เฟิงอวี้เฉินไม่ฟังที่นางพูด ยกฝ่ามือวายุ หมิงเย่ว์กับไฉ่สยาล้มลงข้างๆ ทันที เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มั่วเชียนเสวี่ยก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีชายชุดดำสองคนปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้า กางฝ่ามือออกพร้อมๆ กัน ปกป้องร่างที่โซเซของมั่วเชียนเสวี่ย
“ฮูหยิน ท่านกลับไปก่อนเถิด ทางนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของบ่าวเอง”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกรำคาญและว้าวุ่นใจเพราะเฟิงอวี้เฉินมาตั้งนานแล้ว นางอยากไป ทว่าราวกับหัวใจดวงนี้มิยอมให้นางควบคุมอย่างไรอย่างนั้น ทำให้มิอาจก้าวเท้าได้
หมิงเย่ว์กับไฉ่สยาลุกขึ้นมานานแล้ว ทั้งสองทิ้งตะกร้าเอาไว้ ขวาคนซ้ายคนช่วยพยุงมั่งเชียนเสวี่ยวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
นางจะทิ้งเขาไปทั้งๆ อย่างนี้น่ะหรือ ทั้งยังให้คนจัดการกับเขาอีก
ใจรู้สึกเจ็บปวดเกินจะทานทน เฟิงอวี้เฉินใช้ฝ่ามือวายุ ซึ่งไม่ได้มุ่งเป้าไปที่สองคนนั้น แต่กลับพุ่งไปที่ต้นอู่ถงที่อยู่สองข้างทาง
พอฝ่ามือวายุปะทะ ต้นอู่ถงก็ล้มลง!
ทั้งสองคนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป พลางมองหน้ากัน คิดว่าวันนี้คงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว
แต่ทั้งสองคนก็หลบเศษซากและลมแรงที่เกิดจากต้นอู่ถงที่กระเด็นลอยอยู่ได้ พอมองไปอีกครั้ง ผู้ที่ยืนอยู่เมื่อครู่นี้ กลับหายตัวไปแล้ว
เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าเบื้องหน้าไม่มีคนอยู่แล้ว ก็ได้หลบเข้าไปในทางลับ ปาดเหงื่อที่ไหล จากนั้นก็ไปทางที่มั่วเชียนเสวี่ยหนีไป
ทั้งสองคนจากไป เฟิงอวี้เฉินก็ลอยลงมาจากยอดไม้
เขาจะเจ็บปวดอีกสักเท่าไรก็ไม่อาจทำร้ายคนที่คอยปกป้องนางได้ หากทำเช่นนั้น ก็เกรงว่านางยังไม่ทันจะจำเขาได้ ระหว่างพวกเขาจะกลายเป็นความเกลียดชังกันเสียก่อน
เขาจะรอ รอให้นางจำเขาได้ จำทุกสิ่งทุกอย่าง…
มั่วเชียนเสวี่ยเดินสับสนอยู่ท่ามฝนดอกไม้เพียงลำพัง นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปรับมัน นึกไม่ถึงว่าฝนดอกไม้จะกลายเป็นที่ฝนที่โหมกระหน่ำ
สายฝนเย็นเยียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นฝนและหิมะ
หนาวจัง!
นางวิ่งไปเรื่อยๆ วิ่ง…
ห่างออกไปไม่ไกลนัก…
นางเห็นภาพ…
บุรุษผู้หนึ่งกำลังเหาะอยู่ในพื้นที่สีเขียวทึบ เคลื่อนไหวร่างกายได้บางเบาและรวดเร็วมาก อยู่ตรงกิ่งก้านใบที่เปียกชุ่ม เขาที่อยู่ในชุดดำลอยไปลอยมาอยู่ ดาบนั้นรวดเร็วและรุนแรง ดาบพุ่งออกไปสับใบไม้จนร่วงหล่นกระจัดกระจายลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศ
สตรีนางหนึ่งกำลังมองอยู่ที่ด้านข้าง เห็นว่าชายหนุ่มรำกระบี่เสร็จแล้ว ก็ได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้เขาเช็ดใบหน้า
นางหยุดดูแม้จะมองเห็นใบหน้าของทั้งสองคนไม่ชัดเจนเลย เพียงรู้สึกว่าทั้งสองคนนี้มีความรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง
“ท่านพี่ ฝึกวิชาดาบมาก็ครึ่งค่อนวันแล้วต้องเหนื่อยมากเป็นแน่”
“เสวี่ยเอ๋อร์ มีเจ้าอยู่ ทำอะไรก็ไม่เหนื่อยทั้งนั้น”
“ท่านพี่…ขืนท่านยังพูดเช่นนี้ เสวี่ยเอ๋อร์จะไม่สนใจท่าน…”
“เสวี่ยเอ๋อร์จะไม่สนใจพี่ได้อย่างไร! รอท่านอากับท่านอาเขยได้รับชัยชนะกลับมาก่อน พี่จะคุยเรื่องการแต่งงานกับท่านอาอย่างเป็นทางการ กำหนดวันให้พวกเราทั้งสอง…”
หญิงสาวในฝันหันกลับมา หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยเย็นเยียบขึ้นมาในทันที นางมองเห็นได้ชัดเจน หญิงสาวคนนั้นเป็นตัวนางชัดๆ
…
……
นางตกใจ พลางรีบก้าวไปข้างหน้า อยากถามไถ่ให้กระจ่าง
ทว่า นางอยู่เบื้องหน้าพวกเขาชัดๆ เหตุใดพวกเขาถึงมองไม่เห็นนางกันนะ เหตุใดในสายตาของพวกเขาถึงมีเพียงกันละกันเท่านั้น
นางที่อยู่ทางด้านนี้ทั้งหนาวทั้งกังวล!
ทันใดนั้น หญิงสาวในฝันก็หันหน้ามายิ้มให้นาง และดูเหมือนร่างของนางจะลอยเข้าไปอยู่ในร่างของหญิงสาวในฝัน ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นางไม่หนาวอีกต่อไป ทว่าพอมองไปที่ชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้งกลับทำให้ตกใจจนชะงักไป
เขา…ก็คือเฟิงอวี้เฉินที่เจอในตอนกลางวัน รู้สึกเจ็บปวดที่ใจขึ้นมาในทันที
ระหว่างที่มิอาจควบคุมความเศร้าที่ถาโถมเข้าสู่หัวใจ
ทันใดนั้น ฉากก็ได้เปลี่ยนไป จู่ๆ นางก็นั่งอยู่บนรถม้า ด้านหลังนางล้วนเป็นชายสวมหน้ากากที่ถือมีดไล่ตามมาอยู่
ฉากที่ถูกไล่ฆ่าในฝันนี้ มันอันตรายเสียยิ่งกว่าครั้งนั้นที่นางอยู่ในทุ่งหิมะเป็นสิบเท่า
ดังนั้น ในฝันครั้งนี้ไม่มีหนิงเซ่าชิงอยู่ ไม่มีอาซานอาอู่ คนบังคับม้าเป็นหญิงชราคนหนึ่ง และมีสาวใช้ที่อยู่เป็นเพื่อนนางในรถม้าอีกสองสามคน
คนที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างๆ รถม้าก็คือองครักษ์ที่พกดาบขี่ม้ากลุ่มหนึ่ง
ด้านหลังก็หมายเอาชีวิตอย่างเยือกเย็น “ปลิดชีพนาง…สังหารนางให้ข้า…ใครสังหารสตรีที่อยู่ในรถม้านั่นได้ เจ้านายจะตบรางวัลใหญ่ให้…”
องครักษ์ที่พกดาบล้มลงทีละคนๆ พวกเขากลิ้งลงไปที่พื้น ฉากนองเลือดนี้ เต็มไปด้วยเลือดทุกหนแห่ง
สายลมโชยอ่อน ใบไม้ปลิดปลิว เสียงกีบม้ากระทบกัน…
หญิงชราถูกลูกธนูแทงทะลุจนร่วงหล่นสู่พื้น ต่อสู้กับชายชุดดำและชายสวมหน้ากากกลุ่มนั้น สาวใช้สองสามคนนี้ก็มีวิชาการต่อสู้เช่นกัน ปกป้องให้นางอยู่ด้านหลัง หญิงชรากระอักเลือดพลางกล่าวออกมา “คุณหนู รีบหนี…”
“ฆ่านาง…” ชายชุดดำสวมหน้ากากเข่นฆ่าไร้ความปรานี “อย่าให้เหลือรอดสักคนเดียว…”
สาวใช้ข้างกายถูกแทงไปสองสามแผล “คุณหนู ระวัง…”
เฮือกกก…
ระหว่างที่ถอยหลัง นางก็ก้าวพลาด จนทำให้ร่วงหล่นลงไปในหุบเหว
ระหว่างที่นางตกลงไปนั้น…
ในฝันนั้นทั้งเหมือนจริงและเหมือนฝัน นางตกใจตื่นขึ้นในตอนเที่ยงคืน!
