ตอนที่ 132 ถ้ำปีศาจบรรพกาล บุตรแห่งสวรรค์จวินเทียน!
ในเวลานี้ ผู้ทวารบาลหลั่งโลหิตรินไหล ลมหายใจเฉื่อยชา ใบหน้าเผยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด
มนุษย์ตรงหน้าแข็งแกร่งเกินไป!
เขาอยู่ในระดับเทพปฐพีเช่นกัน แต่ยังไม่อาจเผชิญหน้ากับกระบี่ของศัตรู!
“ตอบข้ามา หากเจ้าไม่คิดเปิดปาก ข้าจะส่งเจ้าไปยังประตูนรก!”
หนิงฝานเปิดปาก คมกระบี่เย็นเยียบวางพาดบนลำคอของผู้ทวารบาล
จากนั้นจึงกล่าวถามต่อ “รู้หรือไม่ว่าถ้ำปีศาจบรรพกาลนี้มีกี่ชั้น? แล้วเจ้าที่เป็นผู้ทวารบาลมีหน้าที่อะไร?”
ผู้ทวารบาลตัวสั่นเทา ก่อนจะตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “นายท่าน ถ้ำปีศาจบรรพกาลนั้นลึกเกินกว่าจะทราบได้ ข้าจึงไม่อาจรู้จำนวนที่แน่นอน เพียงทราบว่าถ้ำปีศาจบรรพกาลนี้มีลำดับชั้นแบ่งแยกอย่างชัดเจน จากปีศาจระดับต่ำสุดจนถึงปีศาจระดับสูงสุด”
“และเหตุผลที่ข้าถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ทวารบาล เพราะข้าสามารถควบคุมประตูมิติที่นำพาไปสู่ชั้นที่สี่ ซึ่งเป็นสถานที่ของปีศาจโบราณแท้จริง!”
ขณะกล่าวคำ เขาก็หยิบตราประทับออกมาด้วย มันคล้ายกับป้ายเคลื่อนย้ายในสองชั้นแรก ทว่าอักขระสีทองเข้มบนตราประทับนี้ให้ความรู้สึกที่สูงส่งยิ่งกว่ามาก
“อืม! ดูเหมือนว่าถ้ำปีศาจบรรพกาลนี้จะซับซ้อนกว่าที่ข้าคิด”
หนิงฝานรับตราประทับสีทองอร่ามมาไว้ในมือ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
ผู้ทวารบาลอยู่ในระดับเทพปฐพี ความแข็งแกร่งนี้สามารถกวาดล้างแคว้นอุทกทั้งหมดในโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย ทว่าเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้มันกลับเป็นเพียงผู้ทวารบาลเท่านั้น
เช่นนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าถ้ำปีศาจบรรพกาลแท้จริงแล้วจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
หลังจากมองตราประทับเคลื่อนย้ายสักครู่ หนิงฝานก็ละสายตาจากมัน
แน่นอนว่าเขาจะไม่ย่างก้าวเข้าสู่ชั้นที่สี่ของถ้ำปีศาจบรรพกาลในตอนนี้
เมื่อเทียบกับสามชั้นแรกแล้ว ชั้นที่สี่ย่อมน่าหวาดกลัวกว่าแน่นอน
เวลานี้วิถีอุบัติบนชั้นสามแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้เขาสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกนาน จึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเข้าสู่ชั้นที่สี่
“นับว่าพูดคุยกันได้ เช่นนี้ข้าจึงจะไม่สังหารเจ้า และคืนจิตวิญญาณปฐมภูมิให้!”
หลังจากหนิงฝานได้รับสิ่งที่ต้องการ ผู้ทวารบาลจึงได้รับจิตวิญญาณปฐมภูมิของตนกลับคืน
เวลานี้ ปีศาจทั้งหมดภายในชั้นสามของถ้ำปีศาจถูกหนิงฝานควบคุมแล้ว
“ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ข้ายังไม่มีอะไรให้พวกเจ้าทำ”
หลังจากกล่าวคำเล็กน้อย หนิงฝานก็ออกจากถ้ำปีศาจไป
เขากลับสู่วังจักรพรรดินี
จากนั้นหนิงฝานก็นำเอาต้นกำเนิดของปีศาจบรรพกาลออกมาฝึกฝน
พลังต้นกำเนิดของปีศาจบรรพกาลแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ มันเพียงพอที่จะปรับปรุงรากฐานการฝึกฝนของเขาที่อยู่ในระดับเทพปฐพีให้สูงขึ้นได้!
และคราวนี้เอง หนิงฝานก็ไปที่ชั้นสามของถ้ำปีศาจบรรพกาลทุกวันเพื่อลงชื่อเข้าใช้
[ลงชื่อเข้าใช้ถ้ำปีศาจบรรพกาลสำเร็จ ได้รับเคล็ดแปลงร่างเทพปีศาจ!]
[ลงชื่อเข้าใช้ถ้ำปีศาจบรรพกาลสำเร็จ ได้รับศิลาปีศาจยักษา!]
[ลงชื่อเข้าใช้ถ้ำปีศาจบรรพกาลสำเร็จ ได้รับเพลิงปีศาจอัคคี!]
[ลงชื่อเข้าใช้ถ้ำปีศาจบรรพกาลสำเร็จ ได้รับปีกปีศาจกลืนสวรรค์!]
[…]
หนิงฝานอาศัยวิถีอุบัติของถ้ำปีศาจบรรพกาลชั้นสามในทุกวันเพื่อฝึกฝน ด้วยสิ่งนี้พลังของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และใกล้จะทะลวงระดับเทพสวรรค์แล้ว
ขณะที่เขากำลังจดจ่อกับการฝึกฝน ข่าวเรื่องกองกำลังสิบอันดับแรกของแคว้นอุทกพ่ายแพ้ต่อแคว้นรกร้าง ก็เริ่มแพร่กระจายไปในแคว้นอุทกแล้ว
ทันใดนั้นก็บังเกิดความโกลาหลขึ้นภายในแคว้นอุทก
“สวรรค์! ได้ยินว่ากองกำลังสิบอันดับแรกของแคว้นอุทกที่ต่อสู้กับแคว้นรกร้างพ่ายแพ้งั้นหรือ!”
“บรรพบุรุษระดับเทพมนุษย์สิบอันดับแรกในแคว้นอุทกถึงกับพ่ายแพ้ แม้แต่กองกำลังสิบอันดับแรกก็ยังถูกราชวงศ์เทพขนนกทำลายล้างหมดสิ้นในแคว้นรกร้าง!”
“สวรรค์! แคว้นรกร้างมิใช่แคว้นที่อ่อนที่สุดในบรรดาแคว้นรอบนอกทั้งสี่หรือไร? เช่นนี้เหตุใดมันจึงสามารถเอาชนะกองกำลังสิบอันดับแรกของพวกเราแห่งแคว้นอุทกได้!”
“ข้าก็ยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด แต่ข้าได้ยินว่าแคว้นรกร้างได้รับพลังจิตวิญญาณฟื้นคืน!”
“อืม นั่นสินะ ดูเหมือนว่าสถานะของพวกมันกำลังรุ่งเรืองขึ้น!”
“…”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ภายในแคว้นอุทกกล่าวโต้ตอบกันอย่างดุเดือด
ขณะที่แคว้นอุทกกำลังอยู่ในความวุ่นวาย ชายหนุ่มสง่างามผู้หนึ่งก็ได้กลับสู่แคว้นอุทกพร้อมกับชายชราสองคนอย่างเงียบเชียบ
ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในอาภรณ์สีม่วงเผยกลิ่นอายสูงส่ง แววตาเย่อหยิ่ง ทั่วทั้งร่างปลดปล่อยพลังของขอบเขตเทพยุทธ์ออกมา!
ขณะที่ชายชราทั้งสอง คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวและอีกคนสวมเสื้อคลุมสีดำ ทั้งสองนั้นอยู่ในระดับเทพปฐพีอันน่าพรั่นพรึง!
บนเสื้อคลุมของทั้งสามมีอักขระสามตัวที่สง่างามและทรงพลังปักเอาไว้… สำนักจวินเทียน!
ไม่ว่าผู้ใดพบเจอล้วนเป็นต้องตกตะลึง!
เพราะสำนักจวินเทียนคือสำนักที่ทรงพลังที่สุดในสี่แคว้นรอบนอก ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้าน!
ศิษย์ของสำนักจวินเทียนสามารถอาละวาดในสี่แคว้นรอบนอกได้เพียงแค่ใช้นามของสำนัก
“บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยน สำนักจวินเทียนของเรากำลังจะจัดสุดยอดงานประชันจวินเทียนขึ้นครั้งหนึ่งในรอบพันปี ฉะนั้นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์ทุกคนกำลังมุ่งหน้าสู่แคว้นโลกา แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดกลับมายังแคว้นอุทกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้?”
ยามนี้ ชายชราในชุดคลุมสีดำกล่าวอย่างไม่เข้าใจ
ส่วนชายชราในชุดคลุมสีขาวก็กล่าวเสริมว่า “การแข่งขันในสำนักจวินเทียนมิใช่เพียงงานยิ่งใหญ่ของสำนักเท่านั้น แต่ยังมีกองกำลังนับไม่ถ้วนจากสี่แคว้นเข้ารับชม หากบุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนได้เปิดเผยความสามารถ ย่อมได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ นี่คือโอกาสหนึ่งเดียวในชีวิต บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนไม่ควรพลาด!”
“หึ ๆ อาวุโสเฮย อาวุโสไป่ ไม่ต้องกังวลไป ที่ข้ากลับสู่แคว้นอุทกคราวนี้ เพียงต้องการมารับบิดาเพื่อไปชมการแข่งขันที่สำนักจวินเทียนเท่านั้น ข้าย่อมไม่มีทางพลาดการแข่งขันของสำนักจวินเทียนแน่นอน!”
ชายหนุ่มในชุดสีม่วงซึ่งถูกเรียกขานว่า ‘บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยน’ ยกยิ้มจาง
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว อาวุโสทั้งสองจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ในใจของเขารู้สึกอิจฉาบรรพบุรุษของสำนักเทพกระบี่ยิ่งนัก เพราะบรรพบุรุษผู้นี้อยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์ระดับเทพมนุษย์เท่านั้น แต่กลับสามารถให้กำเนิดบุตรชายที่ยอดเยี่ยมเช่นบุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนได้!
ก่อนที่จะอายุสามร้อยปี เขาก็ได้เข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ และกลายเป็นหนึ่งในร้อยอันดับแรกของสำนักจวินเทียน เรียกได้ว่าอนาคตสดใสไร้สิ้นสุด!
ไม่ช้า ทั้งสามก็มาถึงสำนักเทพกระบี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังสิบอันดับแรกของแคว้นอุทก
ทว่าเมื่อมาถึงสำนักเทพกระบี่แล้ว ทั้งสามกลับต้องตกตะลึง
เพราะสำนักเทพกระบี่ตรงหน้ากลายเป็นที่รกร้างไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น? สำนักเทพกระบี่เปลี่ยนที่ตั้งงั้นหรือ?”
บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนถึงกับสับสน
จากนั้นพวกเขาก็หาใครบางคนภายในแคว้นอุทก เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากได้รู้ทุกสิ่งอย่างชัดเจนแล้ว ใบหน้าของบุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนถึงกับเผยความเย็นชาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่าน
“อืม!”
“ไอ้พวกแคว้นรกร้างถึงกับกล้าสังหารบิดาข้า!”
“บัดซบ! ราชวงศ์เทพขนนก… พวกมันคงไม่ทราบว่าข้าคือ บุตรสวรรค์แห่งสำนักจวินเทียน!”
หลังจากกล่าวคำเย็นชา บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนก็กล่าวกับผู้เฒ่าในชุดคลุมขาวดำข้างกายเสียงต่ำ “ข้าอยากแก้แค้นให้กับท่านพ่อที่ถูกราชวงศ์เทพขนนกสังหาร! รบกวนพวกท่านติดตามข้าไปแคว้นรกร้างด้วย ข้าจะทำลายราชวงศ์เทพขนนกด้วยตนเองเพื่อล้างแค้นให้กับท่านพ่อ เลือดต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น!”
อาวุโสทั้งสองพยักหน้ารับทันที “ถูกต้องแล้ว! การสังหารบิดาของบุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนนับว่าเป็นการก่อกบฏกับสำนักจวินเทียนอย่างแท้จริง พวกมันต้องถูกทำลายเท่านั้น!”
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
หลังจากนั้นทั้งสามก็กลายเป็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์มุ่งสู่แคว้นรกร้างทันที
หลังจากเดินทางอย่างเร่งรีบมานานหลายเดือน ทั้งสามก็เข้าสู่แคว้นรกร้างในที่สุด
“หืม? สถานที่แห่งนี้กลับมีพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแท้จริงอยู่!”
“สวรรค์! มันคือพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนระดับสูงสุดในตำนาน!”
ทันทีที่ทั้งสามเข้าสู่แคว้นรกร้าง พวกเขาก็มองเห็นต้นกำเนิดพลังจิตวิญญาณฟื้นคืน มันเปรียบได้กับดวงอาทิตย์ดวงใหญ่
คนทั้งสามตกตะลึงท่ามกลางความยินดี!
“บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยน ต้นกำเนิดพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนถูกค้นพบในสถานที่แห่งนี้แล้ว เรื่องนี้นับว่าสำคัญยิ่ง หากรายงานมันต่อเจ้าสำนักจวินเทียน เจ้าจะต้องได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่แน่!”
“ถูกต้อง! แม้ว่าเจ้าไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันของสำนักได้ แต่ตราบใดที่ส่งข่าวนี้กลับไป เจ้าจะต้องได้รับความโปรดปรานจากเจ้าสำนักแน่นอน!”
อาวุโสทั้งสองกล่าวคำอย่างตื่นเต้น
บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนเผยแววตาวูบไหว “อืม เราไปล้างแค้นให้ท่านพ่อก่อน แล้วค่อยกลับไปรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าสำนักที่แคว้นโลกา”
ทั้งสามเดินทางต่ออย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงเมืองหลวงเทพขนนก
“ที่นี่คือราชวงศ์เทพขนนก และกองกำลังหลักทั้งสิบแห่งแคว้นอุทกอยู่ที่นี่!”
“บิดาของข้าและบรรพบุรุษของกองกำลังอื่นล้วนแต่อยู่ในขอบเขตสูงสุดของระดับเทพมนุษย์ ทว่าพวกเขากลับตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ ข้าคิดว่าสมควรมีผู้แข็งแกร่งในระดับเทพปฐพีปกครองสถานที่แห่งนี้แน่นอน!”
เมื่อมองเมืองเทพขนนกตรงหน้า บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนพลันกล่าวคำด้วยความเคร่งขรึม
“บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เราสองคนเข้าสู่ระดับเทพปฐพีมานานหลายปีแล้ว แม้จะมีเทพยุทธ์ระดับเทพปฐพีอยู่ที่นี่จริง ก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว!”
อาวุโสทั้งสองยกยิ้มเย็นชาด้วยใบหน้าที่มั่นใจ
“เอาล่ะ มีอาวุโสทั้งสองอยู่ที่นี่ ข้าก็ไร้กังวลแล้ว!”
บุตรสวรรค์เจี้ยนเหยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะก้าวเท้าออกไปแล้วโคจรพลังภายในตันเถียนของตนเอง จากนั้นก็คำรามลั่นใส่ราชวงศ์เทพขนนก
“ราชวงศ์เทพขนนก ออกไปจากดินแดนแห่งนี้เสีย!”
ตู้ม!
พลังคลื่นเสียงไร้สิ้นสุดพัดพาพลังศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านกวาดไปทั่วเมืองเทพขนนก ทำให้ผู้คนภายในเมืองหลวงตื่นตระหนกและเร่งรีบหลบหนีกันจ้าละหวั่น