ตอนที่ 187 เป็นเขตอิทธิพลของเฉินเฟิงอีกแล้ว
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ หลินม่ายก็ขึ้นไปงีบที่ชั้นบน
เมื่อคืนที่นอนบนรถไฟนั้นเธอนอนได้ไม่สบายใจนัก มีแต่ที่บ้านเท่านั้นถึงจะนอนได้อย่างสบายใจ
การงีบหลับนี้ยาวไปจนถึงห้าโมงเย็น ตอนที่ตื่นขึ้นมาก็เป็นเจ้าหนูน้อยกำลังพัดวีให้เธออยู่ข้างๆ
หลินม่ายนึกเอ็นดูหล่อนขึ้นมา “แม่ไม่ร้อนจ้ะ ไม่ต้องพัดให้แม่หรอก”
เด็กน้อยเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ยังกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น ความเหนื่อยล้าอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของโรคได้
โต้วโต้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง “คุณแม่เหงื่อไหลเต็มหัวแล้ว จะไม่ร้อนได้ยังไงกันคะ?”
ในบ้านไม่มีพัดลม อากาศก็ร้อนอบอ้าว ใครบ้างจะนอนแล้วเหงื่อไม่ท่วมเต็มศีรษะ
หลินม่ายอาบน้ำอุ่นเสร็จ ก็รีบเขียนกระทู้บทความเล็กๆ แฉการกระทำอันร้ายกาจในการหาผลประโยชน์ส่วนตัวของโต้วหย่งน้าของฟางฟางอย่างรวดเร็ว ด้วยสถานะของคนเดินถนนทั่วไป
ในบทความนั้นเธอได้เน้นย้ำเป็นพิเศษ แม้การทำการค้าโดยไม่มีใบอนุญาตจะเป็นความผิด แต่การกุมจุดอ่อนของพ่อค้าแม่ขายแผงลอยที่ไม่มีใบอนุญาตแล้วมาใช้ขู่กรรโชกทรัพย์นั้น ก็เป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของหน่วยงานเทศกิจเสื่อมเสียอย่างแท้จริง
เธอเขียนมาร้ายแรงขนาดนี้แล้ว โต้วหย่งจะต้องจบไม่สวยแน่
ทำให้สองแม่ลูกนั่นไม่มีคนหนุนหลังมาแผลงฤทธิ์ทำตัวเผด็จการอีกต่อไป
เมื่อเขียนบทความเสร็จแล้ว ก็นำใส่ซองจดหมาย
หลังจากลงไปกินมื้อเย็นแล้ว หลินม่ายก็พาหลี่หมิงเฉิงกับอาหวงนั่งรถสามล้อออกไปทางประตูหลัง ไปยังถนนคนเดินเจียงฮั่น และมองหาตู้ไปรษณีย์หย่อนบทความนั้นเข้าไป
ถนนเจียงฮั่นไม่เพียงเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอีกสิบปีหลังจากนี้ ในยุคนี้เองก็คึกคักมากเช่นกัน ร้านรวงริมถนนติดแสงไฟสว่างไสว ทั้งหมดล้วนเป็นร้านเสื้อผ้าชั้นเยี่ยมที่เปิดโดยเอกชน
ถึงจะบอกว่าเป็นร้านเสื้อผ้าชั้นเยี่ยม สินค้าที่ขายภายในนั้นกลับเป็นเสื้อผ้าที่นำมาจากกว่างโจว
ในสายตาของคนเจียงเฉิงยุคนี้ ปกติแล้วเสื้อผ้าแฟชั่นที่มาจากกว่างโจวล้วนเป็นของเกรดสูงทั้งหมด
ก็เหมือนกับเสื้อผ้าแฟชั่นของถนนฮั่นเจิ้ง พอย้ายไปอยู่ที่เมืองเล็กๆ หรืออำเภออื่นๆ ก็ถูกตีราคาเป็นสินค้าเกรดสูง
ช่วงเวลาที่หลินม่ายมาอยู่ในเมืองไม่ได้นานนัก อีกทั้งวันๆ ก็เอาแต่ทำงาน น้อยมากที่จะออกมาช้อปปิ้งตอนกลางคืน ด้วยนึกไปว่าไม่มีใครมาตั้งแผงที่ถนนเจียงฮั่น
พอไปแล้วถึงเพิ่งจะค้นพบ ว่าคนในถนนคนเดินเจียงฮั่นไม่น้อยเลย ทั้งครึกครื้นเป็นพิเศษ
ของกินของใช้อะไรล้วนมีขายครบครัน โดยเฉพาะร้านที่ขายอาหารกินเล่นนั้นคึกคักที่สุด
แม้คนตั้งแผงขายจะมีไม่น้อย แต่ก็ยังมีพื้นที่ว่างอยู่มาก ถึงอย่างไรในยุคนี้คนที่กล้าตั้งแผงลอยก็ล้วนเป็นพวกใจกล้าทั้งนั้น
แต่คนใจกล้าแล้วยังมีเงินเยอะอีกล่ะ?