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นนั่งทันที เหงื่อออกไปทั้งตัว แม้ว่าสองฉากนั้นจะเป็นเพียงฝัน ทว่านางกลับซาบซึ้งและตื้นตันใจจริงๆ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปด้านข้าง อยากควานหาการปลอบโยนเสียหน่อย ทว่าสิ่งที่มือสัมผัสได้นั้นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ในใจรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาในทันที
ในความมืด มั่วเชียเสวี่ยรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย เปิดผ้าห่มควานหาอีกครั้ง ตั้งแต่หัวเตียงจรดปลายเตียง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักตึก นางจึงมั่นใจมากว่ามีนางเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้อง ตื่นตระหนกจนเหงื่อไหลเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว หนิงเซ่าชิงไปไหนกันนะ
ยามดึก เงียบสงัดมาก ระหว่างที่กำลังคิดใคร่ครวญอยู่ ก็มีเสียงดังลอยมาจากด้านข้างเบาๆ
ข้างๆ ห้องนอนเป็นห้องหนังสือ ดูเหมือนว่าเสียงนั่นจะดังมาจากห้องนั้น มั่วเชียนเสวี่ยสงบจิตสงบใจลง สวมใส่รองเท้าแตะที่ให้ไฉ่สยาทำให้นางเป็นพิเศษ จากนั้นนางก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ กำแพงนั้น พลางเอาหูแนบชิดติดกำแพง
เสียงที่ไม่คุ้นเคยทว่าหนักแน่นเสียงหนึ่งดังทะลุกำแพงออกมาให้ได้ยิน “เจ้านายขอรับ ท่านยังไหวไหม เดิมทีคิดว่าพิษในร่างกายสามารถระงับได้หนึ่งร้อยวัน นึกไม่ถึงว่าไม่ถึงสองเดือนก็กำเริบเสียแล้วล้วนเป็นเพราะอิ่งซาไร้ประโยชน์”
เสียงต่อมาที่ได้ยินคือเสียงที่คุ้นเคยมากๆ ไพเราะดั่งเสียงเครื่องสาย “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อิ่งซาเจ้าอย่าได้โทษตนเองนักเลย ยังดีที่แม้ว่าพิษในกายข้าจะกำเริบ แต่พิษส่วนใหญ่ก็ถูกขับออกไปตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว ที่กระจายอยู่ในร่างล้วนเป็นส่วนน้อย
“แต่ว่าตอนนี้มันกำเริบบ่อยขึ้น และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้บ่าวใช้พลังทั้งหมดเพื่อยับยั้งพิษให้ท่าน หากครั้งต่อไป ครั้งต่อไป…ไม่รู้ว่าหมอประหลาดจะยังรักษาได้หรือไม่…”
“เมื่อวานนี้หน่วยลับส่งข่าวมาว่าหมอประหลาดได้ไปเอารากยานำพามามาได้ คิดว่าไม่กี่วันก็คงจะมาถึงแล้ว”
“เจ้านายเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง โชคร้ายจะกลายเป็นดีอย่างแน่นอนขอรับ”
“วันนี้หน่วยลับที่คอยอยู่ข้างกายฮูหยินมารายงานว่ามีชายผู้หนึ่งที่อ้างว่าเป็นคู่หมั้นของฮูหยินเข้ามาทำให้นางลำบากใจ พรุ่งนี้เจ้าตามไปดูให้ข้าด้วยว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”
“แต่เจ้านายต้องมีคนคอยดูแลนะขอรับ…”
“ข้ามีอาซานคอยดูแลก็พอแล้ว พิษคงไม่กำเริบเร็วขนาดนั้น พรุ่งนี้เจ้าไปดูเสียว่าคนผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ พูดความจริงหรือไม่ หากคนผู้นั้นต้องการทำร้ายฮูหยิน ก็ฆ่าได้ทันที!”
“รับทราบ…”
พิษของเขากำเริบแล้ว ยังจะคิดถึงนางอีก มั่วเชียนเสวี่ยฟังไปพลางน้ำตาไหลไปพลางอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสองคนก็คุยกันต่ออีกนิดหน่อย พูดบางอย่างที่นางไม่เข้าใจดีนักแต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะไปคิดถึงมัน คนที่ชื่ออิ่งซาผู้นั้น กำลังพยุงหนิงเซ่าชิงเข้ามาพักผ่อนในห้องนอน