เงียบกริบ!
เงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ราวกับว่าลมหายใจของทุกคนหยุดชะงัก และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ปรากฏว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ประจบประแจงท่านปรมาจารย์เพื่อให้ได้เป็นศิษย์ของเขา แต่นางเรียนรู้เรื่องอาวุธมานานแล้วต่างหาก
และท่านปรมาจารย์ต้องรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว จึงยอมรับนางเข้าเป็นศิษย์คนแรกอย่างเป็นทางการเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้เรื่องที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไปเข้าร่วมการแข่งขันที่หอเฟิ่งหวงด้วยเช่นกัน สิ่งที่นางไม่รู้คือ นางเคยพบกับนังแพศยาคนนี้บนถนน แต่นางกลับไม่คิดเลยว่าคนที่ทำให้อาจาย์ตู๋เทียนต้องพลิกแผ่นดินทั่วทั้งเมืองหลวงเพื่อตามหา จะเป็นนางคนนี้
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดง นางกำนิ้วมือแน่น บ้าจริง
นังแพศยาคนนี้กลายเป็นคนที่จัดการได้ยากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ทำไมนางถึงไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว
อาจารย์ตู๋เทียนไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ดวงตาของเขาเป็นประกาย พร้อมกับรอคำตอบจากเฮ่อเหลียนเวยเวย “ว่าอย่างไรเล่า นังหนู”
“รอจนกว่าการแข่งขันจะจบลงอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” ตู๋เทียนกำลังมองเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมองไปที่เงินกองโตที่เป็นประกายแวววาว “คนจากหอสามัญนั้นยากจน รอจนกว่าพวกเราจะได้รับเงินก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
ยากจนหรือ หลังจากได้ยินคำนั้น เฮยเจ๋อก็เกือบจะสำลักชาที่กำลังดื่ม เท่าที่เขารู้มา ตอนนี้ ร้านค้าของเขามีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนตำลึง ในฐานะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเจ้าของ แล้วนางจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน
“แค่กๆ เจ้าพูดถูก ข้าตื่นเต้นมากจนลืมเรื่องนั้นไปเลย” ตู๋เทียนยิ้มอย่างอ่อนโยนและเงยหน้าขึ้น “ตามกฎของสำนักไท่ไป๋ การประลองต้องชนะแบบสองในสาม ข้าจึงขอประกาศว่าในการแข่งขันระหว่างหอชั้นเลิศกับหอสามัญ หอสามัญเป็นผู้ชนะ!”
ปัง!
ในที่สุด อาจารย์ไป๋ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาทรุดตัวลงอย่างมึนงงบนเก้าอี้ไม้ของตนเองที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะนั่งอย่างสบายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าของตนเอง ขณะที่ตู๋ซูเฟิงนำเหล่าลูกศิษย์จากหอสามัญขึ้นมาบนเวที เจ้าสำนักยังคงมีท่าทีที่อ่อนโยนและสูงส่งเหมือนกับแต่ก่อน ท่วงท่าของเขาราวกับกำโลกและสวรรค์อยู่ในฝ่ามือ
หยวนหลิงเซวียนที่พ่ายแพ้อย่างน่าเวทนายังคงปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ดวงตาของเขาแดงก่ำอยู่ตลอดเวลาที่มองดูเหตุการณ์นี้ เขากัดฟันแน่นจนส่งเสียงคร่ำครวญ เขาไม่มีทางยอมรับมันได้เลย ไม่ว่าอย่างไร การที่เขาถูกพวกหอสามัญเอาชนะได้อย่างน่าสมเพชนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้แพ้อย่างเขาเสียหน้าอย่างมาก
“ข้าไม่ยอม” หยวนหลิงเซวียนลุกขึ้นยืนและมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาอยากจะฉีกร่างของอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ “ข้าเพียงแค่ถูกกระแทกจนออกจากเวทีไปเท่านั้น หากเวทีใหญ่กว่านี้ ข้าก็คงจะไม่แพ้อย่างแน่นอน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ชะงักฝีเท้าลงแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาดูไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยอมรับหรือไม่
