ไม่ใช่เพราะหญิงสาวประเภทนี้วิเศษวิโสแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะผู้ชายคนนี้ชอบถอดเขี้ยวเล็บของเหยื่อต่างหาก
หนานกงเลี่ยยังคงสงสัยว่าในอนาคต อาเจวี๋ยจะทำอะไรต่อ หากเขาทำเช่นนั้นแล้วจริงๆ
คาดว่ามีความเป็นไปได้อยู่สองสถานการณ์ สถานการณ์แรกคือเขาจะปฏิเสธนางที่แปดเปื้อน และขับไล่นางออกไป
หรือสถานการณ์ที่สอง คือเขาจะถอดเขี้ยวเล็บของนางออกอยู่ดี ส่วนเรื่องที่เขาจะทำเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หนานกงเลี่ยก็รู้สึกว่าอนาคตของหัวหน้าเฮ่อเหลียนช่างน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง…
อาจารย์ทั้งสามคนที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ตัดสิน ก็รู้สึกเป็นห่วงเฮ่อเหลียนเวยเวย เพราะการออกแบบนั้นมีแบบที่หลากหลายมาก แม้แต่พวกเขาเองก็ยังไม่สามารถประกอบได้เสร็จภายในเวลาครึ่งก้านธูป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยังไม่ได้การรับรองจากเจ้ายุทธ์คนใดเลย
พวกเขารู้สึกว่าในการประลองครั้งนี้ เป็นการกลั่นแกล้งเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มากก็น้อย
ถ้าปรมาจารย์กลับมา และรู้ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของเขาเช่นนี้ เขาคงจะต้องฉุนเฉียวอย่างแน่นอน
ตู๋เทียนและอวิ๋นซิวมองหน้ากัน หลังจากนั้น อาจารย์อวิ๋นซิวก็ก้าวเท้าออกมาข้างหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อมเฮ่อเหลียนเวยเวย “สาวน้อย อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ กฎของการแข่งขันในสำนักไท่ไป๋นี้ ไม่ได้ระบุให้เจ้าต้องสร้างอาวุธจำนวนมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งที่คนอื่นๆ พูด”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นห่วงนางอย่างแท้จริง ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มที่ดูจริงใจขึ้นเล็กน้อย “แต่ศิษย์คนนี้ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะตอบรับข้อเสนอของคุณหนูมู่”
เมื่ออวิ๋นซิวได้ยินนางพูดแทนตัวเองว่าศิษย์ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนไป ก่อนจะถอนหายใจยาว “สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ ผู้ชายคนนั้นมองคนเก่งจริงๆ” กว่าจะยอมรับศิษย์ที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ได้ ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคำนินทาไร้สาระมากเกินไป ไอ้หยา พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดเสริม “นังหนู ทำให้ดีที่สุด ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้”
ในฐานะที่เป็นอาจารย์จากสาขาอาวุธ อาจารย์อวิ๋นคือคนที่มีความสัมพันธ์กับคุณชายอู๋ซวงในหลายๆ ด้าน แต่น่าประหลาดใจ ที่เขาพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นนี้
เรื่องนี้ยิ่งทำให้เด็กสาวสกุลมู่ รู้สึกอิจฉามากขึ้นไปอีก นางจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเย็นชา จริงๆ แล้ว นางก็อยากจะเห็นนักว่านังแพศยาคนนี้จะประกอบชิ้นส่วนอันไร้ประโยชน์จำนวนมากนั้นได้อย่างไร นางเป็นแค่เป็ดตายปากแข็ง[1]ที่ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเท่านั้น น่าเสียดายนักที่ยังมีคนเชื่อมั่นในตัวนางอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนี้
