พอพูดประโยคนี้จบ มั่วเชียนเสวี่ยก็หมดแรง รูม่านตาขยายอีกครั้ง และในเวลานี้เองที่นางหมดสติไป
ครั้งนี้ไม่ได้มาจากวิญญาณเข้าจู่โจม แต่เป็นเพราะประคองร่างกายเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
หนิงเซ่าชิงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงคนที่อยู่ในอ้อมกอด เขาก็รีบตรวจชีพจรในทันที พบว่านางเป็นลมไปเพราะร่างกายอ่อนเพลีย หัวใจที่กำลังจมกลับคืนสู่ที่เดิม
เขาโอบรัดคนที่อยู่ในอ้อมอกจนแน่น เงยหน้าขึ้นด้วยความโกรธ เมฆดำครึ้มในดวงตาแผ่ซ่านไปยังอิ่งซาที่กำลังต่อสู้กับคุณชายชุดดำอยู่ ยังมีสาวใช้สองคนที่ยืนจับดาบอยู่ไม่ไหวติง
ในเวลานี้ ทำได้เพียงตัดสินใจต่อสู้อย่างรวดเร็วฉับพลัน รีบสลัดคนเหล่านี้ออกไป เชียนเสวี่ยของเขาถึงจะอยู่เย็นเป็นสุขได้จริงๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็คิดไม่ถึงว่าฉากความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ธรรมดาๆ ภายหลังมันจะกลายเป็นเช่นนี้
เขาอุ้มมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในห้อง แล้ววางนางไว้บนเตียง ดึงผ้าห่มที่อยู่ข้างๆ มาห่มให้กับนาง พลางมองนางด้วยสายตาอันลึกซึ้ง เขาหันกลับไปในทันที สั่งไฉ่สยาที่ตะลึงงันเพราะเหตุอันไม่คาดฝันด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ดูแลฮูหยินให้ดี”
เขาเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง ฝีเท้าเบามาก พลังสายฟ้าฟาดออกไปจากห้องโถง คนยังอยู่กลางอากาศ และฝ่ามือผ่าออกไปรอบด้าน
พลังของฝ่ามือนี้ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ฝ่ามือเดียวช่วยอิ่งซาผลักเฟิงอวี้เฉินให้ถอยไป ทั้งยังแยกองครักษ์สองคนที่กำลังต่อสู้กับอาซานและอาอู่ออกไปด้วย
เฟิงอวี้เฉินอดหลับอดนอนมาสองสามคืนแล้ว เมื่อวานนี้ถูกมั่วเชียนเสวี่ยทำให้ว้าวุ่นใจ เหนื่อยทั้งกายใจมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ เพราอยากเข้าใกล้มั่วเชียนเสวี่ย เขาจึงต้องยอมทนทุกข์รับฝ่ามือของอิ่งซา จนบาดเจ็บภายใน
ต่อสู้กับอิ่งซามาครึ่งค่อนวัน พลังนั้นหมดไปตั้งนานแล้ว
หนิงเซ่าชิงซัดฝ่ามือมา เขาย่อมจะหลบเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว โดนฝ่ามือนี้เข้าไป แรงสั่นสะเทือนทำให้ถอยหลังไปสามสี่ก้าวถึงจะสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
“ไสหัวออกไปให้หมด มิเช่นนั้นข้าจะสังหารอย่างไร้ความปราณี!”
หลังจากหนิงเซ่าชิงซัดพลังฝ่ามือไปที่กลางอากาศเขาหยุดนิ่ง ยืนไขว้มือไว้ด้านหลังอยู่กลางลานบ้าน
การแสดงออกทางสีหน้าของเขานั้นเย็นชา ตาเหยี่ยวหรี่มองไปยังเฟิงอวี้เฉิน
คนผู้นี้ท่าทางดูไม่ธรรมดา แต่งกายด้วยชุดดำเรียบๆ เท่านั้น แต่กลับเผยให้เห็นถึงความสง่างาม ตอนนี้ถึงแม้จะเกรี้ยวกราด อย่างไรก็ตาม หลังก็ยังเหยียดตรง ความหยิ่งทะนงที่มีอยู่ในกระดูก หากเจอได้ยาก ในยามปกติ เขาอาจจะคบหาเป็นสหายได้อยู่บ้าง
ทว่า…ในยามนี้…พวกเขาเป็นได้เพียงคู่ต่อสู้เท่านั้น
เฟิงอวี้เฉินหันหลังกลับไปมองโดยไม่เผยให้เห็นความอ่อนแอแม้แต่น้อย รู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ
คนผู้นี้ท่าทางแลดูไม่ธรรมดา ยังหนุ่มยังแน่น แต่กลับมีกำลังภายในลึกล้ำ ยืนอยู่กลางลานคนเดียว แต่กลับมีพลังที่ทำให้กองกำลังนับหมื่นนับพันกลายเป็นขี้เถ้าปลิวหายควันมลายสิ้น
เขาเป็นใคร
เขาไม่ใช่อาจารย์บ้านนอกธรรมดาๆ เป็นแน่ ดูท่าแล้วจิตใจตนเองคงสับสน ตั้งแต่แรกเริ่มเขานั้นประเมินศัตรูต่ำไป
องครักษ์ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน พลางเช็ดเลือดที่มุมปาก จากนั้นก็ถอยไปยืนอยู่ข้างๆ เฟิงอวี้เฉิน
เจ้านายไม่ได้บอกให้ถอย แม้นจะถูกเจ้าเรือนฆ่าตายอยู่ที่นี่อย่างไร้ความปรานีก็ตาม ก็ไม่อาจถอยได้
เฟิงอวี้เฉินกวาดสายตามองไปที่หนิงเซ่าชิง เจ้านายและบ่าวทั้งสี่คน แล้วก็มองไปที่ชูอีกับสืออู่ที่ยังคงยืนแน่นิ่งอยู่มุมลานเรือน เขาหัวเราะอย่างเศร้าสร้อย แล้วหันหลังเดินจากไป
เขาสูญเสียโอกาสแรกไปแล้ว ถึงจะอยู่ที่นี่ต่อไป แล้วมันจะมีความหมายอันใด ทำได้เพียงแบกรับความอัปยศนี้เอาไว้กับตนเองเท่านั้น
องครักษ์ทั้งสองเห็นเจ้านายออกไปแล้ว ก็แอบปาดเหงื่อเบาๆ เมื่อรักษาชีวิตเอาไว้ได้ชั่วคราว พวกเขาก็ย่อมที่จะรีบติดตามเฟิงอวี้เฉินออกไปด้วย
เฟิงอวี้เฉินเดินออกไปอย่างอาจหาญ หลังเหยียดตรง ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนี้ ถึงจะสามารถประคับประคองหัวใจที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ของเขาเอาไว้ได้
วิญญูชนที่แท้จริงสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเขา ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้นอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับสาวใช้สองคนนั้นเล่า
พวกนางทั้งสองเป็นคนที่ท่านอาให้ไปเป็นสาวใช้คอยดูแลเสวี่ยเอ๋อร์ ไม่ใช่พวกมือใหม่อย่างแน่นอน เห็นพวกนางถอยไปที่มุมลานเรือนเช่นนั้น เห็นได้ว่าพวกนางทั้งสองไม่ต้องการช่วย อันที่จริงเขามีข้อสรุปอยู่ในใจอยู่แล้ว
หากอยากอยู่ฝั่งเดียวกับตนเอง พวกนางก็คงลงมือนานแล้ว
ในใจของสาวใช้สองคนนี้ มีเพียงคุณหนูของพวกนางผู้เดียวเท่านั้น ตอนนี้จะต้องคิดว่าผู้ที่อยู่กลางห้องโถงเป็นเจ้านาย จะทำให้ขุ่นเคืองใจได้อย่างไร…
ทว่าดูจากความแข็งแกร่งที่คนผู้นั้นลงมือเมื่อครู่นี้ หากเขาใช้พลังทั้งหมดที่มีตอกกลับไป แม้ว่าจะชนะอย่างหวุดหวิด แต่ก็คงบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ หากมีเหตุไม่คาดฝันอื่นๆ เกิดขึ้น ถึงเวลานั้นแล้วใครจะมาดูแลเสวี่ยเอ๋อร์เล่า
ในเมื่อมาแล้ว หาเสวี่ยเอ๋อร์เจอแล้ว เขาก็ไม่รีบร้อนในวันหรือสองวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เสวี่ยเอ๋อร์ก็จำเขาได้แล้ว เขาจะต้องคิดหาแผนที่รัดกุมที่สุด เพื่อพาเสวี่ยเอ๋อร์ออกไป
เสียงหัวเราะดังลั่นของเฟิงอวี้เฉินฟังดูหยิ่งผยอง เพียงแต่พอออกมานอกประตูลานเรือน เขาก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งอึกใหญ่
เลือดที่กระอักออกมานี้มีมาตั้งแต่หนิงเซ่าชิงกดดันเขาตอนนั้นแล้ว เพียงแต่เขาจะต้องเข้มแข็ง ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้หนิงเซ่าชิงได้เห็น ดังนั้นจึงต้องกลืนมันกลับไป
ครั้งนี้มิอาจฝืนกลืนมันได้อีก และไม่จำเป็นต้องกลืนมันกลับไป ดังนั้นจึงพ่นมันออกมา
องครักษ์ทั้งสองอยากจะเข้าไปช่วยพยุง ทว่ากลับถูกเขายกมือขึ้นหยุด คนหนึ่งหันหลังขึ้นม้า ฟาดม้าแล้วออกจากหมู่บ้านหวังจยาไป
สถานที่แห่งนี้ เขาไม่อาจอยู่ได้แม้นชั่วครู่ เพียงแค่คิดว่าเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ด้วยกันกับคนผู้นี้ที่นี่ เขาก็แทบคลั่ง เรื่องราวทั้งหมด เพียงแค่รอให้ห่างจากที่นี่ไปหน่อยค่อยออกคำสั่ง
องครักษ์ทั้งสองพอเห็นว่าเจ้านายไปแล้ว ก็ขึ้นม้า เร่งควบตามไป
เมื่อได้ยินเสียงกีบม้าค่อยๆ หายไป หนิงเซ่าชิงถึงจะกวาดสายตาไปที่ชูอีและสืออู่ที่อยู่ตรงมุมลานเรือน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “เหตุใดพวกเจ้าถึงยังไม่ไปกันอีก อยากจะกดดันให้ข้าลงมือเช่นนั้นหรือ”
เสียงของเขาเอื่อยเฉื่อยราวน้ำแข็ง แววตาเบื่อหน่ายทว่ากลับแฝงไปด้วยรังสีอำมหิต หากไม่ใช่เพราะสาวใช้สองคนนี้ เชี่ยนเสวี่ยของเขาคงไม่ต้องหมดเรี่ยวแรงจนต้องล้มนอนบนเตียงเช่นนี้ และยิ่งไม่มีทางพูดจาส่งเดชอีกด้วย
แม้ว่าแววตาสุดท้ายของมั่วเชียนเสวี่ยจะชัดเจนสดใส ทว่าจิตใจของเขาก็ยังคงว้าวุ่น
เมื่อก่อน เขาเคยนึกสงสัยว่ามั่วเชียนเสวี่ยลืมอดีตไปแล้วจริงๆ หรือไม่ ตอนนี้ความสงสัยได้ถูกขจัดออกไปและในขณะเดียวกันเขาก็ดีใจที่นางสูญเสียความทรงจำในอดีตไปจริงๆ เพราะเขากลัวว่านางจะจำเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้
สืออู่จับด้ามดาบที่อยู่ด้านหลัง ชูอีก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งพลางกล่าว “โปรดระงับโทสะด้วย บ่าวทั้งสองเป็นสาวใช้ของคุณหนู ย่อมต้องการจะติดตามคุณหนู…”
ชูอีพูดจาสุภาพมาก แต่กลับไม่ได้เรียกนามของเขา ความจริงเพราะว่านางไม่รู้ว่าควรใช้คำไหนเรียกผู้ที่อยู่เบื้องหน้าดี จะเรียกว่าสามีของคุณหนู หรือจะเรียกว่านายท่าน เป็นเจ้านายของพวกนาง
ทว่า คุณหนูไม่เคยยอมรับตรงๆ พวกนางก็ไม่อาจเรียกเจ้านายได้ตามใจ
“ไสหัวออกไป!”
หนิงเซ่าชิงไม่รอให้พวกนางพูดจบ น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร
ชูอีที่เห็นว่าหนิงเซ่าชิงอยู่ภายใต้ความโกรธ ก็ได้ดึงสืออู่ที่ดื้อด้านไม่ขยับตัวออกจากประตูลานเรือนไป
ทว่า พวกนางก็ไม่ได้จากไป แต่กลับคุกเข่าอยู่หน้าประตูลานเรือน
“ชูอี เหตุใดพวกเราถึงต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่” สืออู่ไม่ค่อยจะเข้าใจ
ที่นั่นเป็นลานเรือนของคุณหนู พวกนางต้องการรอคุณหนูเหตุใดไม่อยู่รอที่เรือนเล่า ไม่ต้องออกมาก็ได้
หากคนผู้นั้นกล้าลงมือฆ่าพวกนางจริง นางไม่เชื่อว่าคุณหนูจะไม่สนใจพวกนางจริงๆ
เมื่อครู่นี้เหมือนคุณหนูจะนึกอะไรขึ้นมาได้อยู่ชัดๆ “ทำไมน่ะหรือ แน่นอนว่าเพื่อที่จะรอให้คุณหนูฟื้นขึ้นมาก่อน” ชูอีเหลือบมองไปที่สืออู่เล็กน้อย นางไม่ค่อยจะเข้าใจ
“รอให้คุณหนูฟื้น? คุณหนูเป็นอะไรหรือ” สืออู่กระโดดขึ้นมากำลังจะพุ่งเข้าไปในห้อง แต่ก็ถูกชูอีหยุดเอาไว้อีก