ในทางกลับกัน หนานกงเลี่ยที่อยู่ข้างๆ กลับเผยรอยยิ้มชั่วร้าย พร้อมกับถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นว่า “พี่ชาย ดูปัญหาที่เจ้าก่อเอาไว้สิ ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะคุณชายน้อยหยวน จนเขาไม่สามารถที่จะคลานได้แล้วเสียอีก ทำไมเจ้าต้องใจดีกับเขาด้วยเล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันกลับไปมองด้วยท่าทีที่ไม่กระตือรือร้นนัก “คุณชายน้อยหยวนหรือ”
“ใช่” หนานกงเลี่ยยักไหล่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วสูง “คือใครกัน”
หยวนหลิงเซวียน… ‘ข้าเพิ่งประลองกับเจ้าจบ แต่เจ้ากลับลืมข้าไปแล้วเช่นนั้นหรือ’
หนานกงเลี่ยพยายามที่จะกลั้นหัวเราะขณะที่ชี้ไปทางหยวนหลิงเซวียน สีหน้าของเขาดูแปลกอย่างมาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดคำว่า ‘อ้อ’ ขึ้นมา ก่อนจะโค้งริมฝีปากเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มนัก “เจ้าไม่คิดหรือว่าแทนที่จะฆ่าคนอย่างเขาให้ตายไป ก็ควรปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่จะดีกว่า เขาจะได้จดจำความรู้สึกตอนที่พ่ายแพ้ และรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมายความว่าเขาตั้งใจไว้ชีวิตอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้วเช่นนั้นหรือ หยวนหลิงเซวียนรู้สึกโกรธจัดและต้องการจะรีบขึ้นไปบนเวที แต่ถูกเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ห้ามเอาไว้
“นายน้อยหยวนใจเย็นก่อน ถ้าท่านก่อความวุ่นวายในตอนนี้ จะถือว่าทำผิดกฎระเบียบของสำนักไท่ไป๋ และเจ้าสำนักจะสามารถทำโทษท่านได้นะ”
หยวนหลิงเซวียนรู้สึกโกรธแค้นอย่างมากจนใบหน้าบิดเบี้ยว เขาหอบหายใจ และอ้าปากเพื่อสูดลมหายใจราวกับว่าพยายามอย่างมากที่จะระงับความโกรธแค้นที่ถาโถมเข้ามาในใจของตนเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูใบหน้าของเขา ทันใดนั้น ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของนางพูดถูกต้องแล้ว การที่คนอย่างหยวนหลิงเซวียนต้องพ่ายแพ้ให้กับคนที่เขาเคยดูถูกนั้น ถือเป็นเรื่องที่รับได้ยากยิ่งกว่าถูกฆ่าตายเสียอีก
อย่างไรก็ตาม…
ทุกอย่างก็ได้ผลสรุปที่ชัดเจนแล้ว
แต่เพื่อนร่วมโต๊ะของนางก็ยังคงฉีกหน้าของศัตรูอยู่ คนๆ นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองใบหน้าด้านข้างอันไร้ที่ติของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วแววตาของนางก็เผยประกายมีเลศนัย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกได้ถึงสายตาของหญิงสาว เขาจึงหันมามองนาง และมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่สามารถปลอบประโลมทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ได้ มันช่างบริสุทธิ์ราวกับเป็นเทพเซียนก็ไม่ปาน “มีอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร” บางทีนางอาจจะคิดมากเกินไป เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลังจากพวกเรารับเงินรางวัลกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปหาอะไรดื่มฉลองกันเถอะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบกลับว่า ‘แน่นอน’ แล้วนัยน์ตาสีเข้มราวกับหมึกสีดำก็ทอดยาวไปไกลอย่างเงียบงัน มีเพียงรอยยิ้มบนมุมปากที่ดูคลุมเครือ มันดูสว่างและมืดมนไปด้วยร่องรอยของความเคร่งขรึมที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้
ดื่มเหล้าเช่นนั้นหรือ
ดีทีเดียว
