หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงสบตากันพร้อมรับคำทันที “พวกเรารู้ว่าควรทำเช่นไร เหนียงจื่อวางใจ แต่เหมือนคุณชายไม่เห็นด้วยที่เหนียงจื่อจะไปภูเขาเฮยเฟิง?”
ลู่เจียวมองหลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “วางใจ ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาเอง ให้เขายอมพาข้าไปภูเขาเฮยเฟิงด้วย”
หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองคนกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นกล่าวว่า “เหนียงจื่อ พวกเราออกเดินทางตอนนี้เลยใช่ไหม”
“ใช่”
ลู่เจียวพาเซี่ยอวิ๋นจิ่นขึ้นรถม้า โจวเส้ากงขับรถม้า หลี่หนานเทียนนั่งอยู่หน้ารถม้ากับโจวเส้ากง ออกจากอำเภอชิงเหอตรงไปยังภูเขาเฮยเฟิง
ตลอดทางโจวเส้ากงเล่าสภาพภูเขาเฮยเฟิงให้ลู่เจียวฟังเล็กน้อย
“แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยมาภูเขาเฮยเฟิง แต่บ้านข้าอยู่อำเภอข้างๆ อำเภอชิงเหอ รู้ว่าภูเขาเฮยเฟิงลูกนี้เมื่อก่อนเป็นที่ส่องสุมพวกโจร พวกโจรจะขึ้นไปหลบซ่อนตัวกันบนเขาปล้นชิงชาวบ้านในหมู่บ้านและคนเดินทางผ่านไปมา หลายปีก่อน โจรพวกนี้เหิมเกริมมาก ต่อมาเพราะอำเภอชิงเหอยากจนมาก ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่มีของให้ปล้นชิง คนผ่านทางมาก็ล้วนยากจน ไม่มีเงินทองให้ปล้น ดังนั้นโจรบนภูเขาเฮยเฟิงก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ”
“สุดท้ายไม่มีโจรเหลือสักคน ล้วนไปหาที่อื่นอยู่กันหมด ตอนนี้ภูเขาเฮยเฟิงเป็นค่ายโจรว่างเปล่า ภูเขาลูกนี้ไม่สูง แต่เส้นทางกลับอันตรายอย่างมาก คุณชายกับเหนียงจื่อขึ้นเขาต้องระวังให้มาก”
ลู่เจียวคิดจะพูด แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นในรถม้าตื่นแล้ว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็ส่งเสียงเรียกอย่างไม่พอใจ “ลู่เจียว”
หญิงผู้นี้ใจกล้าเกินไปแล้ว ถึงกับวางยาสลบเขาเพื่อจะตามเขาไปภูเขาเฮยเฟิง
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นทั้งเป็นห่วงและโมโห ถลึงตาใส่ลู่เจียวทันที
ลู่เจียวยิ้มตาหยีมองเขา อย่างไรก็มาได้ครึ่งทางแล้ว คงไม่ส่งกลับไปหรอกนะ หากส่งนางกลับ ก็จะไปช่วยเอ้อร์เป่าไม่ทัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวยิ้มก็ยื่นมือไปบีบแก้มนางอย่างจนใจ
ลู่เจียวอึ้งไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ชักมือกลับ ยังคงวนเวียนอยู่ที่แก้มนาง การกระทำนี้เขาคิดมานานแล้ว ในที่สุดก็ได้ฉวยโอกาสตอนนี้บีบสักทีหนึ่งแล้ว
ในรถม้า ลู่เจียวพลันได้สติ ยกมือปัดมือเซี่ยอวิ๋นจิ่นออก นี่ไม่ใช่ว่าเอาเปรียบนางอยู่หรือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มมองตะเกียงสลัว บุรุษใบหน้าหล่อเหลากระจ่างใสทาบทาด้วยแสงสลัว ความเย็นเยียบแบบเมื่อก่อนที่ฉาบรอบกายยามนี้หายไปหมดสิ้น มองอย่างไรก็ไม่มีเบื่อ แววตายังมีความนัยลึกซึ้งจ้องมองลู่เจียว หัวเราะเบาๆ พลางส่งเสียงเรียกขึ้น
“ลู่เจียว”
ลู่เจียวหันหน้าไปมองเขา พบว่าเขาไม่ได้พูดอะไร ยังเรียกอีกทีว่า “ลู่เจียว”
ลู่เจียวโมโหถลึงตาใส่เขา นี่เป็นอะไรไปอีก ไม่มีอะไรก็เอาแต่เรียกชื่อนาง
“มีเรื่องก็ว่ามา อย่าเอาแต่เรียก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มหรี่ตาลึกซึ้ง กล่าวว่า “ก็อยากจะเรียก”
ความจริงเขาอยากจะเรียกแบบคนพวกนั้นที่เรียกนางว่าเจียวเจียว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วว่า หากครั้งนี้เขาช่วยเอ้อร์เป่ากลับมาได้อย่างปลอดภัย เขาจะต้องเรียกให้พอ จะเรียกนางว่าเจียวเจียว ไม่สนใจว่านางจะคิดเช่นไร
ในรถม้า ลู่เจียวได้ยินเสียงเซี่ยอวิ๋นจิ่นเรียก ก็หันหน้าเข้าข้างรถแสร้งทำเป็นหลับไม่สนใจเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไม่โกรธ เขายังคงมองลู่เจียวด้วยแววตาอ่อนโยนลึกซึ้ง กล่าวว่า “ลู่เจียว เจ้าเป็นมารดาที่ดีที่สุดในใต้หล้า หาที่ใดไม่ได้อีกแล้ว ข้ากำลังคิดว่า ทำไมตอนเด็กข้าไม่มีมารดาที่ดีอย่างเจ้า”
“เจ้ารู้ไหม แต่เล็กท่านแม่ข้าไม่เคยอุ้มข้าเลย ตอนนางมองข้า มักจะมีสายตารังเกียจ สายตาคับแค้นใจ แทบจะให้ข้าไปตาย”
“ตอนเด็กเรื่องที่ข้าชอบที่สุดก็คือหลบไปอยู่ในที่ที่ไม่มีผู้คนพบเห็น แอบดูมารดาผู้อื่นแสดงความรักกับลูกตนเองอย่างไร เห็นเด็กเหล่านี้ถูกมารดากอดไว้ในอ้อมกอด ข้าแทบอย่างให้คนผู้นั้นเป็นมารดาข้า ข้าแอบบอกเจ้านะ หลายครั้งที่ข้ามีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นในใจ อยากจะสังหารมารดาพวกนั้นทิ้งให้หมด ให้เด็กพวกนั้นไม่มีมารดาคอยแสดงความรักเหมือนข้า”
“ต่อมาจิตใจข้าจึงได้เย็นเยียบลงเรื่อยๆ ยิ่งไร้ความรู้สึกลงเรื่อยๆ ตอนนั้นข้ามีเพียงความคิดเดียว ข้าต้องพยายามเรียนหนังสือ ข้าจะเชิดหน้าชูตา ข้าจะเป็นขุนนาง ข้าจะให้ท่านพ่อและท่านแม่ข้านึกเสียใจที่ตอนเด็กทำกับข้าอย่างนั้น ข้าจะให้พวกเขาร้องไห้เสียใจสำนึกผิดที่ตอนเด็กทำไม่ดีกับข้า”
“ต่อมาข้ามีพรสวรรค์ในการเรียนหนังสือ ในที่สุดท่านพ่อ ท่านแม่ข้าก็มองข้าดีขึ้น ข้าคิดว่าในที่สุดพวกเขายอมรับข้าแล้ว…”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวถึงตรงนี้ ก็พลันหัวเราะดังขึ้น ลู่เจียวรู้ว่าเขาคิดถึงตอนนอนอัมพาตอยู่บนเตียง อดลืมตามองเขาไม่ได้ ปลอบใจว่า “เรื่องผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ วันหน้าจะยิ่งดีขึ้นกว่านี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็เห็นด้วยทันที “ใช่ วันหน้าจะดีขึ้นยิ่งกว่านี้”
เพราะข้าได้เจอกับเจ้า เจ้าสอนให้ข้ามองโลกในแง่ดี ปฏิบัติต่อทุกสิ่งในแง่ดี สอนให้ข้าดีกับคนอ่อนแอ สอนให้ข้าใช้จิตใจด้านสว่างปฏิบัติต่อสรรพสิ่ง
