ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากมาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็คงจะสับสนวุ่นวายอย่างแน่นอน
ในใจของสวีลิ่งอี๋กำลังว้าวุ่น จึงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าท่าทีที่ไม่ปกติของสืออีเหนียง เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เจ้าอย่าพึ่งถามอะไรมาก ไปหาป้ารับใช้ที่สงบปากสงบคำไม่พูดมากมาดูแลเขาสักสองสามคนตามที่ข้าได้กำชับไปก็พอ!”
สืออีเหนียงนิ่งสงบในทันใด
ตอนนี้ถามไปจะมีประโยชน์อันใดเล่า
ที่สำคัญคือสวีลิ่งอี๋ต้องการจะทำสิ่งใดต่างหาก
“จะเลี้ยงดูที่ไหนดีเจ้าคะ” นางได้ยินเสียงที่หนักแน่นแต่ไม่ลุกลี้ลุกลน มีเหตุผลและสุขุมใจเย็นของตัวเอง “เรือนของข้าคนเยอะมากเรื่อง เกรงว่าคงจะไม่สะดวกเท่าไรนัก มิเช่นนั้น หาที่พักในสวนดอกไม้ดีหรือไม่ เรือนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้นฮูหยินห้าพักอาศัยอยู่ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเรือนปั้นเย่ว์พั่น ส่วนทางฝั่งฮูหยินห้าคนเข้าออกค่อนข้างเยอะ…”
สืออีเหนียงพูดเป็นนัยว่าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเงียบสงบและความเสี่ยงน้อยที่สุด
“เจ้าจัดการไปตามสมควรก็พอ” สวีลิ่งอี๋สีหน้าเคร่งขรึม “ปิดบังคนในจวนก่อนชั่วคราว”
‘ปิดบางคนในจวนก่อนชั่วคราว…’ นี่ก็หมายความว่า คนอื่นๆ ในจวนยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนเขาใช้ห่อผ้าห่อตัวเด็กหิ้วเหมือนหิ้วของเข้ามามอบหมายให้ตน ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าตอนนี้สวีลิ่งอี๋เชื่อมั่นและไว้ใจตนเป็นอย่างมาก!
ดูแล้วก่อนหน้านี้ตนคงจะตีตนไปก่อนไข้ เป็นห่วงเสียแรงเปล่าๆ กระมัง!
สืออีเหนียงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาแล้วก็นึกไปถึงว่า ใต้หล้านี้มีความลับได้ที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนทั้งคน อีกทั้งยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสารู้ความ ร้องไห้โหวกเหวกโวยวายก็เป็นเรื่องปกติ…แต่นี่เป็นภาระหน้าที่ที่สวีลิ่งอี๋มอบหมายให้ตนดูแล
นางจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาพูดขึ้นว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าใหม่ ข้าจะออกไปข้างนอกประเดี๋ยวเดียว”
เกี่ยวกับเรื่องของเด็กคนนี้น่ะหรือ
สืออีเหนียงคาดเดาในใจ จากนั้นก็พูดเตือนเขาเสียงเบาว่า “ท่านโหว โรคข้อเท้าอักเสบของท่าน…”
“ข้ารู้อยู่แก่ใจดี!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นเสียงขรึม “เจ้าดูแลเด็กคนนี้ให้ดีก็พอแล้ว!”
สีหน้าท่าทางของเขาชัดเจนอย่างมาก สืออีเหนียงจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจก็นึกเป็นห่วงว่าหากตนและเขาไปที่ห้องชำระด้วยกัน แล้วเด็กคนนี้จะวิ่งวุ่นไปทั่ว
“เรียกใครสักคนเข้ามาดูแลเด็กดีหรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปช่วยสวีลิ่งอี๋ปลดเสื้อตัวนอกออก
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “เจ้าดูว่าใครที่สามารถไว้วางใจที่สุด ก็เรียกมาเถิด!”
