ลู่เจียวกลับเข้าห้องมาก็พบว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังเหม่อลอย นางอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ ไม่สบายตรงไหน?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้สติ เหลือบตาขึ้นมองลู่เจียว
เขาคิดถึงว่าลู่เจียวรักซื่อเป่ามาก เขาไม่อยากให้ลู่เจียวรู้ว่าซื่อเป่าไม่ใช่ลูกของพวกเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไปก็หัวเราะไป กล่าวว่า “ข้าคิดถึงเรื่องเจียวเจียวรักษาให้อ๋องเยียน เช่นนี้นับว่า อ๋องเยียนติดค้างพวกเราไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “ใช่แล้ว หากวันหน้าเจอกับเรื่องยุ่งยากอะไรจริง ก็ไปขอให้อ๋องเยียนช่วยได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวด้วยความรู้สึกร่วมลุ่มลึกว่า “เจียวเจียว ดวงเจ้าไม่ได้ดีธรรมดาจริงๆ รักษาดึงลูกธนูให้ไปอย่างนั้น ถึงกับเป็นอ๋องเยียนแคว้นต้าโจว ต่อแขนให้คนไปอย่างนั้น คนผู้นั้นถึงกับเป็นแม่ทัพแคว้นต้าโจว วันหน้าข้าก็หวังให้เจียวเจียวคุ้มครองข้าแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหยอกล้อทำเอาลู่เจียวยิ้มแย้ม นางยกมือตบไหล่เซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “วางใจ วันหน้า พี่สาวจะปกป้องเจ้าเอง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดนาง ก็เลิกคิ้วเผยสีหน้าชั่วร้าย
“พี่สาว?”
ที่แท้ลู่เจียวอายุมากกว่าเขา?
ลู่เจียวรีบหัวเราะแหะๆ ตัวจริงของนางอายุมากกว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นหนึ่งปี ดังนั้นนางพูดว่าพี่สาวจึงไม่ผิดอะไร
บนเตียง เซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันยื่นมือออกไปกุมมือลู่เจียว ถามน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจียวเจียว เจ้าบอกข้าได้ไหมว่า เมื่อก่อนเจ้าเป็นอย่างไร”
ลู่เจียวอึ้งไปทันที นอกประตู เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กำลังวิ่งเจ้ามาพอดี ทำให้นางได้สติ
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
ลู่เจียวรีบสะบัดมือเซี่ยอวิ๋นจิ่นทิ้ง หันหน้าไปทักทายเจ้าหนูน้อยทั้งสี่
“ลูกรักของแม่ เลิกเรียนแล้วหรือ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่วิ่งมาตรงหน้านาง พยักหน้าหงึก “ใช่แล้วท่านแม่”
ลู่เจียวนึกถึงเรื่องที่รับปากเอ้อร์เป่าว่าจะเขียนนิทานให้เขาเป็นแม่ทัพ ก็ยิ้มกล่าวว่า “รีบไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ตอนบ่ายแม่จะเล่นละครกับพวกเจ้า ครั้งนี้ให้เอ้อร์เป่าเป็นแม่ทัพ”
เอ้อร์เป่าได้ฟังก็ดีใจมาก ทำตาโตจ้องมองลู่เจียว “ท่านแม่ จริงหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้ากล่าวชมว่า “อืม ครั้งนี้เอ้อร์เป่าตกอยู่ในมือคนชั่ว ไม่ร้องไห้ไม่งอแง ยังดูแลหันหนานเฟิง แม่รู้สึกว่าวันหน้าเจ้าต้องเป็นแม่ทัพที่ดี ไม่เพียงแต่ร้ายกาจยังดูแลพลทหารลูกน้องได้ดีมาก”
เอ้อร์เป่าถูกลู่เจียวชมจนเลือดในกายร้อนระอุ ยืดอกกล่าวว่า “วันหน้าข้าจะยิ่งกล้าหาญ ข้าจะปกป้องตนเองและพลทหารลูกน้อง”
“ใช่ ตอนบ่ายเจ้าก็แสดงอย่างนี้”
“ขอรับ ท่านแม่”
เพราะเรื่องที่เกิดกับเอ้อร์เป่าก่อนหน้านี้ หนูน้อยอีกสามคนรู้สึกสงสารเขา ดังนั้นครั้งนี้แต่ละคนก็พากันชมเขา
“ข้ารู้สึกว่าเอ้อร์เป่าวันหน้าต้องได้เป็นแม่ทัพที่ฉลาดและกล้าหาญแน่นอน”
ต้าเป่ากล่าวจบ ซานเป่าพยักหน้าเต็มแรง จากนั้นก็มองเอ้อร์เป่ากล่าวว่า “เอ้อร์เป่า รอไว้เจ้าเป็นแม่ทัพ จะต้องปกป้องข้ากับซื่อเป่านะ”
เอ้อร์เป่าตบหน้าอกเสียงดังป้าป “เราพี่น้องกัน แน่นอนว่าถึงตอนนั้นผู้ใดรังแกพวกเจ้า พวกเจ้าก็มาหาข้า ข้าจะพาคนไปช่วยพวกเจ้าจัดการคนเลว”
ซานเป่ากับซื่อเป่าหัวเราะฮาลั่น
ลู่เจียวเห็นเอ้อร์เป่าไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ตกอยู่ในมือศัตรูอีกแล้ว นางก็วางใจ มองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวว่า “เอาละ พวกเจ้าไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ได้แล้ว”
เด็กๆ ที่มาเรียนที่ตระกูลเซี่ย ตอนเที่ยงก็จะกินข้าวที่บ้านตระกูลเซี่ย เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็กินกับพวกเขา ไม่มีอะไรพิเศษกว่า
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังลู่เจียวก็พยักหน้าเล็กน้อย วิ่งไปตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นหอมแก้มเขาคนละที
“ท่านพ่อรักษาบาดแผลอย่าดื้อนะ ตอนเย็นข้ามาสอนท่านนับเลข”
“ท่านพ่อ ตอนเย็นข้ากลับมาแสดงบทแม่ทัพให้ท่านดู”
“ท่านพ่อ พวกเราไปกินข้าวแล้ว ให้ท่านแม่กินข้าวเป็นเพื่อนท่านพ่อ”
“ท่านพ่อพูดจาดีๆ มากๆ ให้ท่านแม่ฟัง นางก็จะดีใจกินข้าวเป็นเพื่อนท่านพ่อนะ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวจบก็วิ่งออกไป ลู่เจียวด้านหลังไร้วาจาจะกล่าว มองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่วิ่งออกไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงด้านหลังกล่าวว่า “เจียวเจียว ข้าหิวแล้ว”
ลู่เจียวรีบสั่งให้หลินตงนำอาหารที่เตรียมไว้เข้ามา นางกินอาหารกลางวันเป็นเพื่อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเจ็บไหล่ซ้าย ดังนั้นไม่ส่งผลต่อการกินข้าว ลู่เจียวกินข้าวเป็นเพื่อนเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงว่าเรื่องที่เขาถามลู่เจียวไว้ก่อนหน้านี้ ก็อดเอ่ยอีกครั้งไม่ได้ว่า “เจียวเจียว เมื่อก่อนเจ้าเป็นอย่างไร”
ลู่เจียวอดคิดถึงเรื่องราวภพก่อนแต่ละเรื่องขึ้นมาไม่ได้ ความทรงจำไม่ได้สลักลึกอะไรขนาดนั้นแล้ว
นางชินกับชีวิตตอนนี้แล้วหรือ
ลู่เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่คิดเล่าเรื่องต่างๆ ในภพก่อน มีอะไรจะเล่ากัน บิดามารดาหย่ากันตั้งแต่นางยังเด็กแค่แปดขวบ นางอยู่โรงเรียนประจำ พอปิดเทอมหน้าหนาวก็ถูกบิดามารดาผลักไสกันไปมา สุดท้ายยังคงไม่ได้ไปอยู่บ้านบิดามารดา แต่ไปอยู่บ้านญาติแทน
ต่อมาพอจบมหาวิทยาลัย ก็เข้าไปเป็นหมอทหารในกองทัพ วันทั้งวันคิดแต่เรื่องวิชาการ พยายามช่วยชีวิตคน
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีอะไรจะเล่า”
นางกล่าวจบก็เงียบไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นท่าทางนาง เหมือนว่าภพก่อนของนางไม่ค่อยเบิกบานใจ ดังนั้นเขาเองก็ไม่กล้าถามนางแล้ว หลังจบการกินข้าวมื้อเงียบๆ ไป ลู่เจียวก็กลับไปพักผ่อนที่เรือนด้านหลัง
ตอนบ่ายนางไม่ได้ออกไปไหน ไม่เพียงแค่สอนพวกเด็กๆ เรียนคำนวณเศษส่วน ยังสอนเล่นละคร และการเล่นแข่งขัน พวกลูกทั้งสี่ดีใจมาก
ตอนกินอาหารเย็นก็เอาแต่เล่าเรื่องพวกนี้ ลู่เจียวรู้สึกอารมณ์ดีตามพวกเขาไปด้วย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนางเบิกบานใจ ในใจก็โล่งอก แอบตัดสินใจว่าวันหน้าจะไม่ถามเรื่องภพก่อนของลู่เจียวอีก
ภพก่อนนางต้องไม่มีความสุขอย่างแน่นอน ดังนั้นวันหน้าเขาห้ามถามอีก
หลังกินอาหารเย็น ลู่เจียวตั้งใจว่าจะพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปนอนที่เรือนด้านหลัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบทำเสียงน้อยใจขึ้นมาทันที “เจียวเจียว ข้ายังเป็นผู้ป่วยนะ”
ดังนั้น?
ลู่เจียวหันไปมองเขา เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า “คืนนี้ไม่รู้บาดแผลจะอักเสบไหม”
ลู่เจียวค้อนตาเขียว เซี่ยซานโก่ว พวกเราอย่าได้เสแสร้งกันอย่างนี้ได้ไหม
แต่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เป็นห่วงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนเงยหน้ามองลู่เจียวกล่าวว่า “ท่านแม่ คืนนี้ท่านแม่นอนเป็นเพื่อนท่านพ่อแล้วกัน”
“พวกเรากลับไปนอนเรือนด้านหลังเองได้”
“ท่านแม่ หากท่านแม่กลับไปนอนแล้วท่านพ่อเป็นไข้อีกจะทำอย่างไร”
“ใช่ ท่านพ่อบาดเจ็บ คืนนี้ท่านแม่เป็นเพื่อนท่านพ่ออีกคืนนะ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวจบก็วิ่งออกไป กล่าวกับเฝิงจือว่า “พี่เฝิงจือ ไปนอนเรือนด้านหลังกับพวกเรานะ”
“เจ้าค่ะ คุณชายน้อย”
เฝิงจือพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนที่เรือนด้านหลัง
ในห้องนอนเรือนด้านหน้า ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างไม่พอใจ กล่าวว่า “แย่งชิงกับบุตรชาย หน้าตายังมีไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบทำเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เจียวเจียว ความจริงข้าก็เป็นเด็กโตนะ”
วาจาเขาทำเอาลู่เจียวนึกขำ เด็กที่ไหนโตตัวโตขนาดนี้ เซี่ยซานโก่ว เจ้าเป็นสุนัขจริงด้วย