อาจารย์ตู๋เทียนลูบเครายาวสีขาวของตนเอง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เป็นกังวลหรืออ่อนโยน “ฉางเฟิง ในเมื่อแม่นางเฮ่อเหลียนตกลงแล้ว เจ้าก็ควรสร้างอาวุธจากชิ้นส่วนทั้งหมด ตามแบบที่เจ้าวาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย” มิเช่นนั้น การประลองครั้งนี้ก็จะดูไม่ยุติธรรมเกินไป
เขาไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายออกมาดังๆ เพราะประการแรก เขาไม่ต้องการเห็นศิษย์รักของตนเองต้องเสียหน้ามากเกินไป และประการที่สองคือ ในเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ตกปากรับคำ แล้วเขาจะพูดอะไรได้อีกเล่า
บางที ในใจของเขาเองก็อยากจะรู้ว่าแบบที่เฮ่อเหลียนเวยเวยออกแบบไว้นั้น จะใช้ได้จริงหรือไม่
ในฐานะเจ้ายุทธ์ เขาเองก็ตระหนักดีว่าบางครั้ง สิ่งที่ออกแบบเอาไว้ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การจะประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ในมือของเราให้สำเร็จจริงๆ นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งสองคนมีเวลาเพียงครึ่งก้านธูป แต่มู่หรงฉางเฟิงต้องสร้างอาวุธเพียงสามชิ้นเท่านั้น ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องสร้างอาวุธอย่างน้อยเจ็ดชิ้น
แต่ผู้คนจากหอชั้นเลิศก็ยังไม่รู้สึกว่าพวกเขากำลังเอาเปรียบหญิงสาวแต่อย่างใด พวกเขายังคงเยาะเย้ยและถากถางนางต่อไป “พวกเจ้าคิดว่านังคนไร้ค่าจะประกอบชิ้นส่วนพวกนั้นได้แน่หรือ”
“นางชอบพูดจาโอ้อวดเท่านั้น หากนางบอกว่านางสามารถประกอบอาวุธได้หนึ่งชิ้น ข้าก็อาจจะเชื่อ แต่การประกอบอาวุธเจ็ดชิ้นในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป นางไม่ควรพูดจาโอ้อวดมากขนาดนั้น”
“นางก็แค่เขียนแบบเสร็จเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ[2] นางก็แค่คนบ้านนอกจากหอสามัญที่ไม่เคยพบเห็นแม้แต่ตลาดเลย เหมือนกับท่านแม่ของนางนั่นแหละ…”
ศิษย์จากหอชั้นเลิศยังพูดไม่ทันจบประโยค จู่ๆ ก็มีเงาของคนๆ หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยลดสายตาลงเพื่อมองนาง แววตาของนางเผยให้เห็นถึงความเย็นชาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน “ข้าเปลี่ยนใจ ข้าไม่ต้องการเงินแล้ว แต่ขอเป็นหญิงสาวคนนี้แทน” เฮ่อเหลียนเวยเวยชี้ไปที่เด็กสาวที่พูดถึงท่านแม่ของนาง แล้วมุมปากของนางก็เผยรอยยิ้มกระหายเลือดออกมา “ข้าต้องการให้นางตบหน้าตัวเองสิบครั้งแทน”
หญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นทันที “เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เจ้ามันก็แค่ขยะไร้ค่า ที่นี่คือสำนักไท่ไป๋ อย่าเอานิสัยอันธพาลและเอาแต่ใจจากเมืองหลวงของเจ้ามาใช้ที่นี่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งริมฝีปากของตนเองเป็นรอยยิ้ม ทันใดนั้น นางก็เอนตัวไปคว้าคอเสื้อของอีกฝ่าย แล้วดึงนางขึ้นมา น้ำเสียงของนางเผยให้ได้ยินถึงความโกรธเคือง “หืม ข้าเป็นคนดื้อรั้นและเอาแต่ใจเช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ถอนตัวไปสิ และมาประลองกันตามกฎเดิม” เมื่อพูดจบ นางก็เหลือบตามองอาจารย์ไป๋ “เพียงแต่ เมื่อถึงเวลานั้น หอชั้นเลิศก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนา หากไม่เชื่อ พวกเจ้าก็คอยดูได้”
อาจารย์ไป๋กำมือทั้งสองข้างแน่น ในฐานะของอาจารย์ประจำหอชั้นเลิศ เขาเครียด และกดดันยิ่งกว่าเหล่าลูกศิษย์เสียอีก
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา หอชั้นเลิศมักจะได้รับชัยชนะเหนือหออื่นๆ อยู่เสมอ