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา จากนั้นก็ให้คนไปเรียกตงชิงมา
สืออีเหนียงไม่ได้รู้สึกว่าคนอื่นไม่น่าไว้วางใจ เพียงแต่ว่าครอบครัวของตงชิงมีพี่น้องมากมาย นางมีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก ตงชิงเดินเข้าประตูเรือนมา เมื่อเห็นเด็กที่ตาชั้นเดียวและเหมือนสวีลิ่งอี๋ไม่มีผิด ก็ตกใจไปชั่วขณะ
สืออีเหนียงเองก็ยังไม่เข้าใจในสถานการณ์ ก็อย่าไปพูดถึงเรื่องอธิบายให้ตงชิงฟังเลย ทำได้เพียงแค่กำชับนางไปว่า “เจ้าดูแลเด็กให้ดี อย่าให้ร้องไห้โวยวายเสียงดัง และห้ามให้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกรบกวนผู้อื่นโดยเด็ดขาด”
ตงชิงจ้องมองสืออีเหนียงพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ สีหน้าของนางราวกับว่ายังไม่ได้สติแต่อย่างใด สืออีเหนียงจึงค่อนข้างเป็นกังวลใจ กลัวว่านางจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ แต่ก็เห็นว่าสวีลิ่งอี๋นั้นเดินเข้าห้องชำระไปครู่ใหญ่แล้ว คงไม่ดีที่จะเสียเวลาอีก ทำได้เพียงเน้นย้ำอีกครั้งว่า “อย่าให้ผู้อื่นรู้ว่าในเรือนมีเด็กเป็นอันขาด” จากนั้นก็รีบเดินตามเขาเข้าห้องชำระไป
เวลานั้นเอง นางก็ได้หยั่งเชิงสวีลิ่งอี๋ “เด็กน้อยมีนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ เราจะเรียกชื่อเขาว่าอย่างไรดี”
สวีลิ่งอี๋ขบกรามจนใบหน้าตึง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “เห็นว่าชื่อเฟิ่งชิง!”
เฟิ่งชิง…เด็กหญิง? แต่เหมือนจะไม่ค่อยใช่ หรือว่าเป็นเด็กชาย ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยหนักแน่นสักเท่าไรนัก
นางถามออกไปอย่างใจกล้าว่า “เด็กอายุเท่าไรแล้ว เป็นเด็กหญิงหรือว่าเด็กชาย เหตุใดถึงไม่มีแม่นมตามมาด้วยเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เม้มปากแน่น แววตาเย็นยะเยือก ก้มหน้าก้มตาล้างหน้าต่อ
สืออีเหนียงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศ จึงไม่ได้ถามต่อ ช่วยเขาเปลี่ยนเป็นชุดคลุมเผาจื่อลายดอกเป่าเซียงสีน้ำเงิน จากนั้นก็ส่งเขาออกจากห้องชำระ
ริมเตียงเตา สีหน้าท่าทางของตงชิงและเด็กน้อยยังคงเหมือนก่อนที่สืออีเหนียงจะเข้าห้องชำระไม่มีผิด ทั้งคู่ยังคงจ้องมองตาค้างและคุมเชิงกันอยู่
เมื่อเห็นทั้งนางและเขาออกมา ตงชิงก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็รีบอธิบายขึ้นว่า “เขาไม่ยอมให้บ่าวแตะต้อง บ่าวเองก็กลัวว่าเขาจะตะโกนร้องเสียงดัง จึงทำได้เพียงยืนดูอยู่ข้างๆ เท่านั้นเจ้าค่ะ” ตงชิงอธิบายว่าเหตุใดตนนั้นถึงเอาแต่ยืนอยู่ข้างๆ เตียงเตา
สืออีเหนียงกลับสังเกตเห็นว่าเด็กคนนี้เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋ก็ดูแววตาลุกโชนขึ้นมา เผยให้เห็นถึงสีหน้าแววตาดีอกดีใจ
นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เขาเพิ่งมา ย่อมกลัวคนแปลกหน้าเป็นธรรมดา ขอแค่ไม่ต้องโวยวายเสียงดังก็เป็นพอ” ถือโอกาสนี้ได้อธิบายให้สวีลิ่งอี๋ฟังไปในตัว วันข้างหน้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความผิดของนางเพียงคนเดียว
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ ถือเป็นการรับรู้ในคำอธิบายของสืออีเหนียง จากนั้นก็ได้กำชับนางว่า “เจ้าไม่ต้องออกไปส่งข้า ดูแลเด็กให้ดีก็พอ หากว่าเที่ยงแล้วข้ายังไม่กลับมา ก็เรียนท่านแม่ว่าข้าออกไปหาหวังลี่ที่จวนใต้เท้าหวังตั้งแต่เช้าตรู่ ค่ำหน่อยถึงจะกลับมา”
สืออีเหนียงขานรับพร้อมกับเดินไปส่งเขาออกจากห้องชั้นใน พอหันกลับมาก็เห็นเด็กน้อยน้ำตาคลอเบ้า จ้องมองม่านที่ยังสั่นไหวดวงตาใสแป๋ว
ในใจก็รู้สึกสั่นไหวขึ้นมา นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ท่านโหวบอกว่าเจ้าชื่อเฟิ่งชิง ปกติแล้วท่านแม่ของเจ้าเรียกเจ้าว่าอย่างไร เรียกว่าเฟิ่งชิงเลย หรือว่ายังมีชื่ออื่นอีก”
แต่แววตาของเด็กน้อยกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว หันไปมองนอกหน้าต่างด้วยอาการหวาดผวา ราวกับว่านางนั้นเป็นผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีที่กำลังจะรังแกเขาอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าเฟิ่งชิงดีหรือไม่” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนพลางนั่งลงริมเตียงเตาข้างๆ เขา
เด็กน้อยกลับรีบคว้าหมอนมากอดไว้แน่น พร้อมกับแสดงท่าทีเตรียมป้องกันตัวทันที
“ฮูหยิน ถามไปก็เสียเวลาเปล่าเจ้าค่ะ” ตงชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “เมื่อครู่นี้บ่าวถามเขาไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ แต่เขาไม่ยอมตอบเลยแม้แต่คำเดียวเจ้าค่ะ”
“ไม่ยอมตอบเลยแม้แต่คำเดียว?” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ
ตงชิงพยักหน้า “ไม่ยอมตอบเลยแม้แต่คำเดียวเจ้าค่ะ” จากนั้นตงชิงก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมา “ฮูหยิน ท่านว่าคงจะไม่ได้เป็นใบ้หรอกกระมังเจ้าคะ”
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่สวีลิ่งอี๋ห่อเขาด้วยผ้าแล้วก็หิ้วเข้ามา ตอนอยู่ในห่อผ้ารู้สึกว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย
เด็กคนหนึ่งที่อายุสอง สามขวบ ถูกคนอื่นห่อด้วยผ้าแล้วถูกหิ้วไปที่ไหนก็ไม่รู้ กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลย…นี่มันน่าแปลกเกินไปแล้ว หรือว่าเด็กคนนี้จะมีปัญหาจริงๆ แต่สายตาของเขาดูปราดเปรียวฉลาดหัวไว ไม่เหมือนกับเด็กที่มีปัญหาเสียหน่อย
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เห็นตงชิงเอื้อมมือไปดึงเด็กน้อย “ฮูหยินกำลังถามเจ้าน่ะ! หากเจ้าไม่ยอมตอบดีๆ ประเดี๋ยวจะไม่ให้กินลูกกวาดนะ” แต่ท่าทางของตงชิงดูจริงจังไปเสียหน่อย
เด็กน้อยจึงร้องไห้เสียงดังขึ้นมาพร้อมกับทั้งถีบทั้งตีตงชิง
ทั้งสองตกใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ถามผ่านม่านเข้ามาว่า “ฮูหยิน จะให้บ่าวเข้าไปช่วยอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
ตงชิงไม่ทันจะได้สนใจอะไร รีบเข้าไปปิดปากของเด็กน้อยทันที เสียงที่ทั้งแหลมทั้งดังก็เปลี่ยนเป็นเสียงอู้อี้แทน
สืออีเหนียงเองก็กลัวว่าผู้อื่นจะได้ยิน จึงไม่ได้ห้าม เพียงแต่หันไปตอบสาวใช้ว่า “ข้ามีเรื่องนิดหน่อย เจ้าไปตามหู่พั่วมาให้ข้าที”
สาวใช้ขานรับและรีบไปทันที
จู่ๆ ตงชิงก็ร้อง “ไอ๊หยา!” เสียงหลงพร้อมกับรีบปล่อยมือออก
สืออีเหนียงหันไปมอง ก็เห็นว่าเด็กน้อยกัดมือของตงชิงจนเลือดออก
เด็กคนนี้ร้ายกาจไม่เบา!
