อินซอบจัดกล่องกับข้าวในตู้ให้เป็นระเบียบทีละกล่อง ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องเคียงที่เขาได้รับมาจากแม่ของยุนอารึม
เขาได้รับคำขอร้องจากยุนอารึมให้ช่วยมาดูแลพวกแมวที่บ้านให้หน่อยเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน เขาเอ่ยถามเธอว่าตนเข้าไปในบ้านที่ไม่มีใครอยู่ได้เหรอ แถมเขายังเป็นคนที่เพิ่งจะเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเองด้วย พอเขาถามอย่างนั้น ยุนอารึมก็หัวเราะพร้อมกับตอบว่า
‘คุณพ่อเป็นคนขอร้องค่ะ ท่านรู้วิธีดูโหงวเฮ้งคน แล้วท่านก็บอกว่าคุณอินซอบไม่ใช่คนแบบนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือดูเหมือนท่านจะเป็นห่วงอาเธอร์น่ะค่ะ’
เนื่องจากเมื่อวานอาเธอร์ท้องเสีย เธอจึงพามันไปโรงพยาบาล และอาเธอร์ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเพราะความเครียด ดูเหมือนว่าพอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ต่อให้เล็กน้อยขนาดไหนก็ทำให้แมววิตกกังวลได้ ยุนอารึมบอกว่าถึงมันจะกินและเล่นได้ดี แต่การเฝ้าระวังไว้ก่อนน่าจะดีกว่า อินซอบจึงตอบตกลง
เขาใช้เวลาครึ่งวันอยู่กับพวกแมว ในระหว่างนั้นเขาก็ค้นหาชื่อของอีอูยอนและเช็กข่าวไปด้วย แม้เขาจะอยากส่งข้อความหาอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้ทำ ด้วยกลัวว่าจะไปรบกวนการทำงานของฝ่ายนั้น อีอูยอนไม่ยอมติดต่อมาในตอนกลางวันอย่างที่คิด ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายจะโทรศัพท์มาหาก็คือหลังจากที่เขาเสร็จจากตารางงาน
พ่อของยุนอารึมกลับมาตอนบ่ายแก่ๆ เขาวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง หลังจากดูอาการของอาเธอร์แล้ว เขาก็ชวนอินซอบไปกินข้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อินซอบตอบตกลง เพราะถ้าเขาปฏิเสธการชวนกินข้าวของผู้ใหญ่จะดูเป็นเรื่องเสียมารยาท
ที่โต๊ะกินข้าวอินซอบบังเอิญพูดไปว่าพ่อกับแม่ของเขาทั้งคู่อยู่ที่อเมริกา และตอนนี้เขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวที่เกาหลี สุดท้ายตอนที่จะออกมาจากบ้าน เขาก็ได้กับข้าวมาเต็มไปหมด แม้เขาจะปฏิเสธอย่างเกรงใจว่าไม่เป็นไร แต่แม่ของยุนอารึมก็บอกว่าเธอนึกถึงลูกชายคนโตที่กำลังทำงานอยู่ต่างจังหวัด และยื่นถุงใส่กับข้าวให้อินซอบ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงนึกถึงแม่ แม่เองก็ชอบอบขนมปังหรือคุกกี้และให้คนรอบๆ ตัวเป็นของขวัญเหมือนกัน อินซอบไม่สามารถปฏิเสธอย่างเกรงใจได้อีกต่อไป และรับถุงกับข้าวมา
“เราจะตอบแทนบุญคุณนี้ยังไงดีเนี่ย”
อินซอบพึมพำในขณะที่มองกล่องกับข้าวที่วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ อินซอบตั้งใจว่าคราวหน้าเขาต้องซื้อของขวัญที่ดีกว่าไปให้ก่อนจะปิดประตูตู้เย็น
เขาอาบน้ำและออกมาอ่านหนังสือบนเตียง อากาศช่วงเย็นที่ร้อนอบอ้าวลอยเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ เขามองเวลา เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมงกว่าตารางงานของอีอูยอนจะเสร็จสิ้น
อินซอบส่งข้อความไปหากรรมการผู้จัดการคิม
[สวัสดีครับ อากาศร้อนแบบนี้คุณคงจะลำบากมากเลยนะครับ ไม่ทราบว่าพอจะบอกผมได้ไหมครับว่าคนที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้คุณอีอูยอนตอนนี้คือใคร]
ถ้าเป็นคนที่บริษัท เขาก็พอจะรู้จักชื่อและหน้าอยู่บ้าง อินซอบคิดว่าถ้าวันหยุดของเขาหมดลง เขาต้องไปขอบคุณอีกฝ่าย เพราะคนคนนั้นเป็นคนที่ต้องมาลำบากแทนเขา
ผ่านไปไม่นานข้อความตอบกลับก็ถูกส่งมา
[ฉันเอง]
คำตอบสั้นๆ แต่ชัดเจนทำให้เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง อินซอบลังเลก่อนจะส่งข้อความไปอีกครั้ง
[ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ]
เขาส่งข้อความไปแล้ว ก่อนจะมานึกเสียใจที่ถามคำถามที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นออกไป ต่อให้จะเป็นคนที่ตนกำลังคบอยู่ แต่…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นกรรมการผู้จัดการคิมนั่นเอง
“สวัสดีครับกรรมการผู้จัดการ”
น้ำเสียงของอินซอบสั่นเล็กน้อย
[ไม่ดีด้วยหรอก]
พอได้ยินเสียงแผ่วๆ เพราะความเหนื่อยล้าของกรรมการผู้จัดการคิม ความรู้สึกผิดก็พุ่งขึ้นมา
“ขอโทษนะครับกรรมการผู้จัดการ”
[มีอะไรที่นายต้องขอโทษกันล่ะ เรื่องทั้งหมดนี้น่ะ…เฮ้อ ไม่สิ เป็นความผิดของฉันเองแหละที่ต่อสัญญากับหมอนั่น จะเป็นเพราะใครได้ล่ะ]
กรรมการผู้จัดการคิมพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะสิ้นหวังกับทุกอย่างแล้ว
[นายไม่ค่อยสบายเหรอ ฉันกำลังยุ่งจนไม่มีสติเลยลืมโทรหาน่ะ ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง]
ดูเหมือนอีกคนจะบอกเหตุผลที่ตนหยุดพักไปแบบนั้น ถ้าเขาตอบไปว่าเปล่า อีอูยอนก็คงจะตกที่นั่งลำบาก อินซอบจึงเลือกที่จะโกหก
“…ดีขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”
ถ้าดูจากการที่หัวใจของเขาเต้นจนเจ็บแล้ว เขาคงจะไม่ถนัดในการโกหกจริงๆ ด้วย
[ฉันเป็นห่วงเพราะตอนที่เจอกันคราวก่อน สีหน้าของนายดูไม่ดีนิดหน่อยน่ะ แล้วอีอูยอนก็บอกว่านายจะหยุดพักสักระยะหนึ่ง]
อินซอบยังคงไม่รู้ถึงเหตุผลที่อีอูยอนสั่งให้ตนพักงานไปสักระยะ ถ้าเป็นเพราะเป็นห่วงสุขภาพของเขา อีกฝ่ายก็น่าจะให้เลิกทำไปตั้งแต่แรกแล้ว
[ส่วนเรื่องโร้ดเมเนเจอร์น่ะ ฉันกำลังค้นหาอย่างสุดความสามารถอยู่ ก็นิสัยของอีอูยอนมันไม่ธรรมดาเลยนี่นะ]
“โร้ดเมเนเจอร์เหรอครับ”
อินซอบถามกลับอย่างประหลาดใจ
[อื้อ อีอูยอนไม่ได้บอกเหรอ ฉันกำลังตั้งใจหาอยู่ เพราะเขาสั่งให้หาคนที่เหมาะสมน่ะ]
นี่เป็นเรื่องที่เขาเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก
“ตอนนี้ผมจะไม่ได้ทำงานแล้วเหรอครับ”
[พูดอะไรอย่างนั้น ฉันกำลังปวดกบาลอยู่เลยเนี่ย เพราะหมอนั่นบอกว่าให้หาคนที่สื่อสารกับนายได้ดีด้วย]
อินซอบกะพริบตาปริบๆ เขายังไม่เข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายเพิ่มเงื่อนไขแบบนั้นในการหาโร้ดเมเนเจอร์
[เพราะฉะนั้นที่ฉันจะพูดก็คือ นายอยากได้คนแบบไหนล่ะ]
“ผมได้หมดทุกแบบเลยครับ”
[ฉันก็ว่าอย่างนั้น นายกับอีอูยอน…ฮ่าๆๆ ที่นี่มียุงด้วยแฮะ]
เขาได้ยินเสียงตบดัง เผียะ จากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์
“ระวังนะครับ ถ้าโดนยุงกัดช่วงนี้จะทิ้งรอยไว้นานเลย”
[อืม ฮ่าๆ ยังไงก็เถอะ นายไม่มีความคิดอย่าง ‘อยากจะได้คนแบบไหน’ เลยเหรอ]
“ผมอยากได้คนที่เข้ากับคุณอีอูยอนได้ดีครับ”
[เข้ากันได้ดีที่ว่าคืออะไรกันล่ะ]
อินซอบคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“คนที่ขับรถเก่ง แต่ต้องไม่มั่นใจในความชำนาญนั้นของตัวเองเกินไป และชอบเพลงที่มีดนตรีเบาๆ มากกว่าก็โอเคนะครับ แล้วก็คนที่ไม่กินอาหารในรถ ดูแลตารางงานได้อย่างละเอียดรอบคอบ และสามารถช่วยให้คำวิจารณ์ที่เหมาะสมกับงานที่คุณอีอูยอนทำได้ก็ดีเหมือนกันครับ อีกอย่างผมอยากได้คนที่ไม่เอาไปเที่ยวอวดที่ไหนว่ารู้จักคุณอีอูยอน และไม่สนใจเรื่องของดาราคนอื่นด้วยครับ แล้วก็…”
[ยังมีอีกเหรอ]
“เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดครับ”
อีอูยอนไม่ชอบคนที่น่าหนวกหูเป็นพิเศษ
[แนะนำตัวเองเสร็จแล้วหรือยัง]
“มะ ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะ…”
อินซอบหน้าแดง และเริ่มพูดตะกุกตะกัก
[ได้ ฉันจะลองอิงจากที่นายพูดมาดู ถึงจะไม่รู้ว่าจะหาได้หรือเปล่าก็เถอะ]
“ขอโทษนะครับที่เหมือนผมจะสร้างความยุ่งยากเพิ่มให้โดยไม่จำเป็น ว่าแต่กรรมการผู้จัดการครับ…”
[เออ ว่ามาเลย]
“มีเหตุผลที่ต้องหาโร้ดเมเนเจอร์ชั่วคราวหรือเปล่าครับ”
เขาไม่รู้จุดประสงค์ของอีอูยอน ถ้าอีกฝ่ายให้เขาหยุดงาน เพราะเขาทำอะไรให้ไม่พอใจ การไล่เขาออกไปเลยก็น่าจะพอแล้ว แม้จะปวดใจ แต่ถ้าอีกฝ่ายต้องการ เขาก็จะลาออกให้
[ฉันเองแหละ ฉันเองก็อยากจะใช้โอกาสนี้ทำให้นายลาออกและหาคนดีๆ มาทำงานยาวๆ ไปเลยเหมือนกัน แต่อีอูยอนบอกว่าไม่เอา ถ้าทำแบบนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย ไอ้บ้านั่นมันพูดอะไรของมันก็ไม่รู้ อ้อ อย่าเข้าใจผิดนะ เรื่องที่จะไล่นายออกน่ะ ฉันทำไปเพราะคิดถึงนายต่างหาก]
“ไม่เข้าใจผิดหรอกครับ ผมกลับรู้สึกผิดมากกว่าซะอีก เหมือนผมต้องให้ช่วยและสร้างความลำบากให้อย่างเดียวเลยครับ”
เขาอับอาย นี่เป็นเรื่องที่เริ่มขึ้นเพราะเขารบเร้าตั้งแต่แรก
[เฮ้อ เป็นคนดีจริงๆ ถ้าอีอูยอนเหมือนนายได้สักเสี้ยวของเสี้ยวหนึ่งก็คงจะไม่มีเรื่องให้ฉันต้องมาไม่สบายใจอย่างนี้หรอก มีที่ไหนล่ะไอ้คนที่มาให้ประธานบริษัทเล่นเป็นผู้จัดการส่วนตัวน่ะ]
“ลำบากแย่เลยนะครับ”
[เล็กน้อยมากถ้าเทียบกับความลำบากของนายกับหัวหน้าทีมชาน่ะ ฉันต้องทำดีกับฮยอนคยูของเราหน่อยแล้ว ต้องเอากระดูกขาวัวไปให้เยอะๆ แล้วสั่งให้รีบหายซะ]
เขาได้ยินคำว่ารีบหายอย่างไม่ปกติ
[แต่ฉันก็ยังทนได้ เพราะช่วงนี้อีอูยอนตั้งใจทำงานมาก โอ๊ะ พูดถึงเสือ เสือก็มาพอดี วางล่ะนะ]
“ครับ ไปเถอะครับ”
สายถูกตัดไปทันที อินซอบหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่ตัวหนังสือกลับไม่เข้าหัวเลยแม้แต่ตัวเดียว
ไล่ออกไม่ได้เพราะจะไม่เหลืออะไรเลยอย่างนั้นเหรอ…หมายความว่าอะไรล่ะ
ในขณะที่เขากำลังคิด คำพูดที่ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ก็ผ่านเข้ามาในหัว อินซอบลุกขึ้นและวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่อมองกระจก
“แย่มากขนาดนั้นเลยเหรอ”
อินซอบใช้มือลูบแก้มของตน ดูเหมือนจะซูบลงจากเดิมนิดหน่อย
เป็นเพราะผมหรือเปล่านะ พอมาคิดๆ ดูแล้ว เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องการไปทำผมเลย เพราะช่วงนี้ยุ่งมาก
อินซอบทำให้ผมเปียกน้ำและลองเสยผมขึ้น แต่ใบหน้าที่ขาวซีดของเขาก็ไม่ได้ดูดีขึ้นแม้แต่น้อย ตอนเด็กๆ เขาเชื่อว่าถ้าอายุยี่สิบแล้ว เขาจะมีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความเชื่อนั้นเชื่อไม่ได้แค่ไหน
อินซอบมองใบหน้าที่ซีดเผือดของตัวเองในกระจกอย่างเหม่อลอย
ถ้าเขาเป็นคนที่สมกับเป็นผู้ชาย ดูเป็นผู้ใหญ่ และพึ่งพาได้ก็น่าจะดี เขาอยากเป็นพลังให้อีอูยอน และให้คำปรึกษาในตอนที่อีกฝ่ายครุ่นคิดอะไร…
ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อินซอบวิ่งออกมา เพราะคิดว่าต้องรีบรับโทรศัพท์ สุดท้ายจึงลื่นล้มตรงหน้าประตูห้องน้ำ
“โอ๊ย”
อินซอบล้มลงไปก่อนจะจับเอวตัวเองไว้ เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดหลุดออกมาโดยอัตโนมัติ แต่เพราะเขากลัวว่าโทรศัพท์จะถูกตัดสายไปเสียก่อนจึงรีบลุกขึ้นมา และวิ่งไปคว้าโทรศัพท์
“ฮัลโหลครับ”
[มัวแต่ทำอะไรอยู่ครับถึงได้รับโทรศัพท์ด้วยเสียงที่หอบขนาดนี้]
“ผะ ผมรับโทรศัพท์ช้า เพราะมัวแต่ทำอะไรบางอย่างอยู่น่ะครับ ขอโทษนะครับ”
อินซอบลองเลิกเสื้อขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะบวมแดงและช้ำ
[กำลังทำเรื่องไม่ดีอยู่เหรอครับ]
“เรื่องไม่ดีเหรอครับ”
อินซอบรีบเอาเสื้อลงและย้อนถาม อีอูยอนหัวเราะเสียงต่ำ
[พอคุณตอบมาแบบนั้นแล้ว คนถามอายเลยนะครับ]
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณอายนะ แต่ผมไม่ได้ทำเรื่องไม่ได้อยู่จริงๆ ครับ ผมแค่กำลังดูอยู่ว่าตรงท้องช้ำหรือเปล่า เพราะผมล้มน่ะครับ”
[ทำเรื่องไม่ดีอยู่จริงๆ ด้วย]
“ครับ?”
[เป็นการกระทำที่แย่มากเลยนะครับ มาจงใจทำให้เกิดรอยบนของของคนอื่นแบบนี้]
เขาควรต้องสวนกลับว่ามันเป็นการล้อเล่นไปเรื่อย แต่อินซอบกลับลูบท้องที่ร้อนวูบวาบพลางเอ่ยขอโทษ
[กินข้าวหรือยังครับ]
“ครับ กินแล้วครับ”
[กินอะไรเหรอครับ]
นี่เป็นนิสัยที่เพิ่งเกิดขึ้นช่วงนี้ อีอูยอนมักจะถามถึงเมนูอาหารของอินซอบเสมอตอนที่คุยโทรศัพท์กัน ถ้าเขาตอบอย่างอ้อมแอ้ม อีกฝ่ายก็จะถามซ้ำไม่ยอมเลิกจนกว่าจะได้ยินคำตอบที่ชัดเจน
“มื้อเช้าผมกินซีเรียลกับผลไม้ ส่วนมื้อกลางวัน…”
เขาไม่ได้กินอาหารกลางวัน เพราะมัวแต่ดูแลพวกแมวที่บ้านของยุนอารึม จะซื้ออาหารไปกินที่บ้านของคนอื่นก็ยังไงอยู่ การเปิดตู้เย็นของบ้านนั้นเพื่อหยิบอะไรออกมากินก็เช่นกัน
[ผมบอกให้กินอาหารให้ครบไงครับ]
สัญญาณของความไม่พอใจเจืออยู่ในน้ำเสียงของอีอูยอน
“แต่ผมกินข้าวเย็นเยอะมากเลยครับ! ผมกินเยอะมากจริงๆ นะครับ เยอะจนตอนนี้ยังย่อยไม่หมดเลยด้วยซ้ำ”
[อย่างนั้นเหรอครับ แล้วไปกินอะไรขนาดนั้นที่ไหน กับใครล่ะครับ]
“ผมไปบ้านของคุณยุนอารึมมาครับ เพราะเธอบอกว่าอาเธอร์ไม่สบายนิดหน่อย แต่ไม่มีคนดูน่ะครับ แต่ว่าผมอยู่คนเดียวนะครับ แค่กินข้าวเย็นด้วยกันเฉยๆ”
[อยู่ที่บ้านนั้นคนเดียวเหรอครับ]
อีอูยอนถามกลับด้วยท่าทีที่บอกว่าเหลวไหล
“…ครับ”
[ดูจะสนิทกันมากเลยนะครับ]
“ไม่มากหรอกครับ…แต่ผมว่าพวกเขาเป็นคนดีนะครับ แถมยังเชื่อใจคนอย่างผมด้วย”
อินซอบรีบพูดเสริม
“แล้วผมก็บอกไปแล้วนะครับว่าผมมีคนที่คบอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลไปนะครับ”
พอมีบทสนทนาทำนองนี้โผล่มาบนโต๊ะอาหารเย็น อินซอบก็รีบบอกทันทีว่าตัวเองมีคนที่คบอยู่แล้ว
[ทำดีมากเลยครับ แล้วได้บอกไปหรือเปล่าครับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งด้วย]
“คะ คราวหน้าผมจะบอกนะครับ”
อีอูยอนหัวเราะออกมา เพราะคำพูดของอินซอบเหมือนจะให้คำมั่นสัญญา
[ฮ่าๆๆๆๆ]
อินซอบเงี่ยหูฟังเสียงสะท้อนที่ได้ยินจากปลายสายเงียบๆ นี่คือเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้ว มันทำให้เขารู้สึกดี
[ทำยังไงดีล่ะครับ คุณอินซอบแย่แล้วล่ะ]
“ผมเหรอครับ อะไรแย่เหรอครับ”
[ก็ผมชอบคุณมากขึ้นเรื่อยๆ เลยน่ะสิ]