ตอนที่ 190 แผนร้ายของหวังหรง
หวังหรงกลับต่างไปจากฟางถิง ที่ดีใจจนดวงตามืดบอดเหมือนกับคนโง่
ถ้าฟางจั๋วหรานจัดลำดับน้องสาวอย่างหล่อนมาก่อนหลินม่าย เมื่อครู่เขาก็คงไม่ลงมือตบหล่อนเพื่อปกป้องหลินม่ายหรอก แล้วตอนนี้เขาจะมาช่วยพูดเพื่อหล่อนได้อย่างไร!
หลินม่ายถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ “งั้นต่อไปฉันต้องทำยังไงล่ะคะ?”
“เอาอย่างผม ตบหน้าเข้าไปสักฉาดใหญ่ สำหรับคนประเภทที่ไม่รู้จักเคารพคนอื่น คุณจะหาเหตุผลกับหล่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ การตบหน้าสักฉาดมีประสิทธิภาพมากกว่าคำพูดมากมายของคุณเสียอีก “
พูดแล้วฟางจั๋วหรานก็ถามย้ำ “จำได้หรือยัง?”
“จำได้แล้วค่ะ” หลินม่ายพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ฟางถิงทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลพราก ชี้ไปที่หลินม่ายแล้วพูดกับฟางจั๋วหรานอย่างคับแค้น “พี่ปฏิบัติกับหล่อนราวกับของล้ำค่า พี่รู้ไหมว่าหล่อนเป็นสินค้าเกรดไหน เหยียบเรือกี่แคม พี่ชอบถูกสวมเขาขนาดนี้เลยเหรอ?”
หวังหรงเห็นหล่อนประกาศข่าวน่าตกใจออกมากะทันหัน ก็มีดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
ในขณะกำลังไตร่ตรองว่าควรจะกระพือไฟอย่างเงียบเชียบอย่างไรดี ก็ได้ยินหลินม่ายพูดขึ้น “ถ้าเธอไม่พูดขึ้นมา ฉันก็ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว”
เธอหันไปฟ้องฟางจั๋วหราน “วันก่อนฉันกำลังแต่งตัวกับหลี่หมิงเฉิงที่ห้างลิ่วตู้เฉียว หล่อนมาด่าประจานว่าฉันยั่วยวนคุณ แล้วยังบอกว่าหลี่หมิงเฉิงเป็นคนรักของฉันด้วย!”
ฟางจั๋วหรานพูดกับฟางถิงด้วยสีหน้าเย็นชา “เธอนี่มันพ่นเป็นแต่เรื่องไร้สาระจริงๆ! ไสหัวไปซะ!”
พูดจบก็ผลักฟางถิงออกไปโดยไม่ยอมให้อธิบาย
จากนั้นก็หันไปมองหวังหรงอย่างเย็นชา “เธอยังไม่ไปอีก? ยังคิดจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเธอกับฉันมีความสัมพันธ์อะไรกันอีกเหรอ?”
หวังหรงอ้าปากพะงาบๆ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะออกไปอย่างห่อเหี่ยว
ฟางจั๋วหรานปิดประตูเสร็จ ก็หันกลับมาพูดกับหลินม่ายอย่างอ่อนโยน “เหมือนผมจะได้ยินว่าคุณอยากกินอาหารมื้อใหญ่นะ ไปกันเถอะ ผมจะพาคุณไปกินมื้อใหญ่เดี๋ยวนี้เลย”
หลินม่ายส่ายหน้า เธอนั่งลงบนโซฟา แล้วพูดด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “เมื่อกี้ผิดใจกับลูกพี่ลูกน้องของคุณไปแล้ว ฉันกลัวว่าต่อไปพ่อแม่ของคุณจะไม่ต้อนรับฉันน่ะ”
ฟางจั๋วหรานหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ พูดอย่างกับว่าถ้าไม่ได้ผิดใจกับพวกหล่อนแล้ว พ่อของเขากับแม่เลี้ยงจะยอมรับสาวน้อยคนนี้อย่างนั้นล่ะ
ตอนที่เขาตัดสินใจจะคบกับสาวน้อยคนนี้ เขาก็ได้เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าชีวิตของเขาเขาจะเป็นคนกำหนดเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญหาที่ว่าพ่อกับแม่เลี้ยงของเขาจะยอมรับเธอหรือไม่
ถึงไม่ยอมรับ เขาเองก็ไม่ฟังพวกเขาอยู่แล้ว
ฟางจั๋วหรานดึงหลินม่ายขึ้นมาจากโซฟา “ความรักก็ดี การแต่งงานก็ดี มันเป็นเรื่องของพวกเราสองคน คนในครอบครัวของผมไม่ต้อนรับคุณก็ไม่ได้มีผลกระทบมากมาย ต่อจากนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่กับพวกเขา อย่างมากก็แค่เจอหน้ากันสักครั้งวันปีใหม่วันเทศกาล พวกเขาไม่ต้อนรับคุณ มันทำให้คุณกลัดกลุ้มขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลินม่ายอยากจะพูดออกไปมาก ว่ามันจะไม่มีผลกระทบได้อย่างไร ต่อให้จะพบกันแค่วันเทศกาลแต่มันก็น่าอึดอัดมากแล้ว
แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดนั้นออกไป ตอนนี้ทั้งสองคนเป็นเป็นเพียงคู่รักกันเท่านั้น จะพูดเรื่องพวกนี้ก็ยังเร็วไปหน่อย
ทั้งสองจูงมือกันออกไปกินอาหารมื้อใหญ่ด้วยกัน โดยมีหวังหรงและฟางถิงยืนมองพวกเขาเดินไกลออกไปอยู่ในซอกมุมของถนน
หวังหรงส่ายหน้า ถอนหายใจเบา “หลินม่ายยัยเด็กบ้านนอกคนนี้เจ้าเล่ห์แผนสูงก็ว่าไปอย่าง ยังมาแสร้งทำเป็นคนดีอีก ตอนที่พี่เขาตบเธอ หล่อนมาขวางไว้ได้แท้ๆ แต่กลับจงใจยืนดูหน้าตาเฉย ถึงเธอจะผิดที่ต่อว่าหล่อน แต่หล่อนคิดจะแต่งเข้าตระกูลฟางของเธอ เข้ามาเป็นพี่สะใภ้ของเธอ มีสะใภ้ที่ไหนมาเหิมเกริมกับน้องสามีบ้าง? แต่หล่อนกลับยืนมองเธอโดนตี ในใจคงจะรู้สึกดีน่าดู ต่อไปถ้าหล่อนได้เป็นพี่สะใภ้ของเธอ เธอคงต้องทำใจแล้วล่ะ” พูดจบก็มองไปยังฟางถิงอย่างเห็นอกเห็นใจ
ฟางถิงที่มีความโกรธคุกรุ่นอยู่แต่เดิม พอได้ยินคำพูดของหวังหรง ก็ยิ่งเกลียดชังหลินม่ายเข้ากระดูกดำ
หล่อนจ้องมองแผ่นหลังของเธอพลางกัดฟันพูด “คืนนี้ถ้านังสารเลวนั่นกล้าพักอยู่ในห้องของพี่จั๋วหราน ฉันก็กล้าไปแจ้งความสถานีตำรวจเหมือนกัน แค่บอกว่ามีคนสำส่อนมั่วผู้ชาย ก็ทำให้คู่ผัวเมียเวรนี่โดนจับติดตารางไปแปดปีสิบปีแล้ว!
หวังหรงราวกับไม่รู้จักหล่อนอย่างนั้น หล่อนมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ก่อนเอ่ยตักเตือนด้วยความปวดใจ “ถิงถิง เธออยากจะฆ่ายัยหลินมายให้ตายฉันก็ไม่ขวาง แต่… เธอจะทำร้ายพี่ใหญ่ได้ยังไงกัน? ถ้าเธอทำอย่างนั้น พี่ใหญ่จะชื่อเสียงป่นปี้ไปเลยนะ!”
หล่อนแค่อยากจะยืมมือฟางถิงไปจัดการหลินม่าย แต่ไม่เคยคิดจะทำให้ฟางจั๋วหรานเดือดร้อนเลย หล่อนยังอยากแต่งงานกับเขาอยู่นะ
ฟางถิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เมื่อกี้ตอนที่เขาตบฉัน เขาได้นึกถึงหรือเปล่าว่าฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา? เขาไม่ได้มองฉันเป็นน้องสาวเลยสักนิด แล้วทำไมฉันต้องห่วงฐานะชื่อเสียงของเขาว่าจะป่นปี้หรือไม่ด้วย?”
หวังหรงเตือนสติ “เกสต์เฮ้าส์ระดับสูงแบบนั้นที่พี่ใหญ่พักอยู่มีการจัดการที่เข้มงวดมาก ไม่มีทางปล่อยให้หลินม่ายอาศัยอยู่ในห้องของพี่ใหญ่หรอก”
“งั้นก็พอดีเลย” ในดวงตาของฟางถิงวาบประกาย “งั้นฉันก็แค่จัดการยัยสารเลวนั่น ทำให้หล่อนป่นปี้ทั้งเกียรติและชื่อเสียงซะ ดูซิว่าพี่ใหญ่จะยังเอาหล่อนอีกไหม!”
“เธอนี่นะ อย่าพูดให้มันฟังดูฮึกเหิมนักเลย พอจะทำขึ้นมาจริงๆ เธอก็มือไม้อ่อนอีก ฉันจะพาเธอไปหาหมอก่อน ดูสิ เพราะหลินม่ายพี่ใหญ่ถึงตบหน้าเธอเสียแดงเถือกแบบนี้ ต้องให้หมอสั่งยาให้สักหน่อยนะน้องสาว เดี๋ยวเลี้ยงของอร่อยเธอสักมื้อ ก็ลืมเรื่องแย่ๆ ไปหมดแล้ว โธ่เอ๊ย! เห็นเธอถูกตีจนเป็นแบบนี้ฉันล่ะปวดใจจริงๆ ทำไมพี่ใหญ่ถึงลงมือหนักได้ขนาดนี้กันนะ?”
หวังหรงดึงฟางถิงเดินมุ่งไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ฟางถิงเชิดคางเรียวเล็กขึ้นพูด “ฉันไม่ได้พูดปากเปล่าหรอกนะ พี่คอยดูให้ดีก็แล้วกัน!”
หวังหรงพูดอย่างขุ่นเคือง “ดูเดออะไรกัน? ฉันกลัวจริงๆ ว่าพี่ใหญ่ของเธอจะมาจัดการเธอเพราะเธอไปทำร้ายหลินม่ายเข้าน่ะ~”
หล่อนเข้าใจฟางถิงอย่างถ่องแท้ ดื้อรั้นงี่เง่า ทั้งโง่เขลาทั้งร้ายกาจ ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ให้หล่อนทำหล่อนก็ยิ่งอยากทำ ดังนั้นหล่อนจึงรู้ว่าจะกระตุ้นฟางถิงอย่างไร
เมื่อเห็นความโกรธแค้นอันฝังลึกในแววตาของฟางถิงแล้ว มุมปากก็อดยกขึ้นมาไม่ได้
อากาศของกว่างโจวแม้จะร้อนอบอ้าว แต่อาหารการกินนั้นก็ไม่เลว
รสชาติอาหารกวางตุ้งค่อนข้างอ่อน กินในหน้าร้อนเข้ากันอย่างดี
ปลาเก๋าแดงนึ่งซีอิ๊วสดใหม่นุ่มลิ้นอร่อยมาก ตุ๋นพะโล้แบบแต้จิ๋วรสชาติหวานกลมกล่อม มีรูปแบบที่โดดเด่น ไก่สับไหหลำเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ หนังบางกระดูกเล็ก กลิ่นหอมเข้มข้น มันแต่ไม่เลี่ยน…
หลินม่ายชอบอาหารทุกจานที่ฟางจั๋วหรานสั่งมา
ฟางจั๋วหรานเห็นเธอกินอย่างมีความสุข เขาเองก็มีความสุขไปด้วย
เมื่อทั้งสองคนกินไปพอสมควรแล้ว ฟางจั๋วหรานก็ล้วงกล่องเครื่องประดับใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางไว้ตรงหน้าหลินม่าย เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ลองเปิดดูสิ ว่าชอบหรือเปล่า”
หลินม่ายเปิดกล่องออกอย่างคล้อยตามเป็นอย่างดี แล้วก็เห็นกำไลข้อมือหินคริสตัลสีชมพูใสแวววาวเส้นหนึ่งวางอยู่ในกล่องเครื่องประดับ
เธอหุบยิ้มด้วยความตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้ “นี่คุณซื้อกำไลข้อมือคริสตัลมาจริงๆ เหรอคะ!”
ฟางจั๋วหรานหยิบกำไลข้อมือคริสตัลเส้นนั้นขึ้นมาสวมให้เธอ “คุณคิดว่าผมแค่พูดแบบขอไปทีงั้นเหรอ! คุณเป็นแฟนของผมนะ บนร่างกายจะไม่มีเครื่องประดับที่ผมซื้อให้เลยได้ยังไง นี่ก็เปรียบเป็นเครื่องยืนยันความเป็นเจ้าของไง”
มือข้างหนึ่งของหลินม่ายท้าวคางเรียวสวย “งั้นฉันจะยืนยันความเป็นเจ้าของกับคุณยังไงดีล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานคิดอยู่สองสามวินาที “เอารูปของคุณไว้ในกระเป๋าของผมสักใบสิ”
หลินม่ายแบมือ “ฉันไม่มีรูปถ่ายค่ะ”
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเธอไม่เคยถ่ายรูปเล่นมาก่อนเลย มีแค่รูปถ่ายสำหรับลงทะเบียนไม่กี่ใบและทั้งหมดก็อยู่ที่บ้านตระกูลหลิน
เธอไม่สามารถกลับไปเอารูปถ่ายพวกนั้นที่บ้านตระกูลหลินได้
“ไม่เป็นไร กินข้าวเสร็จผมจะพาคุณไปถ่ายรูป”
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งสองก็ไปที่ร้านถ่ายรูป ตามที่พูดกันไว้ว่าจะแค่ถ่ายรูปเดี่ยวให้หลินม่ายสักใบ สุดท้ายก็ได้ถ่ายรูปเดี่ยวให้เธอไปหลายรูป แน่นอนว่ารูปคู่เองก็ไม่น้อยเช่นกัน
รูปถ่ายต้องรออีกสองสามวันถึงจะล้างเสร็จ ฟางจั๋วหรานจ่ายค่าไปรษณียากรเสร็จแล้ว ก็ให้ร้านถ่ายรูปส่งไปตามที่อยู่ของเขาหลังจากที่ล้างเสร็จแล้ว
เพราะที่เกตส์เฮาส์ไม่สามารถให้คนนอกพักอาศัยอยู่ได้ตามใจ ฟางจั๋วหรานจึงจองห้องพักที่ดีที่สุดห้องหนึ่งของโรงแรมขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเกตส์เฮาส์ให้กับหลินม่าย
งานแลกเปลี่ยนทางวิชาการและการสัมมนาเป็นเวลาสามวันของเขาสิ้นสุดลงแล้ว พรุ่งนี้เขาจะมารับหลินม่ายไปซื้อสินค้าที่ตลาดเสื้อผ้าค้าส่งแต่เช้าตรู่แล้วกลับบ้านด้วยกัน
ที่เกสต์เฮาส์ค่อนข้างปลอดภัย หลินม่ายจึงฝากเงินที่ใช้ซื้อสินค้าเอาไว้ที่ฟางจั๋วหราน ให้เขาช่วยเก็บเอาไว้ให้
ฟางจั๋วหรานเฝ้าจนเธออาบน้ำเสร็จจึงจากไป
หลินม่ายล็อคกลอนประตูจากข้างใน คืนนี้ใครมาเคาะประตูเธอก็จะไม่เปิดทั้งนั้น
หลินม่ายใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนเตียง อ่านนิตยสารฆ่าเวลา
และเวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงสามทุ่มอย่างรวดเร็ว หลินม่ายแปรงฟันเสร็จ ก็ขึ้นเตียงเข้านอน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
วิธีที่จะทำให้ยัยสองคนนี้มันไม่มาตอแยม่ายจื่อก็คือต้องให้พวกหล่อนแตกคอแล้วกัดกันเองค่ะ ดูทรงแล้ว
คราวนี้ให้สร้อยคริสตัลอีกแล้ว พี่หมอคลั่งรักมากเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)