สืออีเหนียงงุนงงไปชั่วขณะ รีบนำผ้าเช็ดหน้าออกมาพันรอบมือของตงชิงไว้ จากนั้นก็หันไปมองเด็กที่ชื่อเฟิ่งชิง
เขาในตอนนี้ดูเหมือนสัตว์ร้ายตัวน้อยที่ตกลงไปในหลุมกับดัก จ้องมองนางด้วยสายตาที่ทั้งหวาดกลัวและดุร้าย
“ฮูหยิน เด็กคนนี้จะต้องอบรมสั่งสอนดีๆ ถึงจะได้เจ้าค่ะ!” ใบหน้าของตงชิงขาวซีดราวกับกระดาษก็ไม่ปาน “พี่น้องของบ่าวมีตั้งเจ็ดแปดคน แต่ก็ไม่มีสักคนที่กัดคนอื่นเช่นนี้…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น หู่พั่วก็เข้ามาพอดี
เมื่อเห็นสถานการณ์ในห้อง ก็อึ้งจนตาค้าง “ฮูหยิน นี่…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนพลางอธิบายเหตุการณ์ให้ฟังอีกรอบ เวลานี้เฟิ่งชิงขดตัวกลมอยู่ริมหน้าต่างพร้อมกับกอดหมอนใบใหญ่ไว้แน่นพลางจ้องมองมาที่พวกนาง
“คงไม่ใช่บุตรของท่านโหวหรอกกระมัง” หู่พั่วสังเกตใบหน้าของเด็กน้อยอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“แล้วนี่จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ตงชิงเริ่มเป็นกังวลใจขึ้นมา “เด็กคนนี้คงจะอายุเพียงแค่สองสามขวบเท่านั้น ตามอายุนี้ ก็พอดีกับตอนที่คุณหนูใหญ่กำลังป่วยอาการสาหัส…มิน่าเล่า ท่านโหวถึงไม่สะดวกจะพาเด็กกลับจวน!”
สืออีเหนียงรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
นางไม่ได้กลัวว่าเด็กคนนี้จะเป็นบุตรของสวีลิ่งอี๋ ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะพาเด็กกลับมาแต่ไม่ได้พามารดาของเด็กกลับมาด้วย แม้แต่คนที่ดูแลข้างกายของเด็กก็ยังไม่ได้พามาด้วยเลย เห็นได้ชัดว่ามารดาของเด็กคนนี้คงจะไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ เกรงว่าภูมิหลังคงเทียบสวีซื่ออวี้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่ใช่บุตรชายคนโต ไม่สามารถสร้างความอันตรายให้จุนเกอได้เลยแม้แต่นิด สิ่งที่นางเป็นกังวลใจก็คือกลัวว่าตนนั้นจะไม่สามารถเรียนสวีลิ่งอี๋ได้ ในเมื่อเขาตั้งใจจะปิดบังทุกคนไว้ก่อนชั่วคราว อีกทั้งยังพาเด็กคนนี้กลับมาแล้วด้วย เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาคงจะตั้งใจรับเด็กคนนี้ไว้ แต่ก็ยังปกปิดไว้ก่อน เวลานี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเขานั้นนำเด็กน้อยคนนี้เข้ามาในตระกูล แล้วยังออกไปข้างนอกโดยที่ไม่สนใจอะไร ทั้งๆ ที่ตนเป็นโรคข้อเท้าอักเสบอยู่ และก็คงจะออกไปวิ่งเต้นจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กน้อยคนนี้อย่างแน่นอน ไม่แน่บางทีอาจจะสร้างตัวตนปลอมให้เด็กคนนี้ขึ้นมาใหม่เสียด้วยซ้ำ แต่ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกจัดการจนเรียบร้อย แน่นอนว่าการมีตัวตนของเด็กคนนี้ คนรู้ยิ่งน้อยเท่าไรก็จะยิ่งดี...
สืออีเหนียงคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา
แต่ปิดบังคนในจวน…จะปิดบังอย่างไรเล่า อย่าพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่จะพาเด็กคนนี้ไปยังสวนดอกไม้ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ตนไม่ได้มีแรงเช่นสวีลิ่งอี๋ ที่สามารถหิ้วเด็กคนนี้เข้ามาได้ด้วยมือเดียว และถึงแม้ว่าตนจะมีแรงพอ แต่จะอธิบายกับผู้อื่นอย่างไร…เมื่อคิดเช่นนี้ ก็เหมือนจะคิดอะไรออก สู้เลียนแบบวิธีของสวีลิ่งอี๋ ใช้ภาชนะย้ายเด็กคนนี้ไปยังเรือนปั้นเย่ว์พั่น?
เมื่อนึกถึงเรือนที่ออกจะขลังอย่างเรือนปั้นเย่ว์พั่นของสวีลิ่งอี๋ จู่ๆ ก็มีเด็กที่ไหนไม่รู้โผล่มาสักคน นางก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เผยรอยยิ้มที่ร้ายกาจออกมาอย่างมีความสุข
ใช่แล้ว ทำตามนี้เลยก็แล้วกัน!
อย่างไรเสียตนก็เคยพูดไปแล้ว ว่าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเงียบสงบที่สุด…
สืออีเหนียงไม่สนใจตงชิงที่เอาแต่พูดไม่หยุดหย่อน หันไปปรึกษากับหู่พั่วว่า “มีของจำพวกตะกร้าหวายหรือไม่ เราใส่เด็กเข้าไปในตะกร้าหวาย จากนั้นก็ให้ป้ารับใช้ที่ทำงานใช้แรงเป็นคนยกไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น บอกว่าเป็นของใช้ประจำวันที่ท่านโหวสั่งให้นำไปไว้ จากนั้นก็หาคนที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้อยู่ดูแลที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น รอท่านโหวกลับมาแล้วค่อยว่ากัน!”
“เรือนปั้นเย่ว์พั่น?” ตงชิงสีหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที “นั่นเป็นห้องหนังสือของท่านโหวนะเจ้าคะ คนที่ไม่มีตำแหน่งประจำจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ถ้าหากท่านโหวรู้เข้า เกรงว่าจะโมโหเป็นการใหญ่ อีกอย่าง เรือนปั้นเย่ว์พั่นห่างจากเราใช้เวลาสองเค่อเห็นจะได้ ให้ป้ารับใช้ปรนนิบัติดูแลอยู่ที่นั่นไม่ยาก แต่เรื่องอาหารการกินเล่า การซักล้างแบบลงแป้งในแต่ละวันอีกจะทำอย่างไร จู่ๆ ก็มีเสื้อผ้าของเด็กโผล่มาเช่นนี้ จะไปอธิบายอย่างไรเจ้าคะ”
หู่พั่วพูดขึ้นเสียงขรึมว่า “ฮูหยิน ความคิดนี้บ่าวรู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว ปกติที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นก็ไม่มีคนกล้าไปอยู่แล้ว หากมีอะไรเคลื่อนไหว ทุกคนก็ไม่กล้าจะเข้าไปตามอำเภอใจ ส่วนเรื่องอาหาร ตอนบ่าวไปหาท่านโหวครั้งที่แล้ว ก็เห็นว่าที่นั่นมีครัวเล็กๆ อยู่ด้วย ประตูทางทิศตะวันออกสามารถเชื่อมตรงไปยังซอกทางเดินของเรือนนอกได้ ส่วนการซักล้างแบบลงแป้งประจำวัน ก็คิดหาวิธีไปตากหลังเรือน อย่างไรเสียก็จะต้องหาที่กำบังได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ ไม่ได้!” ตงชิงยังคงรู้สึกว่าไม่เหมาะควร “นั่นเป็นห้องหนังสือของท่านโหว…”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า “เขาสามารถทิ้งเด็กคนหนึ่งให้เราเช่นนี้ได้ แล้วเหตุใดเราถึงไม่สามารถใช้เรือนปั้นเย่ว์พั่นของเขาเล่า…จะให้เรามาแบกรับความผิดแทนเขาหรืออย่างไรกัน”
หู่พั่วเห็นสืออีเหนียงเผยแววตายิ้มกรุ้มกริ่มออกมา ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แต่ก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง “ฮูหยิน ท่านควรปรึกษาท่านโหวเสียหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
สำหรับบุรุษแล้ว นี่คือหนี้สินของความเจ้าชู้…แต่ถ้าหากทำได้ดี ไม่แน่บางทีอาจจะถูกเล่าไปในทิศทางที่ดีก็เป็นได้ สืออีเหนียงไม่เหลือช่องว่างให้ได้พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย
แต่นางสามารถตัดรูบนชุดจิ่นเผาได้ ให้สวีลิ่งอี๋ได้ปวดหัวเสียหน่อยจะเป็นไรไป!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเป็นร้อยเท่า “หู่พั่ว ไป…ไปหาตะกร้าหวายมาสักใบ!”