ไม่ต้องพูดถึงแค่ในจักรวรรดิจ้านหลง แม้แต่ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ การประลองในสำนักไท่ไป๋ก็ถือว่าเป็นการแข่งขันที่สำคัญมาก
แต่หอชั้นเลิศจะมาพ่ายแพ้ภายใต้การดูแลของเขาเช่นนั้นหรือ
เขานึกไม่ออกเลยว่าหากหอชั้นเลิศพ่ายแพ้การแข่งขันภายในสำนักไท่ไป๋จริงๆ แล้วเขาจะยังสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ตนเองเพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นมาได้อย่างไรกัน
หอชั้นเลิศจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น
ไม่ว่าพวกเขาจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
ไม่เพียงแค่อาจารย์ไป๋เท่านั้น แม้แต่ลูกศิษย์คนอื่นๆ จากหอชั้นเลิศเองก็คิดแบบเดียวกัน
ดังนั้น เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดว่าต้องการจะทำอะไร พวกเขาก็หันไปมองหญิงสาวคนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
อ่า นี่คือศิษย์จากหอชั้นเลิศสินะ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะเปิดเผยความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพียงเพื่อต้องการจะชนะเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจลักษณะนิสัยของคนกลุ่มนี้ดี นางจึงเปลี่ยนใจในตอนสุดท้าย
เพราะถ้อยคำที่เด็กสาวคนนั้นพูดเมื่อครู่ ได้ก้าวล้ำเส้นขีดความอดทนของนางไปแล้ว
ขีดความอดทนของนางนั้นเรียบง่ายมาก นางไม่สนใจว่าผู้คนจะดูถูกเหยียดหยามนางอย่างไร แต่หากพวกเขาเย้ยหยันตระกูลของนาง นางก็ไม่รังเกียจที่จะแสดงให้คนพวกนั้นรู้ว่าวิธีการของนางโหดเหี้ยมเพียงใด
เด็กสาวคนนั้นมองดูดวงตาที่เยือกเย็นคู่นั้น ก่อนจะลู่ไหล่ลงอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ หญิงสาวคนนี้ก็กลายเป็นคนที่รับมือได้ยากเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
เดิมที นางเพียงต้องการจะเยาะเย้ยอีกฝ่ายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่นางไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบีบให้นางจนมุม จนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หากนางปฏิเสธข้อเสนอของเฮ่อเหลียนเวยเวย และหอชั้นเลิศพ่ายแพ้จริงๆ นางก็จะตกเป็นตัวต้นเหตุ
นางไม่อยากถูกเพื่อนๆ ทำตัวห่างเหิน นางเคยเห็นผู้คนจากหอของตนเองทำตัวห่างเหินกับคนอื่นๆ มาก่อน พวกเขาจะไม่ให้ความสำคัญกับการมีตัวตนของคนๆ นั้น พวกเขาไม่ได้ทำตัวเป็นพวกปากร้าย และกระชากผมของคนที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาเพียงแค่เดินจากไปอย่างไม่แยแส เวลาที่คนๆ นั้นต้องการจะพูดคุยกับพวกเขา หรือแม้แต่หลังจากที่พวกเขาเห็นคนๆ นั้นแล้ว พวกเขาก็จะเบะปากใส่ด้วยความดูถูก
นางไม่ต้องการได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นอย่างแน่นอน
หญิงสาวกัดฟันกรอด “แค่ตบหน้าไม่กี่ครั้งมิใช่หรือ หากเจ้าชนะจริงๆ ข้าจะทำเช่นนั้นตามที่เจ้าว่า”
นังคนไร้ค่าคนนี้ก็แค่ต้องการพูดจาข่มขู่เท่านั้น นางไม่เชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนั้น อีกฝ่ายจะสามารถสร้างอาวุธได้ถึงเจ็ดชิ้น เว้นแต่ว่านางจะมีสามเศียรหกกร!
————————————
[1] เป็ดตายปากแข็ง หมายถึง คนที่ปากแข็งมาก เช่น คนที่ทำผิด แล้วทุกคนบอกว่าเขาผิด แต่เขาจะไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด
[2] ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเทียบสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก