“นังคนชั้นต่ำ” ทันทีที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับมาถึงห้อง นางก็กวาดของทุกอย่างบนโต๊ะไม้ลงกับพื้น
สาวใช้ที่คุกเข่าลงบนพื้นไม่กล้าแม้แต่ลุกขึ้นยืน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์บีบนิ้วมือของตนเอง ขณะที่ปลายเล็บอันแหลมคมของนางจิกผ้าเช็ดหน้าในมือของตนเองแน่น ภายในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน “ตามธรรมเนียมของสำนักไท่ไป๋ ในทุกปี จะมีการคัดเลือกตัวแทนสองคนให้ไปจุดธูปหอมและอธิษฐานขอพรที่วัดหลิงอิ่นร่วมกับอดีตฮ่องเต้ เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ ให้นางคิดหาวิธีที่จะออกเดินทางไปกับผู้ติดตามของอดีตฮ่องเต้ ข้าอยากจะเห็นนักว่าหากท่านแม่อยู่ด้วย แล้วนังคนชั้นต่ำนั่นจะยังแผลงฤทธิ์อย่างนี้ได้อีกหรือไม่”
สาวใช้คนนั้นก้มศีรษะลงทันที และรีบตอบกลับว่า ‘เจ้าค่ะ’ ก่อนจะถอยออกไป
ภายในแววตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เผยให้เห็นความอาฆาตแค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับมียาพิษอาบอยู่ในดวงตาคู่นั้น และดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดพายุที่น่ากลัวขึ้น
ก่อนที่องค์ชายสามจะตัดสินใจเลือกพระชายา นางจะต้องกำจัดนังแพศยาคนนั้นออกไปก่อน เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทรู้ถึงความสามารถด้านอาวุธของนาง
ในตอนกลางคืน
ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านการค้าที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม
ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่เพื่อฉลองชัยชนะในวันนี้
เดิมที เฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจจะดื่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากนางยอมรับกลุ่ม ‘น้องชาย’ เหล่านั้น ทุกคนก็เข้ามาดื่มเหล้าให้กับนางเพื่อแสดงความนับถือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนที่จะยึดติดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงยุคสมัยใหม่ ทุกครั้งหลังจากที่นางและเหล่า ‘พี่น้อง’ ของนางทำภารกิจเสร็จสิ้น พวกเขาก็มักจะหาร้านตามท้องถนนในเยอรมนี เพื่อดื่มฉลองกันทั้งคืน
ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงมีความสามารถในการดื่มเครื่องดื่มมึนเมาได้ดีทีเดียว
แต่นางประเมินความแรงของเหล้าขาวในยุคโบราณผิดไป…
“ลูกพี่ มาๆ ข้าจะดื่มกับท่านอีกหนึ่งจอก!” เด็กหนุ่มที่พูดอย่างห้าวหาญยกถ้วยขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างนั้นยกขึ้นเกาหลังศีรษะของตนเอง “เมื่อก่อน ข้าเข้าใจลูกพี่ผิดไป ลูกพี่ผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ได้โปรดมองข้ามความผิดพลาดครั้งก่อนของข้าด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอามือที่ประคองหน้าผากของตนเองออก ไม่มีร่องรอยของความมึนเมาบนใบหน้าที่มีรอยยิ้มอันอ่อนโยนของนาง ขณะเดียวกัน นางก็ยกจอกเหล้าขึ้นมาชนกับเด็กหนุ่ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นดื่มเหล้าชั้นดีที่เหลืออยู่
ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็เป็นวันดี ดังนั้น ก็ควรดื่มสังสรรค์ให้เต็มที่ดีกว่า
ตั้งแต่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมาอยู่ในโลกยุคนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าเลือดลมกลับมาสูบฉีดเหมือนกับในยุคสมัยใหม่อีกครั้ง
อันที่จริงแล้ว ตอนที่นางมายังจักรวรรดิจ้านหลง นางไม่ได้ต้องการที่จะทำตัวเฉยเมยเช่นนี้ แต่ในยุคสมัยใหม่ นางไม่ได้รับความรัก และไม่คาดหวังว่าจะได้รับมันในยุคโบราณนี้ด้วยเช่นกัน
เป็นเพราะเหตุนี้เอง ความทรงจำและความรู้สึกต่างๆ ที่ตราตรึงอยู่ในร่างกายนี้ จึงทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
ท่านตา ท่านแม่… หากไม่ใช่เพราะไอ้คนพวกนั้น นางก็คงจะได้รับความรักที่นางปรารถนา
แม้ว่านางจะไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวจริง แต่นางก็มีประสบการณ์เช่นเดียวกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
ในยุคสมัยใหม่ พ่อของเธอก็เป็นเหมือนท่านพ่อเลวๆ คนนี้เช่นกัน เขามักจะหลอกใช้ประโยชน์จากผู้หญิงเพื่อปีนขึ้นไปหาอำนาจ และหลังจากปีนขึ้นไปอยู่บนยอดเขาแล้ว เขาก็จะขับไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไป
แต่แม่ของเธอไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น
หลังจากที่แม่รู้ว่าพ่อทรยศหักหลังตนเอง แม่ก็เป็นโรคซึมเศร้า ในทุกๆ วัน แม่จะใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ทรมาน
ในตอนที่พ่อพาผู้หญิงอีกคนที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบสิบปีเข้ามาในบ้าน เธอยังเด็กอยู่ และทำได้เพียงแค่มองดูโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เธอรู้ว่าความรู้สึกนั้นมันเจ็บปวดทรมานมาก และแม่ก็กลัวว่าภาวะซึมเศร้าของตนเองจะทำร้ายเธอ จึงขังตัวเองอยู่ในห้อง
ทุกวัน เธอจะยืนอยู่ใต้ราวบันไดชั้นสอง และเขย่งเท้าด้วยความหวังว่าจะได้เจอแม่ แต่เธอกลับถูกผู้หญิงคนนั้นกระชากตัวไปตบหน้าสองสามครั้งอย่างฉุนเฉียว
ผู้หญิงคนนั้นวิ่งไปหาพ่อของเธอ แล้วบอกว่าเธอกับแม่ของเธอมีปัญหาทางจิต
พ่อของเธอไม่แยกแยะว่าอะไรถูกหรือผิด เขาส่งตัวเธอไปอยู่โรงเรียนประจำทันที นอกจากส่งค่าใช้จ่ายในชีวิตด้วยจำนวนเงินที่น่าเวทนาแล้ว เขาก็ไม่เคยให้อะไรเธออีกเลย
ในตอนนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้เรียนรู้ว่าความเกลียดชังนั้นเป็นเช่นไร
เธอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเล่าเรียน เพื่อหวังว่าจะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง
เธอจำได้ชัดเจนว่าในตอนที่อยู่ชั้นประถม เพื่อนร่วมชั้นของเธอคนหนึ่งได้จัดค่ายฤดูร้อนขึ้น และมีเพียงเธอเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้ มันคือโรงเรียนชั้นประถมที่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ และสภาพไม่ค่อยดีนัก มีเพียงพัดลมไฟฟ้าตัวเก่าที่กำลังหมุนอยู่เหนือศีรษะของเธอตัวเดียวเท่านั้น
แต่เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณช่วงเวลานั้น
เพราะเธอได้พบกับคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอได้
เขาคือทายาทสกุลถัง ถังเส่านั่นเอง
ถังเส่าก็มีอาการของโรคซึมเศร้าเช่นกัน แบบที่มองแค่ปราดเดียวก็รับรู้ได้ถึงอาการของเขาในทันที
เขาไม่เคยคุยกับใครเลย แต่จริงๆ แล้ว เขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งเลยทีเดียว
ใครจะรู้ว่าเด็กอายุแปดขวบคนนี้จะสามารถเจาะระบบคอมพิวเตอร์ได้อย่างไม่คาดคิดจนประเทศสหรัฐอเมริการู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก
เด็กคนนี้มีเชื้อสายจีนอย่างแท้จริง
ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะค้นพบเส้นทางของตนเองในชั่วพริบตา เธอเองก็ต้องการกลายเป็นคนแบบนั้นด้วยเช่นกัน เพราะมีเพียงต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะช่วยปกป้องตัวเธอเอง และคนที่เธออยากจะปกป้องได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยในวัยเด็กตัดสินใจที่จะติดตามถังเส่าไปที่บ้านเกิดของเขา และได้พบกับคุณพ่อถัง ก่อนจะขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกของตระกูลถังอย่างไม่หวาดกลัว
เดิมที คุณพ่อถังยังคงลังเล เพราะสถานะของเธอนั้นค่อนข้างพิเศษ
แต่ถังเส่ากลับพูดมาคำหนึ่ง โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย “ได้”
ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ได้กลายเป็นสายลับคนที่สิบแปดที่ทำงานร่วมกับพวกเขา และในบรรดาคนเก่งทั้งหมด เธอก็เป็นไพ่ตายที่ไม่เคยพลาดเลย
เมื่อเธอโตขึ้น สิ่งแรกที่เธอทำก็คือเอาหุ้นทั้งหมดของบริษัทพ่อมา ก่อนจะกลับบ้านไปรับแม่
แต่โชคร้ายที่ไม่มีใครอยู่รอเธอมาตั้งแต่แปดปีก่อนแล้ว
แม่ของเธอจากไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะพ่อที่ทรยศหักหลังและเมียน้อยที่มีหัวใจงูพิษคนนั้น
พวกเขากลัวการประณามจากสังคม จึงปล่อยร่างของแม่เธอเอาไว้ในบ้าน และยังส่งตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยออกไปอยู่ที่อื่นอีกด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม นางจึงเกลียดท่านพ่อสารเลวคนนี้และฮูหยินซูยิ่งกว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคนเดิมเสียอีก
เมื่อนางหวนนึกถึงความทรงจำในอดีตของตนเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกสะลึมสะลือ อาจเป็นเพราะนางดื่มเหล้ามากเกินไป จึงทำให้ความคิดที่เคยถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี ผุดออกมาทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยแทบไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ปัดผมออกจากบนหน้าผากของนาง นางขมวดคิ้วและเอนศีรษะไปทางอื่น
มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นข้างหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะลืมตาขึ้น แต่ด้วยความมึนเมา ดวงตาของนางจึงถูกดึงรั้งเอาไว้
ในที่สุด ก็มีคนเข้ามาประคองนาง กลิ่นสะระแหน่ที่ผสมกับกลิ่นไม้จันทน์นั้นราวกับสะกดให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์
นางเอนศีรษะไปซบลงบนหน้าอกของใครคนนั้น
ขณะนั้นเอง เมื่อคนที่กำลังจะขอดื่มกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปช่วยประคองนาง แต่ถูกสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตรึงร่างเอาไว้ให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
สายตานั้นเย็นชาอย่างมาก ราวกับว่าหากเขาบังอาจไปแตะต้องตัวลูกพี่ ผู้ชายคนนี้ก็พร้อมจะปลิดชีพเขาเลยก็เป็นได้
“ข้าจะไปส่งนางเอง” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเรียบเฉย และไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย
แต่น่าแปลกที่คนอื่นๆ กลับไม่กล้าปฏิเสธเขาเลย
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การดื่มฉลองชัยชนะของพวกเขา
พวกเขาต้องการจะรินเหล้าเพื่อดื่มให้กับผู้ชายคนนี้ แต่ทุกครั้งที่จอกเหล้ากำลังจะไปอยู่ตรงหน้าของเขา พวกเขาก็อดที่จะรู้สึกใจสั่นไม่ได้ จึงหมุนตัวอย่างรวดเร็ว และยื่นจอกให้กับลูกพี่ของพวกเขาแทน
มันช่างแปลกมากจริงๆ ผู้ชายคนนี้สง่างาม และดูมั่นใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เขาเพียงแค่เผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มออกมาเท่านั้น และไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
แต่พวกเขากลับรู้สึกชาวาบที่หนังศีรษะของตนเอง อย่าถามพวกเขาเลยว่าเป็นเพราะอะไร