พื้นที่ดีๆ ถูกคนอื่นจับจองไปแล้ว หลินม่ายเลือกพื้นที่ว่างในการตั้งแผงที่เทียบกันแล้วค่อนข้างดีเอาไว้ที่หนึ่ง
แผงยังไม่ทันตั้งเสร็จดี หัวหน้านักเลงคนหนึ่งได้พาลูกน้องอีกสองสามคนเดินเข้ามา แล้วใช้แท่งเหล็กในมือเคาะหน้ารถสามล้อของหลินม่ายเบาๆ “มาใหม่เหรอ?”
“อื้ม!” หลินม่ายเหลือบตาขึ้นมองพวกเขาเล็กน้อย แล้วเอาเสื้อผ้าวางแผ่บนรถสามล้อ
“มาตั้งแผงในเขตของเราต้องจ่ายค่าแผงนะ”
หลี่หมิงเฉิงเติบโตมาในชนบท จะไปรู้จักความโหดร้ายของเมืองใหญ่ได้ยังไง ยิ่งไม่รู้ด้วยว่ามีนักเลงแบบนี้อยู่
เขาเดือดดาลขึ้นมาทันใด “นายเป็นใคร? ทำไมต้องจ่ายค่าแผงให้พวกนายด้วย!”
อาหวงเองก็ตั้งท่าจะกระโจนใส่
หัวหน้านักเลงพลันสีหน้าบูดบึ้งขึ้นมา “ไม่จ่ายค่าแผงก็ไสหัวออกไป!”
ด้วยทิฐิดื้อรั้น หลี่หมิงเฉิงจึงลุกพรวดขึ้นมาทันที “พวกเราไม่ไป! นายจะทำไม?”
หัวหน้านักเลงกวัดมือ “เจ้าหมอนี่ไม่รู้จักกฎระเบียบเอาซะเลย พวกเราช่วยทำให้เขาเข้าใจหน่อยสิ”
หลินม่ายเห็นท่าไม่ดี นี่เป็นจังหวะที่กำลังจะมีเรื่องกัน
เธอรีบขวางหลี่หมิงเฉิงเอาไว้ แล้วเข้าไปขอโทษขอโพยนักเลงพวกนั้น “พี่ชายของฉันเพิ่งมาจากบ้านนอก เขาไม่รู้เรื่องอะไร พวกคุณอย่าไปสาเขาเลย”
นักเลงสองสามคนนั้นเองก็ไม่อยากจะมีเรื่องโดยไม่จำเป็น จุดประสงค์หลักของพวกเขาก็คือการเก็บค่าแผง
หัวหน้านักเลงรู้จักพอประมาณ “เห็นแก่หน้าคุณ เรื่องนี้จะไม่ถือสาแล้วกัน คุณจ่ายค่าแผงมาก็พอ”
หลินม่ายถาม “ฉันขายแค่วันเดียว ต้องจ่ายเท่าไหร่คะ?”
หัวหน้านักเลงคุ้ยดูสินค้าบนรถสามล้อของเธอเล็กน้อย “ในเมื่อไม่ได้มาตั้งแผงทุกวัน งั้นก็เก็บตามจำนวนครั้งแล้วกัน ถ้ามาตั้งแผงขายที่นี่ครั้งหนึ่ง พวกเราก็มาเก็บค่าแผงครั้งหนึ่ง ขายเสื้อผ้า ค่าแผงค่อนข้างแพง ขายหนึ่งครั้งต้องจ่ายค่าแผง10หยวน”
สังคมในยุคนี้เพิ่งผ่านการเปลี่ยนแปลง
เมื่อก่อนผู้คนล้วนสวมเสื้อผ้าดาษๆ เหมือนกันไปหมด แต่จู่ๆ ตอนนี้ก็มีเสื้อผ้าสีสันสดใสให้ใส่ ใครเล่าจะไม่อยากแสดงความงามของตัวเองออกมากันบ้าง
ดังนั้นธุรกิจเสื้อผ้าจึงเป็นเหมือนเครื่องบินรบท่ามกลางผู้ตักตวงผลกำไร ค่าคุ้มครองที่พวกนักเลงเก็บจึงค่อนข้างมากไปด้วย
แม้ว่าค่าคุ้มครอง10หยวนนั้นจะแพงมาก แต่หลินม่ายก็ควักจ่ายได้
จะให้เธอจ่ายค่าคุ้มครองน่ะไม่มีปัญหา แต่เธอจะไม่จ่ายไปเปล่าๆ หรอก
เธอถูฝ่ามือพลางพยักหน้าถามอย่างอ่อนน้อม “ฉันจ่ายค่าแผง10หยวนไปแล้ว พวกคุณก็จะคุ้มครองความปลอดภัยในธุรกิจตรงนี้ของฉันใช่ไหมคะ?”
เธอไม่อยากเป็นเหมือนตอนขายสัตว์ปีกวันแรงงานแบบนั้นอีก จ่ายค่าคุ้มครองไปแล้ว ยังเกือบจะถูกนักเลงอีกพวกหนึ่งมาหาเรื่อง
ดังนั้นค่าแผงจ่ายได้ แต่ก็ต้องคุ้มครองเธอด้วย
หัวหน้านักเลงคนนั้นพยักหน้า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามีคนมาก่อกวน คุณก็แค่พูดชื่อของพี่เฟิงออกไป เจ้านั่นก็ไปแล้วล่ะ”
พี่เฟิง? ที่นี่เองก็เป็นเขตอิทธิพลของเฉินเฟิงอย่างนั้นเหรอ?
หลินม่ายยิ้มเยาะ “ถ้าเจ้านั่นเป็นอีกแก๊งหนึ่งล่ะ ไม่ใช่แค่ไม่ไป ยังปล้นสินค้าของฉันด้วยจะทำยังไงคะ?”
หัวหน้านักเลงตบที่หน้าอกพร้อมพูดรับประกัน “งั้นก็เรียกพวกเราได้เลย พวกเราจะช่วยคุณไปเอาสินค้ากลับมาเอง”
หลินม่ายถามอย่างระมัดระวัง “เอาแบบนั้นจริงๆ นะ ฉันจะไปตามหาพวกคุณได้ที่ไหนคะ?”
“ขอแค่ฝนไม่ตกไม่มีพายุ ทุกวันตอนเย็นพวกเราจะมาตระเวนที่นี่รอบหนึ่ง ถึงตอนนั้นคุณก็มาบอกเรา”
เมื่อถามทุกเรื่องชัดเจนแล้ว หลินม่ายจึงจ่ายค่าคุ้มครอง
แม้จะจ่ายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็จ่ายด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน
เธอจงใจหยิบแบงค์เฟินแบงค์เหมาทั้งหมดในตัวออกมารวมกันเป็น10หยวนจ่ายให้กับหัวหน้านักเลง
หัวหน้านักเลงคนนั้นเห็นเธอทำตัวดีก็รู้สึกพอใจมาก ก่อนจะจากไปยังไม่ลืมกำชับว่าหากเธอมีเรื่องลำบากก็ให้มาหาพวกเขา ทำเอาหลินม่ายยังเกือบจะรู้สึกหลอนขึ้นมา นึกว่าพวกเขาเป็นผู้ผดุงคุณธรรมไปแล้ว
ธุรกิจที่ถนนเจียงฮั่นนั้นดีเยี่ยม เสื้อผ้าที่เดิมทีคาดว่าจะต้องขายอีกหนึ่งวัน ก็ได้ขายหมดตั้งแต่ยังไม่ถึง3ทุ่มคืนนั้นเลย
หลังขายเสื้อผ้าหมดแล้ว หลินม่ายก็ซื้อนาฬิกาเซี่ยงไฮ้ปลอมเส้นหนึ่งและแหวนทองปลอมวงหนึ่งด้วยเงิน5หยวนที่แผงข้างเคียง
หลี่หมิงเฉิงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เธอซื้อของปลอมพวกนี้ไปทำไมกันน่ะ?”
ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีนาฬิกาข้อมือ ไม่มีสร้อยทองคำของจริงเสียหน่อย
หลินม่ายตอบอย่างสบายๆ “มันถูก ซื้อแล้วสนุกดีน่ะ”
หลี่หมิงเฉิงยิ่งไม่เข้าใจเธอเข้าไปใหญ่ 5หยวนยังถูกอีกเหรอ! สามารถซื้อผ้าในห้างมาทำเสื้อผ้าตัวหนึ่งได้ด้วยซ้ำ
แต่เงินก็เป็นเงินที่หลินม่ายหามาเอง เขาเป็นเพียงแค่คนเฝ้า ไม่มีสิทธิ์ไปจู้จี้เรื่องการใช้เงินของเธอ
ที่ถนนคนเดินเจียงฮั่น มีลูกน้องเฉินเฟิงคอยเฝ้าอยู่ จึงไม่ได้อันตรายมากนัก
แต่ระหว่างทางกลับบ้านเต็มไปด้วยอันตราย คนพวกนั้นไม่ได้คุ้มกันมาส่งพวกเขาถึงบ้าน
หากระหว่างทางมีโจรกระโดดออกมาสักสองสามคนล่ะก็ซวยแน่ เจ้าพวกโฉดชั่วนั่นฆ่าคนได้เพื่อเงิน
เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว หลี่หมิงเฉิงพร้อมด้วยหลินม่ายและอาหวง ก็ขี่รถสามล้อกลับไปยังลานหลังบ้านอย่างรวดเร็วในอึดใจเดียว
แม้จะน่ากลัวแต่ก็ปลอดภัย ทว่าในใจก็ยังหวาดหวั่นอยู่บ้าง
ประสบการณ์เสี่ยงๆ แบบนี้ยังต้องเจออีกสองสามรอบ
เดิมทีที่ตัดสินใจว่าวันมะรืนจะไปรับสินค้าที่กว่างโจวอีกครั้ง หลินม่ายได้ตัดสินใจใหม่ว่าจะไปกว่างโจววันพรุ่งนี้เลย
เธอบอกแผนนี้ให้กับโจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงฟัง ทั้งสองคนแสดงท่าทางคัดค้านอย่างรุนแรง
โจวฉายอวิ๋นพูด “เธอไปข้างนอกตัวคนเดียวก็ไม่ปลอดภัยแล้ว รอให้ศาสตราจารย์ฟางกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “พูดอย่างกับว่าเขากลับมาแล้วจะไปกว่างโจวอีกรอบเป็นเพื่อนฉันได้อย่างนั้นแหละ ฉันตัดสินใจแบบนี้ไปแล้ว”
โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าขัดขวางเธอไม่ไหว จึงถามขึ้น “พรุ่งนี้เธอจะออกเดินทางตอนไหน?”
หลินม่ายใคร่ครวญครู่หนึ่ง “ตอนบ่ายแล้วกัน”
หลี่หมิงเฉิงถาม “ทำไมไม่เลือกไปช่วงเช้าล่ะ? ออกเดินทางตั้งแต่หัววันไม่ปลอดภัยกว่าเหรอ?”
หลินม่ายโบกมือ “นายไม่เข้าใจ ความสงบเรียบร้อยของเมืองเจียงเฉิงเราค่อนข้างดี แต่ที่กว่างโจวเละเทะไม่เป็นท่า ฉันออกเดินทางตอนบ่าย ก็จะไปถึงกว่างโจวตอนแปดเก้าโมงเช้าของวันถัดไปพอดี กลับจะปลอดภัยกว่าด้วยซ้ำ”
คราวแรกที่เธอไปถึงกว่างโจวก็เป็นตอนกลางคืน เรียกว่าน่าหวาดหวั่นได้เลย
“อีกอย่างพรุ่งนี้กลางวันฉันอยากพักผ่อนสบายๆ ที่บ้านสักหน่อย จะได้ออมแรงเอาไว้”
โจวฉายอวิ๋นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถาม “ครั้งนี้เธอวางแผนว่าจะเอาเงินทุนไปเท่าไหร่?”
“สินค้าครั้งนี้ทำกำไรได้ประมาณสามพัน บวกกับเงินทุนครั้งที่แล้ว ฉันจะเอาไปด้วยทั้งหมด”
เงินทุนยิ่งมาก สินค้าที่รับมาก็ยิ่งเยอะ กำไรก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก
สินค้ามูลค่าหกพันหยวน ก็สามารถหากำไรได้ถึงหกพันสบายๆ
บวกกับเงินที่จ่ายเป็นค่ามัดจำของคุณลุงเจ้าของบ้านกับเงินเก็บในมือของตนแล้ว อีกนิดเดียวก็ครบหนึ่งหมื่นหยวน และสามารถซื้อบ้านได้แล้ว
ขอแค่ซื้อบ้านมาได้เร็วๆ เธอถึงจะสบายใจได้
โจวฉายอวิ๋นตะลึงอยู่พักใหญ่ แล้วเพียงแค่เอ่ยกำชับประโยคหนึ่ง “เธอต้องเก็บเงินไว้ให้ดีๆ นะ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เฉินก็เส้นใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย คุมพื้นที่เกือบจะทั่วเจียงเฉิงเลย
เอ่อ ถึงไปตอนบ่าย แต่ไปคนเดียวมันก็เสี่ยงอยู่นาม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)