เจียวเจียว ครั้งนี้หากข้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้าจะต้องบอกเจ้า ข้าอยากให้เจ้าอยู่ต่อ อยากให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าต่อไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็พิงข้างรถม้าหลับตาลง
ลู่เจียวคิดว่าเขาหลับก็หลับตาพักผ่อนตาม
รถม้าแล่นมาตามทางอย่างรวดเร็ว ก่อนยามจื่อหนึ่งเค่อก็มาถึงภูเขาเฮยเฟิงราบรื่น
ภูเขาเฮยเฟิงห่างจากอำเภอชิงเหอมาก สภาพพื้นที่รกร้าง ทำให้ไม่มีโรงบ้านทำการเกษตรปศุสัตว์ มองไกลออกไปก็เห็นเพียงผืนแผ่นดินรกร้าง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวถือตะเกียงลงจากรถม้า หลี่หนานเทียนกับโจวเส้ากงเดินตามหลังพวกเขามา ทั้งสองคนหยุดยืนที่เชิงเขา แหงนหน้ามองขึ้นไปยังยอดเขา
พอแหงนหน้ามองเช่นนี้ ก็เห็นสภาพภูมิประเทศอันตรายของภูเขาเฮยเฟิง ยามม่านรัตติกาลมืดมิด ภูเขาเฮยเฟิงเหมือนสัตว์ป่าใหญ่ ปากทางเข้าเหมือนปากสัตว์ป่าตัวใหญ่ รอเขมือบคนที่เชิงเขาให้หมด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวกำลังยืนมองดูอยู่ที่เชิงเขาต่อไป พลันเห็นกลางเขามีแสงตะเกียงดวงหนึ่ง ตะเกียงนั้นโบกให้คนที่เชิงเขา
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นก็รู้ว่าคนที่ถือตะเกียงนั่นก็คือคนที่จับตัวเอ้อร์เป่าและมุ่งหมายสังหารเซี่ยอวิ๋นจิ่น
คนตรงข้ามโบกตะเกียงให้คนเชิงเขา เห็นชัดว่าคิดให้พวกเขาขึ้นเขา แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไม่ได้ขยับ หากไม่แน่ใจว่าเอ้อร์เป่าอยู่บนเขา พวกเขาจะไม่ขึ้นเขาอย่างเด็ดขาด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไม่ขยับ คนบนเขารออยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเริ่มร้อนใจ ในความมืดก็มีชายชุดดำ คนหนึ่งทะยานข้ามต้นไม้ฝ่าแรงลมลงมา
แต่คนผู้นี้ไม่ได้มาตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว หากไปหยุดที่กลางเขาตรงข้ามพวกเขา ตะโกนใส่พวกเขาว่า
“เซี่ยอวิ๋นจิ่น รีบขึ้นเขามาเดี๋ยวนี้ หากเจ้ายังไม่ขึ้นมา พวกเราก็จะสังหารบุตรชายเจ้า”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวได้ฟัง ในใจก็พลันขมวดเกร็ง สีหน้าทั้งสองคนอย่าได้บอกว่าแลดูน่ากลัวเพียงใด ในใจโกรธแค้นถึงขีดสุด
ทั้งสองคนสาบานพร้อมกันในใจ ช้าเร็วสักวันหนึ่งจะต้องกำจัดคนตระกูลใหญ่ทั้งสี่ทิ้งให้สิ้นซาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองคนชุดดำตรงข้ามด้วยสีหน้าดุดัน กล่าวว่า “ข้ามาก็เพื่อเปลี่ยนตัวบุตรชายข้ากลับไป หากยังไม่แน่ใจว่าบุตรชายข้าอยู่บนเขา ข้าก็จะไม่ขึ้นเขา อย่าได้ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสังหารข้าแล้วยังสังหารบุตรชายด้วย เรื่องโง่ๆ พรรค์นี้ข้าไม่ทำเด็ดขาด หากพวกเจ้าคิดจะให้ข้าขึ้นเขา ก็ให้บุตรชายข้าเรียกข้าสักคำ หากข้าแน่ใจว่าบุตรชายข้าอยู่ในมือพวกเจ้า ข้าก็จะขึ้นเขาทันที”