดใหญ่มหึมาหนึ่งตัว
เทพชีมู่กลัดกลุ้มเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันดีที่ภาพม้วนดวงดาวของเขาปรากฏ เทพสองคนนี้เป็นอะไรไปจึงได้แผงฤทธิ์ก่อกวนในถิ่นเขาเสียได้!
ตอนที่ 930 มีตาหามีแววไม่
ครั้นสัตว์ป่าขนาดใหญ่ตัวนี้ปรากฏออกมา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนสีหน้าเปลี่ยนไป
อย่างไรเสียก็เป็น ‘สัตว์ที่พาหนะ’ ที่หลงเหลือจากยุคโบราณกาล ถึงแม้ดวงวิญญาณปีศาจถูกผนึกเอาไว้ จึงไม่มีจิตสำนึกของความเป็นปีศาจรุ่นใหญ่ แต่พละกำลังมันกลับชวนให้ผู้คนตื่นตกใจกลัวอย่างยิ่ง เพียงแต่เห็นได้ชัดมากว่า เพราะสัตว์พาหนะตัวนี้ติดตามฟ่านโยวมาหลายปี ในขณะนี้มันจึงเชื่อฟังคำสั่งของฟ่านโยว ยืนอยู่ข้างกายเขา เผยสีหน้าดุร้ายเผชิญหน้าชางเวย
ฉื่อเหยียนตัวดุจเหล็ก แต่กลับมีแสงเพลิงปรากฏอยู่ทั่วลำตัว
สายตาซ่งอิงจับจ้องไปที่เขา ยิ้มตาหยีเดินเข้าไปหา
“เทพฟ่านโยวคลุกคลีอยู่กับฉื่อเหยียนมาเป็นเวลายาวนาน แต่คงไม่ถือสากระมังหากข้ากับสามีจะพูดคุยกับฉื่อเหยียนสักหน่อยเพื่อชักจูงมาเป็นพวกเดียวกัน”
“ตามสบาย” ฟ่านโยวเผยสีหน้าหยิ่งผยอง
ฉื่อเหยียนอุปนิสัยเกรี้ยวกราดดุร้ายมาแต่ไหนแต่ไร ตอนแรกที่มาเป็นสัตว์พาหนะก็ไม่ยอมเขาเช่นกัน เขาคิดหาวิธีการอยู่นานมากจึงได้ค่อยๆ ลดนิสัยดุร้ายของฉื่อเหยียนลงไป และให้ฉื่อเหยียนยอมรับเขาเป็นนายผู้เดียวเท่านั้น
ชางเวยเดินไปพร้อมกับซ่งอิงแล้วมายืนอยู่ข้างๆ ฉื่อเหยียน
ซ่งอิงกำลังเตรียมยื่นมือออกไป
“สัตว์ป่าตัวนี้ดุร้ายเกินเปรียบเทียบ ไม่ชอบให้ผู้อื่นแตะต้อง และเพลิงบนตัวเขาโดยทั่วไปหากเซียนรุ่นเล็กสัมผัสถูกก็จะรู้สึกร้อนเกินบรรยาย หากเป็นแผลตรงไหนก็อย่าเสียใจภายหลังไปล่ะ” ฟ่านโยวกล่าวเสริมอีกประโยค
ซ่งอิงกระตุกยิ้มมุมปาก “แน่นอน เพียงแต่อีกเดี๋ยวท่านเทพอย่าได้กลับคำละ”
ซ่งอิงพูดจบ ก็วางมือทั้งสองข้างนั้นลงบนหัวของฉื่อเหยียน
ดวงตาของฉื่อเหยียนพลันแดงฉาน ปากใหญ่โตอ้ากว้างเผยเขี้ยวแหลมคม ซ่งอิงลอบขับเคลื่อนพลังปีศาจในกายเล็กน้อย พลางเผยสีหน้าอ่อนโยน “ฉื่อเหยียน ไปกับข้าเถอะ”
น้ำเสียงของนางมีความว่างเปล่าเล็กน้อย ทำให้ผู้อื่นนิ่งอึ้งไป
ฉื่อเหยียนส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เทพเซียนไม่น้อยมองเห็นฉากนี้ถึงกับอดหัวเราะไม่ได้
“แม่นางมนุษย์ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน มิใช่คิดว่าตนเองเป็นยอดหญิงที่แม้แต่สัตว์ป่าก็ยังกำราบได้ใช่หรือไม่” มีผู้หนึ่งที่อดพูดและหัวเราะเยาะไม่ได้
เทพธิดาที่เพิ่งถูกเทพชางเวยเล่นงานล้มลงกับพื้นและมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเมื่อครู่ยิ่งแล้วใหญ่ นางยิ้มเยาะกล่าว “ไม่เจียมตัว”
อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นเสียงคำพูดของนาง กลับเห็นฉื่อเหยียนค่อยๆ หุบปากลง ไม่เพียงเท่านี้ สีสันของดวงตาทั้งสองข้างนั้นก็อ่อนลงด้วยเช่นกัน
ต่อจากนั้น เสียงคำรามกลายเป็นเสียงครวญคราง คล้ายกับเจือความเศร้าโศกจากการได้รับความไม่เป็นธรรม สุดท้ายก็ย่างก้าวเดินมุ่งมายังทิศทางซ่งอิง
“ดังนั้นระหว่างข้ากับเขา เจ้าเลือกไปกับข้า ถูกต้องหรือไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มานั่งอยู่ด้านหลังข้าเป็นอันสิ้นเรื่อง” ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย พลางลูบบนหัวของเขาสองครั้ง
ต่อจากนั้นฉื่อเหยียนก็ขยับเขยื้อนจริงๆ
เขาเดินตามหลังของซ่งอิง ไม่แม้แต่จะหันกลับไป จากนั้นคลานไปด้านหลังที่นั่งของซ่งอิง
ทุกคนตื่นตกใจ แม้แต่ฟ่านโยวยังตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก
เขายอมให้สตรีผู้นี้ลิ้มลอง เพราะแน่นอนว่าการอยากจะให้ฉื่อเหยียนทรยศเขาคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ไฉนจึง…
“เจ้าเป็นใครกันแน่!” ฟ่านโยวสีหน้าเปลี่ยนไป “หรือว่าเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจที่หลงเหลืออยู่!”
“เจ้านี่ให้เข้าร่วมกิจการอะไรด้วยไม่ค่อยได้เสียแล้ว พูดเอาไว้ดิบดีแต่แรก ไฉนบัดนี้แพ้ข้าแล้ว เทพฟ่านโยวกลับไม่ยอมรับเสียเล่า” ซ่งอิงยิ้มเยาะ จากนั้นดื่มสุรารสเลิศของโลกเทพอึกหนึ่ง ลิ้มรสความหอมหวานอย่างสุขอุรา “ทำใจยอมรับไม่ได้ก็ช่าง แต่ไม่นึกเลยว่ายังต้องการใส่ร้ายป้ายสีข้าอีก ข้าเป็นคนที่กลายเป็นเซียน เจ้านี่มีตาหามีแววไม่ มองไม่ออกกันเลยหรือ”
ฟ่านโยวเป็นเทพเซียนมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เคยถูกผู้ใดชี้หน้าต่อว่าสร้างความอับอายเมื่อใดกัน
ทันใดนั้นเขาสีหน้าย่ำแย่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ บนตัวแทบจะปรากฏเกล็ดน้ำแข็งหลุดร่วงลงมาเต็มทน
ซ่งอิงกลับทำเหมือนมองไม่เห็น
“ฟ่านโยว ยอมพนันเช่นนั้นก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ มิเช่นนั้นข้าคงต้องต่อสู้กับเจ้าด้วยตนเองสักสนาม ถึงตอนนั้นเจ้าจะรักษาอะไรไว้ไม่ได้เลย” ชางเวยกล่าวอีกครั้ง
ฟ่านโยวในเวลานี้ยังคงตั้งสติขึ้นมาไม่ค่อยได้ เอาแต่จ้องซ่งอิงเขม็ง
เป็นไปไม่ได้ที่คนผู้นี้เป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
“ศิษย์พี่รู้อยู่แล้วว่าฉื่อเหยียนเคย…”
“หุบปาก” ยังไม่ทันพูดจบ ชางเวยก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเอ่ยตัดบท “เมื่อครู่ข้าพูดไว้ชัดเจนแล้ว เจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ข้าอีกแล้ว นับจากนี้ไป ไม่มีสิทธิ์เรียกขานข้าเช่นนี้”
[1] ฟู่จวิน (夫君) แปลว่า สามี