“ไม่เลยเจ้าค่ะ!” ตงชิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้บ่าวสามารถกินๆ นอนๆ เวลาว่างก็มานั่งเย็บปักถักร้อยฆ่าเวลา ใช้ชีวิตเหมือนคุณหนู จะรู้สึกเบื่อได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ!” จากนั้นนางก็ยิ้มพลางไปเปิดลิ้นชักบนเตียงเตา นำห่อผ้าห่อหนึ่งออกมา “บ่าวทำกระโปรงผ้าไหมจับจีบให้ฮูหยินสองชุด ท่านลองดูว่าชอบหรือไม่” พูดจบนางก็เปิดห่อผ้าออก เผยให้เห็นผ้าดิ้นสีแดงกุหลาบและสีแดงสด
“ทำให้ข้าอีกแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มพลางคลี่กระโปรงออกมาดู
ผืนสีแดงกุหลาบปักลายไผ่สีฟ้าเข้ม ผืนสีแดงสดปักลายดอกเหมยสีเขียว
“สวยทั้งหมดเลย” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าชอบสีแดงกุหลาบมากกว่า”
ตงชิงยิ้มพร้อมกับค่อยๆ พับเก็บ “ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว ชอบสีที่สดและฉูดฉาดมากกว่า บางครั้งท่านควรจะหาโอกาสดีๆ บ้างถึงจะถูก” คำพูดคำจาราวกับเป็นพี่สาวอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าของสืออีเหนียงปรากฏรอยยิ้มขึ้น หวนนึกถึงก่อนหน้านี้ นางมักจะคอยเตือนคอยบ่นตนอยู่เสมอ สืออีเหนียงหันไปมองลี่ว์อวิ๋น ส่งสายตาให้พวกนางถอยออกไปก่อน จากนั้นก็พูดคุยเรื่องส่วนตัวกับตงชิง
“ลองนับดูแล้ว น้องหญิงคนเล็กสุดของเจ้าก็คงใกล้จะแต่งงานออกเรือนแล้วกระมัง”
นายท่านใหญ่กลับอวี๋หังเมื่อคราวที่แล้ว ป้าเจียงบ่าวรับใช้คนสนิทของนายหญิงใหญ่ ก็ได้ติดตามไปด้วย หู่พั่ว ตงชิง และคนอื่นๆ จึงฝากจดหมายป้าเจียงกลับไปด้วย ป้าเจียงยังได้เอาน้ำจิ้มถั่วเหลืองที่มารดาของตงชิงทำเองมาด้วย ตอนนั้นสืออีเหนียงนำไปคลุกข้าวทาน ทานไปตั้งสองถ้วยพูน แม้แต่สวีลิ่งอี๋เองก็ยังชมว่าอร่อย ตอนแรกตั้งใจจะมอบให้คนอื่น สุดท้ายก็ตัดสินใจเก็บไว้ทานเอง
ตงชิงพยักหน้าเบาๆ “แต่งงานกับคนดีคนหนึ่ง” ตอนที่ป้าเจียงกลับมาแล้วก็ได้เล่าเหตุการณ์ให้นางฟัง “น้องเขยเป็นบุตรชายคนเดียว ที่บ้านมีที่ดินราวห้าสิบหมู่ ครอบครัวเปิดร้านสกัดน้ำมันเจ้าค่ะ” พูดจบก็ยิ้มขึ้น “จะว่าไปแล้ว ก็เพราะได้บารมีของฮูหยิน…เดิมทีก่อนหน้านี้ฝั่งนั้นออกจะรังเกียจครอบครัวของบ่าวเสียด้วยซ้ำ ต่อมาก็ได้รู้ว่าบ่าวเป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยิน สุดท้ายจึงได้ตอบตกลงงานแต่งนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ขอเพียงแค่ไม่ได้นำไปใช้ในทางที่ผิด บารมีและชื่อเสียงนี้นางก็ยินดีที่จะให้ผู้อื่นหยิบยืมไปใช้
“เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียว ปีใหม่ที่จะถึงนี้เจ้าก็จะอายุครบยี่สิบปีแล้ว”
ตงชิงได้ยินแล้วดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา นางค่อยๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อย ลูบปลอกนิ้วทองแดงในมือเบาๆ
“เรื่องของเจ้าข้าเก็บไว้ในใจเสมอ” สืออีเหนียงเห็นท่าทีของนางแล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “เจ้าว่า ว่านต้าเสี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง”
“ฮูหยินพูดอะไรกัน…บ่าวไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็ก้มหน้าลงต่อ
สืออีเหนียงรู้สึกว่าสีหน้าท่าทีของตงชิงค่อนข้างแปลก ไม่เขินอายเหมือนคนที่ได้ยินคนอื่นพูดถึงเรื่องแต่งงานของตน กลับดูหวาดกลัวและตกใจเสียมากกว่า
สืออีเหนียงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเคยให้ตงชิงไปที่ตรอกจินอวี๋โดยเฉพาะ ก็เพื่ออยากให้นางไปเห็นว่านต้าเสี่ยนด้วยตาตัวเอง หรือว่าตนนั้นมองคนผิดไป ว่านต้าเสี่ยนไม่ดีตรงไหนอย่างนั้นหรือ
“ข้ารู้สึกว่าลักษณะหน้าตาของเขาไม่เลวทีเดียว อายุของพวกเจ้าทั้งสองก็ไล่เลี่ยกัน” สืออีเหนียงพูดพลางสังเกตสีหน้าของตงชิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน “เพียงแต่ไม่ได้มีสมบัติมากมายเท่าไรนัก แต่บุรุษที่ดีจะไม่แบ่งสมบัติเก่าของบิดามารดา และสตรีที่ดีจะไม่เรียกร้องสินสอดทองหมั้นและยังคงสวมเสื้อผ้าที่เป็นสินเดิม ข้าตั้งใจย้ายเขามาที่ห้องบัญชีโดยเฉพาะ ตามอุปนิสัยของเขา ไม่เกินสามถึงห้าปีก็สามารถทำเองด้วยตัวคนเดียวได้หมดแล้ว ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่วาสนาดีได้แต่งงานกับเขากันนะ…”
สีหน้าของตงชิงสับสนวุ่นวายไม่ค่อยมั่นคงเท่าไรนัก…
ตอนนี้สืออีเหนียงมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าตงชิงนั้นไม่มีความดีใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “ตอนที่ข้าป่วย มีแค่เจ้ากับปินจวี๋ที่คอยดูแลข้าอย่างสุดความสามารถ ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่เหมือนคนอื่นเขา หากเจ้ามีเรื่องในใจ ก็บอกกับข้ามาตรงๆ ก็ได้ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับเจ้าเสมอ…”
ตงชิงเริ่มมีสีหน้าเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
หรือว่า นางชอบใครไปแล้ว…
ในใจของสืออีเหนียงสั่นไหวเล็กน้อย นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “หากเจ้าไม่สะดวกใจจะบอกข้า ก็ไปบอกกับหู่พั่วหรือปินจวี๋ก็ได้”
ตงชิงไม่ได้พูดอะไรออกมา นางค่อยๆ หันหน้าไปด้านข้าง ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม
สืออีเหนียงเพียงแค่รู้สึกเสียดาย
เพราะนางรู้สึกว่าว่านต้าเสี่ยนถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสืออีเหนียงก็ลุกขึ้นกลับไปยังเรือนของตน สืออีเหนียงก็ได้เรียกหู่พั่วมา “ไปคุยกับตงชิงหน่อย ไปฟังว่านางมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
หู่พั่วยิ้มพร้อมกับรินชาให้สืออีเหนียง “วกไปวนมา พวกบ่าวก็หมุนอยู่ในวงแคบๆ เท่านั้น จะไปสู้สายตาของฮูหยินได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าจะต้องฟังฮูหยินอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“จะพูดแบบนี้ไม่ได้” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หากทุกอย่างสามารถใช้แค่เงื่อนไขได้ ใต้หล้านี้ก็จะไม่มีชายหญิงที่ไม่สมหวังในรักมากมายถึงเพียงนี้ เข้าหวังเสมอว่าพวกเจ้าจะสามารถเลือกได้อย่างใจหวัง มีชีวิตที่ดี” ทำเอาหู่พั่วดวงตาแดงก่ำขึ้นมา
“ค่ำๆ หน่อยบ่าวจะไปพูดคุยกับพี่ตงชิง อายุของนางรอต่อไปไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้น คำครหานินทาต่างๆ ในจวนก็จะเพิ่มพูนมากขึ้น”
“คำครหานินทา?” สืออีเหนียงรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
หู่พั่วพูดขึ้นอย่างอ้ำอึ้งว่า “ก็ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ! เพียงแต่ถามว่าพี่ตงชิงกับพี่ปินจวี๋อายุก็ไม่น้อยแล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีคู่ครองเสียที บ่าวเพียงแต่ตอบไปว่ายังไม่เจอคนที่เหมาะควรเจ้าค่ะ”
“มีคนมาถามเจ้า?”
หู่พั่วพยักหน้าเบาๆ “ป้าสือ บ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินห้าเจ้าค่ะ”
“ก็ยังไม่เจอคนที่เหมาะจริงๆ” สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าเอาแต่รู้สึกว่าใครก็ไม่คู่ควรกับพวกเจ้า”
“อะไรคู่ควรไม่คู่ควรกัน” จู่ๆ ก็มีเสียงของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
หู่พั่วรีบช่วยประคองฮูหยินลงจากเตียงเตา สวีลิ่งอี๋หันไปมองม่านเตียงที่ถูกเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นม่านผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดสีเหลืองแก่ “เปลี่ยนเสร็จเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”
สืออีเหนียงและหู่พั่วย่อตัวทำความเคารพสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็หลีกทางให้เขาเข้าไปนั่งที่เตียงเตา แล้วจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านโหวสั่งไว้แล้ว พวกเราจะกล้าชักช้าได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ” จากนั้นก็หันไปรับถ้วยน้ำชาจากสาวใช้ส่งมอบให้สวีลิ่งอี๋ด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋ยังคงพูดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ “กำลังคุยอะไรกันอยู่”
หู่พั่วก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอาย จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไป
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “กำลังพูดถึงเรื่องตงชิงกับปินจวี๋เจ้าค่ะ ทั้งคู่อายุไม่น้อยแล้ว ก็เลยอยากจะหาคู่ครองให้ แต่ก็ยังไม่เจอคนที่คู่ควร”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ไปบอกกับพ่อบ้านไป๋สักคำก็สิ้นเรื่องแล้วนี่นา ในเรือนน่าจะมีคนที่อายุไล่เลี่ยกับพวกนาง คนที่นิสัยใจคอดีรวมไปถึงมีพฤติกรรมที่เหมาะสม”
หากเรื่องแต่งงานง่ายดายถึงเพียงนี้ก็คงจะดีไม่น้อยกระมัง!
สืออีเหนียงเองไม่อยากที่จะยื่นมือไปยุ่มย่ามเรื่องนี้ จู่ๆ ก็ไปจับคนสองคนมาแต่งงานอย่างง่ายดาย นางจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย “นานๆ ครั้งที่ท่านโหวจะมาเช้าขนาดนี้ ถือโอกาสนี้เรียกจุนเกอกับเจินเจี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ มาด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ จะได้ไปหาท่านแม่เร็วกว่าเดิมหน่อย”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่ง “ก็ดี ไปเร็วกว่าเดิมหน่อย ถือโอกาสนี้พูดเรื่องเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปที่เขาซีซานกับท่านแม่ด้วย”
สืออีเหนียงจึงฝากให้สาวใช้ไปบอกเรื่องนี้กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็นั่งคุยเรื่องชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปกับสวีลิ่งอี๋ต่อ เมื่อสวีซื่ออวี้และเจินเจี่ยเอ๋อร์มาถึงแล้ว ทุกคนจึงพากันไปหาไท่ฮูหยินพร้อมๆ กัน
ไท่ฮูหยินเห็นว่าวันนี้ทุกคนมาค่อนข้างเร็ว จึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก รอให้จุนเกอคารวะสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเรียบร้อยแล้ว ก็รีบดึงพวกเขามาคุย “…สวีลิ่งควนขนประทัดชุดใหญ่มาสองสามชุด ใหญ่ขนาดนี้เห็นจะได้” ไท่ฮูหยินยกมือขึ้นมาบอกขนาดความใหญ่ของประทัด “เอาไว้จุดที่ศาลบรรพชนตอนเซ่นไหว้บรรพชนวันส่งท้ายปีเก่า…”
สืออีเหนียงนึกในใจ อีกประเดี๋ยวสวีลิ่งอี๋จะพูดเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์กับไท่ฮูหยิน ตนอยู่ตรงนี้ด้วย แม่ลูกคุยกันคงจะไม่สะดวกเท่าไรนัก จึงหันไปส่งสายตาให้กับสวีซื่ออวี้และเจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็หาโอกาสเข้าไปจูงมือของจุนเกอ “ท่านแม่ ข้าพาจุนเกอไปเดาะลูกขนไก่ที่ห้องโถงนะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ไปเถิด ไปเถิด!” มองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่อ่อนโยนและรักใคร่เอ็นดู
แน่นอนว่าสวีซื่ออวี้และเจินเจี่ยเอ๋อร์จะต้องตามไปด้วย สืออีเหนียงจึงได้พาเด็กๆ ทั้งสามออกจากประตูไป
“สายสัมพันธ์ทางเลือดแน่นแฟ้นเสมอ” ไท่ฮูหยินมองไปยังม่านที่กำลังสั่นไหวเล็กน้อย นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จุนเกอออกจะกลัวคนแปลกหน้าขนาดนั้น นี่ยังไม่ทันพ้นเดือนที่สาม เดือนที่สี่ ก็สนิทสนมกับสืออีเหนียงขนาดนี้แล้ว”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ชะงักไป
ตนนั้นก็ไม่ได้เป็นคนที่จะให้คนอื่นเข้ามาสนิทสนมได้โดยง่าย แต่ทว่าเพิ่งจะสามสี่เดือน กลับรู้สึกเหมือนว่าตนนั้นเคยชินกับการที่มีสืออีเหนียงอยู่ข้างๆ ไปเสียแล้ว…อีกทั้งยังชอบแกล้งชอบหยอกล้อนางโดยที่ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็ตอบกลับอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติว่า “ขอรับ”
ไท่ฮูหยินจ้องมองไปยังสวีลิ่งอี๋ที่จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นก็หันไปมองผ้าม่านที่นิ่งสงบ หัวเราะออกมาเบาๆ
*****
สืออีเหนียงพาเด็กๆ ทั้งสามไปยังห้องโถง จากนั้นก็ยืนดูจุนเกอเดาะลูกขนไก่อยู่ข้างๆ
จุนเกอดีใจเป็นอย่างมาก เปลี่ยนท่าเดาะลูกขนไก่ไม่ซ้ำ
เรียกตนออกมาเพื่อจะให้ดูจุนเกอเดาะลูกขนไก่?
สวีซื่ออวี้ฉงนสงสัย
ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์นั้นค่อนข้างเป็นกังวลใจ
ไม่รู้ว่าท่านพ่อของตนจะคุยเรื่องนี้กับท่านย่าอย่างไร หากท่านย่ารู้ว่าแม่เลี้ยงเป็นคนช่วยตนพูดเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะกล่าวโทษแม่เลี้ยงอย่างไรบ้าง ตอนแรกเพราะเห็นว่าในบ้านครึกครื้นเป็นอย่างมาก จึงเอาแต่เป็นห่วงท่านป้าสะใภ้รอง แต่กลับไม่นึกถึงสถานการณ์และจุดยืนของแม่เลี้ยงเลย…รอยยิ้มของเจินเจี่ยเอ๋อร์จึงค่อยๆ เจื่อนลง
จุนเกอค่อยๆ รับรู้ถึงความไม่ปกติของพี่ชายและพี่สาวของตน จึงหยุดเดาะลูกขนไก่ลง สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง เอียงคอถามด้วยความแปลกใจว่า “พวกท่านเป็นอะไรไป ข้าเดาะไม่ดีหรืออย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินจุนเกอถามพวกเขา สีหน้าของทั้งสองยังคงหลงเหลือความงุนงงเล็กน้อย
สืออีเหนียงรีบเข้าไปลูบหัวจุนเกอเบาๆ พร้อมกับปลอบโยนเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่เสียหน่อย เพราะพวกเขาเห็นว่าเจ้าเดาะได้ดีเกินไปต่างหาก ก็เลยค่อนข้างแปลกใจ”
“จริงหรือขอรับ” ใบหน้าของจุนเกอก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที
“จริงสิ!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับจูงมือของจุนเกอ “เดาะนานขนาดนี้แล้ว เจ้าเหนื่อยบ้างหรือไม่ เราไปพักผ่อนที่ห้องปีกทิศตะวันออกดีหรือไม่ ประเดี๋ยวค่อยมาเดาะต่อ”
“ข้าไม่เหนื่อย” จุนเกอพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังอยากจะเดาะต่อขอรับ” สีหน้าท่าทางดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงมองไปยังใบหน้าที่แดงระเรื่อของเขา เมื่อเห็นว่าหน้าผากยังไม่มีเหงื่อซึม จึงรู้ว่าเขายังไม่เหนื่อยจริงๆ เลยคลายมือออก ขยับไปยืนดูเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ แทน
จุนเกอรีบพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเดาะลูกขนไก่อีกครั้ง
จู่ๆ ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น
ทุกคนพากันหันไปมองตามต้นเสียงด้วยความแปลกใจ ก็เห็นคุณชายห้าสวีลิ่งควนที่พาคุณชายน้อยสามสวีซื่อเจี่ยนยืนปรบมืออยู่ข้างม่านประตู
“จุนเกอ ดูไม่ออกเลยว่าฝีมือการเดาะลูกขนไก่ของเจ้าจะดีขนาดนี้!” คุณชายห้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ แค่ฟังก็รับรู้ได้ว่าเป็นคำพูดที่มาจากใจจริงๆ
จุนเกอยิ้มพร้อมกับรีบวิ่งตรงไปหาคุณชายห้าทันที “ท่านอาห้า ท่านอาห้า เตรียมประทัดใหญ่เสร็จแล้วหรือขอรับ”
คุณชายห้าอุ้มจุนเกอขึ้นมา บีบจมูกของจุนเกอเบาๆ จากนั้นก็วางจุนเกอลงแล้วจึงหันไปคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงย่อตัวทำความเคารพกลับ กล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายห้าวันนี้ไปซื้อประทัดหรือ”
คุณชายห้าตอบกลับอย่างสุภาพ “ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจะนำประทัดทั้งหมดไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของกับเจี่ยนเกอ เพราะกลัวว่าพวกบ่าวรับใช้จะไม่ระวังไปจุดโดนเข้า แล้วจะเกิดเป็นเรื่องขึ้น”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ตนออกมาด้านนอก “ท่านโหวและท่านแม่กำลังคุยกันอยู่ในห้องชั้นใน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายห้าก็ไม่สะดวกจะเข้าไป จึงพากันยืนอยู่กับสืออีเหนียงคนละทิศคนละทาง สวีซื่ออวี้และเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้เข้าไปทำความเคารพสวีลิ่งควน จากนั้นเจี่ยนเกอก็เข้าไปคารวะสืออีเหนียง แล้วก็หันไปดึงแขนสวีซื่ออวี้พร้อมกับถามขึ้นว่า “พี่สอง ท่านเห็นพี่ใหญ่ของข้าบ้างหรือไม่ วันนี้ข้าออกจากบ้านไปจัดซื้อประทัดกับท่านอาห้าแต่เช้า กลับมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา แม้แต่บ่าวรับใช้คนสนิทของพี่ใหญ่ก็หายไปด้วย ท่านแม่และชิวหลิงก็ไม่อยู่ในเรือน พอถามคนอื่นๆ ก็เอาแต่ตอบว่าไม่รู้…”
สวีซื่ออวี้เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยสีหน้าหยอกล้อ “อ๋อ ตอนบ่ายจวนจงฉินปั๋วมาส่งมอบของขวัญ ท่านป้าบ่าวรับใช้เข้ามาน้อมทักทายท่านย่า พูดถึงเรื่องคุณหนูของพวกนาง ว่าหลายวันมานี้คุณหนูใหญ่ของพวกเขาเอาแต่กราบไหว้แต่พระแม่ฝีดาษ ท่านป้าสะใภ้สามจึงรู้สึกเป็นห่วง ก็เลยพาพี่ใหญ่กลับบ้านสกุลเดิม ไม่รู้ว่าจะอยู่ทานมื้อค่ำที่จวนจงฉินปั๋วหรือไม่!”