การดื่มจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เขาสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้…
ในที่สุด การแข่งขันภายในสำนักไท่ไป๋ก็จบลง และนี่เป็นครั้งแรกที่หอสามัญได้รับชัยชนะในรอบหลายร้อยปี
แม้ว่าหอชั้นเลิศจะไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงตกมาเป็นที่สองอยู่ดี
ข่าวการเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ มู่หรงฉางเฟิงและเพื่อนๆ ก็ลดลงเช่นกัน ไม่มีความเป็นไปได้สำหรับเรื่องนี้เลย
เฮ่อเหลียนนเวยเวยรับรางวัลชนะเลิศและเดินลงจากเวที พร้อมกับกวาดสายตามองไปทางเด็กสาวที่ต้องการจะหลบหนี “คุณหนูมู่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมทำอะไรไปบางอย่างนะ”
ไหล่ของเด็กสาวคนนั้นแข็งเกร็งในทันที นางหันศีรษะมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเห็นสายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้องมาทางนาง นางถูกบังคับให้ยกแขนขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าหนึ่งครั้งดังขึ้นอย่างชัดเจน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยกมือขึ้นมาดึงแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างน่าสงสาร “พี่ใหญ่ นางก็แค่พูดไม่ทันคิดเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดใหญ่โตอะไร ท่านจำเป็นต้องให้นางทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
“ไม่ได้ทำความผิดใหญ่โตเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ก่อนจะพูดต่อด้วยความฉุนเฉียวอย่างมาก “ถ้าเช่นนั้น หากข้าพูดจาเหยียดหยามฮูหยินซู ท่านแม่ของเจ้าบ้าง เจ้าก็จะยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความผิดใหญ่โตเช่นนั้นหรือ”
นิ้วมือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หยุดชะงัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่ออย่างเรียบเฉย “เฮ่อเหลียวเจียวเอ๋อร์ กลับไปบอกท่านแม่ที่แสนดีของเจ้าเถอะ ว่าทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
ใช่แล้ว
ความคับแค้นที่แม่ของนางถูกฆ่า และความเจ็บปวดที่ตระกูลถูกพรากไป
นางยังไม่ได้แก้แค้นเลย
ตอนนี้ สิ่งที่นางทำไปนั้นก็สมควรแล้ว
มันเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น…
“เจ้า เจ้า…” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำมือทั้งสองข้างแน่น แต่ไม่อาจพูดโต้ตอบอีกฝ่ายได้แม้แต่คำเดียว เพราะมันคือปัญหาภายในตระกูลที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ จึงไม่เหมาะสมนักที่จะพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร นางเพียงเหยียดแขนเสื้อออกอย่างใจเย็น และมองแก้มสีแดงเป็นจ้ำของเด็กสาวอีกคน ก่อนจะยิ้มให้อย่างแผ่วเบา ”คุณหนูมู่ จำเอาไว้ ข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย เป็นคนที่ไม่เคยทำร้ายคนที่ไม่ได้ทำร้ายข้าก่อน ส่วนคนที่ยั่วยุข้านั้น… จะต้องถูกถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้น”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในปีนั้น หากไม่ใช่เพราะงานรำลึกของไท่สื่อมู่ แล้วท่านแม่ของนางจะกระอักเลือกจนเสียชีวิตได้อย่างไรกัน
อย่าคิดว่าตอนนั้น นางยังเด็ก แล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย ตรงกันข้าม นางในวัยเด็กนั้นยิ่งจดจำได้ดีว่าคนเหล่านี้ทำอะไรไว้กับท่านแม่และบุตรสาวคนนี้บ้าง
อย่างที่นางเพิ่งพูดไป นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ต่อจากนี้ไป นางจะต้องค่อยๆ ยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของนางกลับคืนมา!