เฟิงหลินนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่จู๋หลินเขียนไว้บนจดหมาย รู้สึกว่าทุกครั้งที่มีจดหมายจากจู๋หลินมาถึง คุณหนูตันจูล้วนเกิดเหตุการณ์มากมาย เพิ่งห่างแค่กี่วันกัน
อีกทั้ง ไม่เพียงแต่รู้จักองค์ชายสาม แม้แต่องค์หญิงจินเหยาก็ชื่นชอบนางจากการ ‘ตีกัน’
ดูจากที่เขียนบนจดหมาย เพราะคุณหนูตระกูลหลิว นางจึงอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างไร้สาเหตุ สุดท้ายทำให้งานเลี้ยงเล็กของตระกูลฉางกลายเป็นงานเลี้ยงอลังการของเมืองหลวง องค์หญิงจินเหยา
โจวเสวียนล้วนเดินทางมา…เมื่ออ่านถึงตรงนี้ เฟิงหลินไม่รู้สึกขบขันในความกังวลของจู๋หลินแม้แต่น้อย เพราะเขาเองก็กังวลเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงจินเหยาและโจวเสวียนมาอย่างไม่เป็นมิตร
เป็นไปอย่างที่คิด โจวเสวียนคนเจ้าเล่ห์นี้อาศัยการประลอง คิดจะตีคุณหนูตันจู
แต่ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นาน เฉินตันจูจะได้รับความชื่นชอบจากองค์หญิงจินเหยา องค์หญิงจินเหยาออกหน้าปกป้องนาง ยิ่งไม่คิดว่าองค์หญิงจินเหยาลงประลองด้วยตนเองเพื่อปกป้องเฉินตันจู อีกทั้งเฉินตันจูยังกล้าที่จะเอาชนะองค์หญิง
แม่ทัพหน้ากากเหล็กอ่านจดหมายก่อนจะหัวเราะออกมา “มีสิ่งใดน่าแปลก ผู้แข็งแกร่งย่อมชนะ ไม่ถูกคนชื่นชอบก็ย่อมถูกคนหวาดเกรง สำหรับคุณหนูตันจูแล้ว การกระทำตามใจอย่างใจกล้าไม่มีผลร้าย”
เฟิงหลินยังคงไม่เข้าใจ “นางไม่กลัวถูกลงโทษหรือ” ความจริงแล้ว ฮองเฮาเกิดความโกรธขึ้นจริง หากไม่ใช่ฮ่องเต้และองค์หญิงจินเหยาขอร้อง คงไม่ได้ลงโทษเพียงแค่กักบริเวณ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเก็บจดหมายลง “เจ้ารู้สึกว่า หากนางไม่ทำอะไรเลยจะไม่ถูกลงโทษหรือ”
เฟิงหลินผงะ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กโยนมีดยาวให้เขา ก่อนจะเดินไปข้างหน้าช้าๆ ไม่ว่าจะยโสโอหังก็ดี หรือว่าทำยาขจัดพิษให้องค์ชายสามก็ดี สำหรับเฉินตันจูแล้วล้วนมีเป้าหมายเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
ทุกคนล้วนดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เหตุใดจึงต้องหัวเราะนาง
เฟิงหลินถือมีดเดินตามไป ครุ่นคิดภายในใจ “คุณหนูตันจูรู้จักองค์ชายสามเพื่อรับมือกับคุณหนูสี่ตระกูลเหยา” เมื่อนึกถึงนิสัยขององค์ชายสาม เขาส่ายหัว “องค์ชายสามจะปะทะกับองค์รัชทายาทเพื่อนาง?”
คุณหนูตันจูคิดจะอาศัยองค์ชายสาม ยังไม่สู้อาศัยองค์หญิงจินเหยาเสียดีกว่า องค์หญิงถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ไม่เคยได้รับความลำบาก ไร้เดียงสาและไร้ความเกรงกลัว
องค์ชายสามเกือบทิ้งชีวิตในพระราชวังตั้งแต่เล็ก คนทั้งคนดุจดั่งมีเกราะห่อหุ้มเอาไว้ ดูภายนอกอ่อนโยนสันติ แต่อันที่จริงไม่เชื่อใจผู้ใด ห่างเหินละจากทางโลก
คุณหนูตันจูรู้สึกว่าองค์ชายสามดูนิสัยดี จึงคิดว่าสามารถเกาะเกี่ยวได้ แต่ว่ามองคนผิดไปแล้ว
จู๋หลินเขียนบนจดหมายว่าคุณหนูตันจูพูดอย่างมั่นใจว่าสามารถขจัดพิษให้องค์ชายสามได้ ไม่รู้ว่านางเอาความมั่นใจจากที่ใด ไม่กลัวว่าคำพูดที่ออกไปแล้วสุดท้ายทำไม่สำเร็จ ไม่เพียงไม่ได้ใจขององค์ชายสาม อีกทั้งยังต้องถูกองค์ชายสามเกลียดแค้นอีก
องค์ชายสามถูกวางยาพิษตั้งแต่เด็ก ฮ่องเต้รู้สึกว่าความละเลยของตนเองเป็นต้นเหตุเสมอมา ฮ่องเต้จึงรักใคร่และปกป้ององค์ชายสามอย่างเป็นที่สุด เฉินตันจูตีองค์หญิงจินเหยา ฮ่องเต้อาจยังไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากเฉินตันจูทำร้ายองค์ชายสาม ฮ่องเต้คงต้องตัดหัวของนางอย่างแน่นอน
มิน่าจู๋หลินเขียนยาวเหยียดมาหลายแผ่น เฟิงหลินแม้ไม่ได้อยู่ข้างตัวของเฉินตันจู แต่เพียงแค่อ่านจดหมายก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กได้ยินถึงความกังวลของเขา ยิ้มขึ้น “เป็นเรื่องยุติธรรม ทุกคนใช้ความสามารถของตนเอง คุณหนูสี่ตระกูลเหยาเกาะเกี่ยวองค์รัชทายาทก็ใช้ความสามารถอย่างสุดตัวเช่นเดียวกัน”
เฟิงหลินส่ายหัวอย่างระอา หากความสามารถของคุณหนูตันจูสู้คุณหนูสี่ตระกูลเหยาไม่ได้เล่า? แม่ทัพหน้ากากเหล็กดูมั่นใจว่าคุณหนูตันจูชนะได้? หากคุณหนูตันจูแพ้ขึ้นมาเล่า? คุณหนูตันจูเพียงแค่อาศัยองค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยา แต่อีกฝ่ายคือองค์รัชทายาท อีกทั้งยังมีโจวเสวียนที่คาดเดาไม่ได้อีก อย่างไรก็ดูโดดเดี่ยวอ่อนแอ…
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเหลือบมองเขา ยิ้มแต่ไม่พูด
เฟิงหลินมองทิศทางที่เดินไป ก่อนจะส่งเสียงสงสัยออกมา “ท่านแม่ทัพจะไปพบท่านอ๋องฉีหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองพระตำหนักที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าก่อนจะส่งเสียงตอบรับในลำคอ
ท่านอ๋องฉีนอนอยู่บนเตียงที่งดงาม ราวกับนาทีถัดมาจะตายไป แต่อันที่จริงเขาเป็นเช่นนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว องค์รัชทายาทที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงเหม่อลอยเล็กน้อย
องค์รัชทายาทกำลังครุ่นคิดเรื่องมากมาย อาทิหลังจากเสด็จพ่อตาย เขาควรจัดงานขึ้นครองราชย์อย่างไร ย่อมไม่อาจจัดอย่างยิ่งใหญ่เกินไป เพราะว่าท่านอ๋องฉียังมีโทษอยู่บนตัว อาทิจะเขียนจดหมายทูลฮ่องเต้อย่างไร อืม ย่อมต้องมีความจริงใจ เขียนถึงโทษหนักของเสด็จพ่อ รวมไปถึงความเจ็บปวดใจของเขา ต้องทำให้ความแค้นของฮ่องเต้ที่มีต่อเสด็จพ่อถูกกลบฝังไปพร้อมกับร่างของเสด็จพ่อ อีกทั้งยังมีพระราชโองการเรียกคืนพื้นที่ศักดินา พระราชโองการนี้คงต้องรับไว้ ร่างกายของเสด็จพ่อไม่ดี เขาไม่มีพี่น้องมากมาย ถึงแม้จะแบ่งแคว้นจำนวนหนึ่งให้น้องชายเหล่านั้น แต่เมื่อรอเขานั่งบัลลังก์จนมั่นคงค่อยเรียกคืนมาย่อมได้
“ลูกข้า” ท่านอ๋องฉีเรียกขาน
องค์รัชทายาทเรียกสติกลับมา “เสด็จพ่อ ท่านต้องการสิ่งใด”
ท่านอ๋องฉีกระแอมไอสองทีแต่ก็พูดสิ่งใดไม่ออก องค์รัชทายาทเรียกขานนางในและขันทีอย่างรำคาญใจ “เร็ว ท่านอ๋องต้องกินยาแล้ว”
เหล่าขันทีและนางในต่างรีบเดินขึ้นหน้า มีคนพยุงท่านอ๋องฉีขึ้นมา มีคนยกยามาให้ บริเวณข้างเตียงที่งดงามคึกคักขึ้นมาทันที สลายบรรยากาศอึมครึมภายในตำหนัก
องค์รัชทายาทถอยไปด้านข้าง มองออกไปนอกตำหนักผ่านทางหน้าต่าง นอกตำหนักมีทหารยืนอยู่หลายชั้น แต่ละคนล้วนสวมเกราะถืออาวุธ ทำให้คนเห็นหวั่นใจด้วยความกลัว
“ภายในเมืองมั่นคงแล้ว” องค์รัชทายาทพูดกับขันทีเสียงเบา “ขุนนางของราชสำนักเข้ามาประจำในเมืองหลวงแล้ว ได้ยินว่าฮ่องเต้จะพระราชทานรางวัลให้กองทหารสาม โจวเสวียนจากไปนานแล้ว แม่ทัพหน้ากากเหล็กบอกหรือไม่ว่าจะจากไปเมื่อใด”
ขันทีส่ายหัวตอบเสียงเบา “แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีทีท่าจะจากไปพ่ะย่ะค่ะ” เขามองไปด้านหลัง ท่านอ๋องฉีที่ถูกขันทีและนางในป้อนยาส่งเสียงไอออกมา
องค์รัชทายาทหันหน้ากลับไป ใช่ ท่านอ๋องฉียอมรับโทษแล้ว แต่ยังไม่ตาย ฮ่องเต้จะวางใจได้อย่างไร สายตาของเขาเป็นประกาย เสด็จพ่อทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ ไม่มีประโยชน์ต่อเมืองฉี สู้…
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งรีบ มีขันทีเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
มาพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทเห็นคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะและหน้ากากเหล็กเดินมาอย่างเชื่องช้าผ่านทางหน้าต่าง เส้นผมสีขาวกระจัดกระจายอยู่ภายใต้หมวก ร่างกายดุจดั่งคนชราทั่วไปมีลักษณะอ้วนท้วม ฝีเท้าเชื่องช้า แต่ทุกย่างก้าวที่เดินเข้ามาดุจดั่งภูผาที่กำลังเข้าใกล้…
องค์รัชทายาทรีบเดินไปรอคอยอยู่ด้านหน้าประตูของตำหนัก พร้อมทั้งก้มหัวคารวะต่อแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
“วันนี้ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม
องค์รัชทายาทน้ำตาคลอ “เสด็จพ่อไม่มีสิ่งใดดีขึ้น”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินผ่านเขาเข้าไปด้านใน องค์รัชทายาทเดินตามขึ้นไป เมื่อมาถึงหน้าเตียง เขาก็รับชามในมือของนางในมา ป้อนยาให้ท่านอ๋องฉีด้วยตนเอง พลางเรียกเสียงเบา “เสด็จพ่อ ท่านแม่ทัพมาเยี่ยมท่านแล้ว”
ท่านอ๋องฉีลืมตาพร่ามัวขึ้น มองดูแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ยืนอยู่ข้างเตียง พยักหน้า “แม่ทัพอวี๋”
คนรุ่นก่อนล้วนเคยพบเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ไม่ได้สวมหน้ากาก อีกทั้งเคยชินกับการเรียกขานแซ่เดิมของเขา เวลานี้คนที่มีความเคยชินเช่นนี้สามารถนับนิ้วได้แล้ว…คนที่สมควรตายก็ตายไปเกือบหมดแล้ว
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอ่ยถาม “ร่างกายของท่านอ๋องเป็นอย่างไร ยาของหมอหลวงกินดีหรือไม่”
หลังจากที่ท่านอ๋องฉียอมรับโทษ ถึงแม้ฮ่องเต้จะโกรธมาก แต่ก็ยังระลึกถึงเสด็จพี่ท่านนี้ ส่งหมอหลวงมาดูแลร่างกายของท่านอ๋องฉี ท่านอ๋องฉีซาบซึ้งในน้ำใจของฮ่องเต้ ปลดไต้ฟูที่ตนเองใช้จนเคยชิน ยาทุกชนิดล้วนมีหมอหลวงจัดเตรียมให้
“ร่างกายข้าไม่ไหวแล้ว” ท่านอ๋องฉีถอนหายใจ “ลำบากหมอหลวงต้องเปลืองแรงใจรักษาชีวิตของข้าเอาไว้”
เสียงแหบพร่าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีอารมณ์ใดแม้แต่น้อย พูด “ท่านอ๋องอย่าได้ทอดทิ้งตนเอง ในเมื่อฝ่าบาทอภัยให้ท่านแล้ว ท่านย่อมต้องรักษาตัวให้ดี มีชีวิตอยู่ถึงจะไถ่โทษได้ดีกว่า”
ท่านอ๋องฉีหัวเราะออกมาด้วยเสียงคลุมเครือ “แม่ทัพอวี๋พูดถูก หลายวันนี้ข้าครุ่นคิดเสมอว่าจะไถ่โทษอย่างไร ร่างกายเน่าเปื่อยของข้าคงยากที่จะแสดงความจริงใจ ให้ลูกข้าเดินทางไปเมืองหลวง ไถ่โทษแทนข้าต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท จากนั้นขอให้ฝ่าบาทช่วยสั่งสอนให้เขาเดินในทางที่ถูกต้อง”
อะไรนะ สีหน้าขององค์รัชทายาทตกตะลึง ชามยาในมือร่วงหล่นลงบนพื้น เสียงกระเบื้องแตกดังขึ้น
ให้เขาไปเป็นตัวประกันหรือ
องค์รัชทายาทมองดูเสด็จพ่อที่นอนอยู่บนเตียงราวกับนาทีถัดมาจะขาดอากาศหายใจ ทันใดนั้นกระจ่างทันที เสด็จพ่อไม่ตายหนึ่งวัน เขาก็ยังคงเป็นท่านอ๋อง เป็นผู้ที่ตัดสินชีวิตขององค์รัชทายาทอย่างเขาได้