มู่หรงฉางเฟิงเชิดหน้าขึ้น ใบหน้าด้านข้างของเขายกขึ้นสูงจนดูหยิ่งผยอง เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าตนจะเป็นผู้ชนะ เขาถึงกับก้าวเท้าออกไปข้างหน้าแล้ว และกำลังรอรับคำสรรเสริญเยินยอจากทุกคน
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ตู๋เทียนจะกดเสียงลง และอ่านชื่อของ ’เฮ่อเหลียนเวยเวย’ ออกมาเสียงดัง!
เคร้ง!
สิ่งที่อยู่ในมือของร่างนั้นร่วงลงกับพื้น
แม้แต่ห้วนหมิงเสียงก็คาดไม่ถึงว่าผลการตัดสินจะเป็นเช่นนี้ เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีกระทั่งเวลาให้ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ
ในเสี้ยววินาทีนั้น เห็นได้ชัดว่าสีหน้ายิ้มแย้มของมู่หรงฉางเฟิงพลันแข็งค้างอยู่กับที่ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ขาข้างที่เขาก้าวออกไปเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้น นิ้วของเขาสั่นเล็กน้อยยามที่หันหน้าไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย เลือดทุกหยดราวกับถูกดูดออกไปจากใบหน้า!
เป็นไปได้อย่างไร!
เขาจะพ่ายแพ้ให้กับเด็กสาวไร้ค่าเช่นนี้ได้อย่างไร!
ทุกคนตกตะลึงกับผลการตัดสินจนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ลืมแม้กระทั่งจะปิดปาก เวลานี้ทั่วทั้งเวทีเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นกระทบพื้นได้เลยทีเดียว
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก…
ผู้ชนะคือนังคนไร้ค่านั่นหรือ
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และเด็กสาวที่เยาะเย้ยนางไปเมื่อครู่เกิดรอยร้าวขึ้นมาพร้อมกัน คำพูดที่เดิมทีพวกนางเตรียมจะใช้ถากถางอีกฝ่าย มาตอนนี้กลับถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอจนหมดสิ้น แก้มของพวกนางซีดจนเขียว ไม่มีสีสันแห่งชีวิตมากนัก
ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความตกใจนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยในชุดเสื้อคลุมสีขาวตัดดำก็ค่อยๆ เดินออกไปข้างหน้า
สีหน้าของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลง บนใบหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้มที่คล้ายจะไม่ยิ้มปรากฏอยู่เฉกเช่นเดิม แต่ในขณะนั้นทุกคนถึงกับคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอน
เสื้อผ้าของนางเรียบง่ายยิ่งนัก ไม่มีกระทั่งเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว แขนเสื้อยาวของนางลอยอยู่ในอากาศ ผมสีดำขลับปลิวสยาย ภายในสีขาวและดำที่ตัดกันนั้นคล้ายกับมีกลิ่นอายของยอดฝีมือแห่งยุคก่อตัวขึ้น
บรรดาผู้ชมมองไปที่ภาพนี้ด้วยสายตาเหม่อลอย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
คนไร้ค่าเอาชนะมู่หรงซื่อจื่อไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย!
ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นคนเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
มิใช่ว่านางไม่เคยสนใจสิ่งใดเลยหรอกหรือ
มู่หรงฉางเฟิงย่อมไม่อาจยอมรับผลการตัดสินนี้ได้ ทายาทของจวนมู่หรงอ๋องอันยิ่งใหญ่อย่างเขากลับพ่ายแพ้ให้กับคนไร้ค่าที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยแม้แต่จะเข้าเรียนวิชาการสร้างอาวุธ และไม่เคยแตะต้องอาวุธใดๆ มาก่อนเลยหรือ?!
มู่หรงฉางเฟิงข่มกลั้นอารมณ์ไม่พอใจที่พวยพุ่งอยู่ในอกอย่างรุนแรง และหันหน้าไปทางเก้าอี้ผู้ตัดสินที่อยู่ไม่ไกล แล้วกล่าวว่า ”ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าออกแบบอาวุธไปถึงสามชนิด มากกว่าที่พวกท่านขอถึงหนึ่งชนิด ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ขอรับว่าข้าแพ้ได้อย่างไร”
อาจารย์ตู๋เทียนได้ยินถึงความไม่พอใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของมู่หรงฉางเฟิง คิ้วหงอกขาวของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นไม่นานเขาจึงถอนหายใจออกมา ลูกศิษย์คนนี้ของเขายังคงจองหองอวดดีเกินไป ”จริงอยู่ที่เจ้าเขียนแบบแปลนมาถึงสามแบบ มิหนำซ้ำพวกมันยังได้รับการออกแบบมาได้อย่างดีอีกด้วย”
อาจารย์ที่นั่งถัดจากตู๋เทียนรู้ว่าตู๋เทียนคงไม่สะดวกใจที่จะตอบนัก เขาจึงเป็นฝ่ายตอบคำถามของมู่หรงฉางเฟิงโดยลังเล น้ำเสียงของเขาคล้ายมีรอยยิ้มแฝงอยู่ ”มู่หรงซื่อจื่อ เฮ้อ เจ้าตอบคำถามได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่คู่ต่อสู้ของเจ้าเขียนคำตอบมาเป็นสองเท่าจากจำนวนที่เจ้าเขียนเอาไว้เสียอีก” ความหมายของเขาก็คือ เจ้ายังมีอะไรจะบ่นอีกหรือเปล่า
ใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิงสั่นสะท้าน และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ”มากกว่าที่ข้าออกแบบไปถึงสองเท่าหรือ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอนขอรับ! วัสดุที่อาจารย์เตรียมเอาไว้ให้นั้นสามารถนำไปออกแบบอาวุธได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกินห้าชิ้น การจะออกแบบให้ถึงเจ็ดหรือแปดชิ้นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินมู่หรงฉางเฟิงบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ แววตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไป นางกัดริมฝีปากสีแดงของตน แล้วเอ่ยว่า ”ท่านอาจารย์เจ้าคะ อาจจะมีความผิดพลาดบางอย่างก็ได้นะเจ้าคะ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ แต่นางก็คงไม่สามารถเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้มิใช่หรือ”
“เจ้าหมายความว่าข้าปกป้องเฮ่อเหลียนเวยเวยหรือ” ใบหน้าของอาจารย์ท่านนั้นดำทะมึน เขาพูดด้วยท่าทางไม่พอใจว่า ”ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าไม่มีความยุติธรรมในฐานะผู้ตัดสิน เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่มาเป็นผู้ตัดสินเองเสียล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ความอับอายขายหน้าก็เห่อขึ้นบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ”ข้าย่อมไม่ได้หมายความว่าท่านอาจารย์ไร้ซึ่งความยุติธรรมอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่สงสัยว่ามีใครบางคนเล่นแง่อะไรหรือเปล่า…” ไม่อย่างนั้น นังคนชั้นต่ำนั่นจะชนะได้อย่างไร!
“พอได้แล้ว!” ทันใดนั้น อาจารย์ตู๋เทียนที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ที่ข้าไม่อยากพูด เพราะข้าไม่อยากทำให้หอชั้นเลิศต้องอับอายขายหน้าจนเกินไป ผลการตัดสินนี้มาจากดุลพินิจของข้าเอง หากคุณหนูเฮ่อเหลียนยังคงปฏิเสธไม่ยอมรับ เช่นนั้นแม้แต่ข้าคนนี้ก็คงจะไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะผู้ตัดสินได้แล้วกระมัง” พอพูดจบ เขาก็หันไปมองอาจารย์ไป๋ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรำคาญใจ ”บรรดาลูกศิษย์ที่อาจารย์ไป๋ภาคภูมิใจเสมอมาเป็นคนเช่นนี้นี่เอง พวกเขาเปิดโลกทัศน์ของข้าได้ดียิ่งนัก หึๆ หากศิษย์ของหอชั้นเลิศทุกคนเป็นเช่นนี้ ข้าจะเสนอให้ท่านเจ้าสำนักยุบหอชั้นเลิศไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ซะ!”
อาจารย์ไป๋ถึงกับตัวแข็ง และดูท่าทางเหมือนกับอยากขุดหลุมสักหลุมแล้วมุดลงไปเสียเดี๋ยวนั้น
ตู๋ซูเฟิงแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ไม่ได้ตอบอะไร
ตอนนี้อาจารย์ตู๋เทียนชักจะโกรธขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว!
ไม่เพียงแค่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เท่านั้น แต่ศิษย์ทุกคนในหอชั้นเลิศได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็รู้สึกราวกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
ทุกคนที่เคยรู้สึกเคลือบแคลงใจในตอนแรก เวลานี้ล้วนแต่ไม่กล้าตะขิดตะขวงใจอีกต่อไป
อาจารย์ตู๋เทียนเป็นอาจารย์ของมู่หรงซื่อจื่อ แม้กระทั่งเขาก็ยังประกาศว่าการแข่งขันนี้ไม่มีปัญหาแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้นผู้ชนะก็คงเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยจริงๆ แล้ว!
ตู๋เทียนเองก็ไม่สนใจว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาเช่นใด เขาส่งม้วนกระดาษเนื้อดีนั้นให้กับอาจารย์ที่อยู่ข้างตัว ”เอาไปให้เขาดูด้วยตาตัวเองเสีย”
อาจารย์ท่านนั้นค้อมศีรษะลง แล้วยื่นแปลนออกแบบของเฮ่อเหลียนเวยเวยให้กับมู่หรงฉางเฟิง
เมื่อมู่หรงฉางเฟิงเห็นกระบวนการคิดอันโดดเด่น การวิเคราะห์ที่แสนเข้าใจง่าย และคำตอบที่ถูกต้องตรงประเด็นนั้น ดวงตาของเขาก็หรี่แคบเข้าหากัน และขยายออกซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวัสดุพวกนั้นจะยังสามารถนำมาใช้แบบนี้ได้ด้วย
โดยเฉพาะกับอาวุธชิ้นที่หก มันไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่ผู้เป็นอาจารย์ของเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า วัสดุชิ้นเล็กๆ ที่พวกเขาคิดว่าแทบจะไม่มีค่าอันใดนั้น จริงๆ แล้วกลับมีบทบาทสำคัญยิ่งนัก!
“นาง นางออกแบบอาวุธเจ็ดแปดชิ้นนี้เองจริงๆ หรือ”
ไกลออกไป เสียงของร่างนั้นถึงกับสั่นสะท้าน ”ผู้อาวุโสห้วน ทำไมท่านไม่เคยบอกข้าเลยว่าท่านรู้จักกับอัจฉริยะด้านการสร้างอาวุธเช่นนี้ด้วย!”
ห้วนหมิงเสียงจ้องเขาเขม็ง ”เจ้าจะให้ข้าบอกอะไรเล่า ข้าไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าเด็กสาวคนนี้รู้เรื่องอาวุธกับเขาด้วย ข้ารู้แค่เพียงว่าทักษะพลังปราณของนางใกล้เคียงกับคำว่ามหัศจรรย์เท่านั้น! ที่เหลือ ข้าก็เพิ่งจะมาค้นพบเอาวันนี้นี่เอง!” เขาก็รู้สึกหดหู่ใจเหมือนกัน เข้าใจหรือเปล่า?! จนถึงตอนนี้เขากับเด็กสาวคนนั้นก็รู้จักกันมาได้สิบกว่าวันแล้ว แต่เขากลับยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลของเด็กสาวคนนั้นด้วยซ้ำ!
“สวรรค์ ปีนี้หอสามัญรับคนเสียสติที่ไหนเข้าหอกันนี่!” แม้ร่างนั้นจะเรียกพวกเขาว่าคนเสียสติ แต่ในดวงตาของเขากลับวาววับไปด้วยแสงสว่างเหมือนคนที่ได้เห็นสมบัติหายาก!
ห้วนหมิงเสียงลูบคาง พร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า ”ข้าไม่แปลกใจแล้ว! มิน่าจู่ๆ เจ้าคนน่ารังเกียจอย่างตู๋ซูเฟิงถึงได้นึกอยากจะเป็นอาจารย์ประจำหอสามัญในปีนี้ด้วยตัวเอง ในเมื่อเจ้าเด็กน้ำแข็งคือคนคนนั้น เช่นนั้นศิษย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ที่อยู่ข้างเขาล่ะ… จะเป็นใครกัน”
“ผู้อาวุโสห้วน ท่านบ่นอะไรอยู่หรือ ใครเป็นใครรึ” ร่างนั้นกำลังคิดถึงแต่เรื่องของเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้น ในเวลานี้ เขาหวังเพียงว่าหลังจากนี้ เขาจะได้เห็นหน้าตาของนางตอนที่นางประกอบอาวุธพวกนั้นด้วยมือนางเอง
ริมฝีปากของห้วนหมิงเสียงกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เอ่ยราวกับจมอยู่ในภวังค์ความคิดว่า ”ไม่มีอะไร ข้าเพียงบอกว่าเจ้าพูดถูก ปีนี้หอสามัญมีแต่คนเสียสติทั้งนั้น”
ส่วนทางด้านมู่หรงฉางเฟิงที่ยืนอยู่บนเวที ทันทีที่เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่อยู่ข้างหู ร่างทั้งร่างของเขาก็ถึงกับแข็งทื่อ
เขา… แพ้จริงๆ หรือ
แพ้ให้กับเด็กสาวคนที่เขาเคยดูถูกเหยียดหยามเอาไว้อย่างที่สุดเนี่ยนะ