“…!”
อินซอบรู้สึกเหมือนเลือดทั้งตัวไหลออกทางใต้เท้า
เขาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหน
“ขะ ขอโทษครับ ผมจะห้ามแล้ว แต่กรรมการผู้จัดการคิมกำชับผมอยู่หลายครั้งว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ห้ามเข้าไปยุ่ง…”
แม้แต่คิมคังอูก็มีแววตาหม่นหมองและพูดจาอึกอักต่างไปจากปกติ เพราะตื่นตระหนกไม่น้อย พอเห็นว่าอินซอบนิ่งไป ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร คิมคังอูก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า ‘เป็นอะไรหรือเปล่าครับ’
“…ไม่เป็นไรครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
อินซอบที่ตกตะลึงจนหน้าซีดเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก
“ไม่เลยครับ ฮยองนิมขอโทษเรื่องอะไรล่ะ ทำไมไอ้คังยองโมนั่นถึงทำแบบนั้นล่ะครับ ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นเพียงเพราะฮยองนิมบอกว่ามีแฟนด้วยล่ะ เขาบ้าหรือเปล่า”
โชคดีที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเรื่องที่พูดกันทั้งหมด ความโล่งใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้อินซอบคลายความเกร็งลง และทรุดลงนั่งตรงนั้น คิมคังอูวางกาแฟลง และเข้ามาพยุงอินซอบให้รีบลุกขึ้น
“ต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่าครับ ให้ผมเรียก 119 ไหมครับ”
คิมคังอูถามด้วยความตกใจ เพราะเขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสภาพร่างกายของอินซอบมาก่อนแล้ว อินซอบส่ายหน้า
“ไม่ต้องครับ …ผมหายเครียดแล้วครับ”
พอความเครียดคลายลง น้ำตาก็ไหลทะลัก อินซอบซบหน้าลงกับเข่า และกัดริมฝีปากล่างไว้เพราะนึกถึงคำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าห้ามร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด และเขาก็ไม่อยากร้องไห้ด้วยเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคิมคังอูที่เด็กกว่าด้วย
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอครับ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติตรงที่โดนตีใช่ไหมครับ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ผมน่าจะถ่ายวิดีโอเอาไว้”
อินซอบกลัวว่าใครจะเห็น เขาเลยรีบเช็ดน้ำตาและลุกขึ้น
“ขอโทษนะครับฮยองนิม ผมควรจะเข้ามาห้ามแท้ๆ…”
“ไม่หรอกครับ คุณทำได้ดีแล้วครับ”
ด้วยนิสัยของคังยองโมแล้ว ถ้าใครเข้ามายุ่ง เรื่องน่าจะใหญ่กว่านี้แน่นอน ยอมถูกอีกฝ่ายระบายความโกรธใส่สักครั้งและปล่อยให้มันผ่านไปน่าจะดีกว่า
“คุณคังอูครับ”
อินซอบเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง คิมคังอูจึงตอบว่า ‘ครับ’ ด้วยสีหน้าตึงเครียด
“ก็อย่างที่เห็นนะครับว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณคังยองโมกับคุณอีอูยอนไม่ดีเท่าไร มีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยในระหว่างที่ถ่ายละครคราวก่อนน่ะครับ ทางบริษัทเองก็ดูแลในเรื่องนี้อยู่เหมือนกันครับ”
แต่ต่อให้ดูแลอย่างไร การเจอกันที่สถานีโทรทัศน์เหมือนวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อินซอบคิดว่าโชคยังดีที่คนที่เจอกับคังยองโมไม่ใช่อีอูยอนแต่เป็นตน
“กรรมการผู้จัดการเองก็บอกเอาไว้แล้วล่ะครับ ว่าให้ระวังคังยองโมเป็นพิเศษ”
คิมคังอูเกาหัวก่อนจะพูดต่อ
“แถมยังบอกด้วยว่าถ้าเกิดการเผชิญหน้ากับคุณอีอูยอนขึ้นมาจริงๆ อย่าคิดที่จะเข้าไปยุ่ง และให้โทรศัพท์หาเขาแทนครับ ขอโทษนะครับ ถึงจะเป็นเพราะคุณขอร้อง แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดี”
“ไม่หรอกครับ ผมเอง…”
เลือดกำเดาที่หยุดไปแล้วไหลลงมาอีกครั้ง อินซอบรีบเอนหัวไปด้านหลัง
“บาดเจ็บมากหรือเปล่าครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
อินซอบเผยยิ้ม คิมคังอูกระสับกระส่ายและใช้ทิชชูเช็ดหน้าให้อินซอบ
“ตอนนี้คงจะเชื่อแล้วสินะครับว่าที่คุณอีอูยอนพูดเป็นเรื่องล้อเล่นทั้งหมด”
คำพูดของอินซอบทำให้คิมคังอูถอนหายใจและขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ยังมาพูดแบบนั้นอีกเหรอครับ อีกอย่างผมก็รู้ด้วยว่าฮยองนิมจงใจยอมให้ คังยองโมอะไรนั่นคิดว่าเป็นดาราแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง”
คิมคังอูฮึดฮัดและเข้าข้างอินซอบ เขาเป็นเด็กหนุ่มนิสัยดีและตรงไปตรงมา อินซอบเข้าใจแล้วว่าทำไมกรรมการผู้จัดการคิมถึงเอ็นดูคิมคังอูที่สุดในบรรดาน้องภรรยา
“ผมขอร้องอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”
อินซอบมองคิมคังอูก่อนจะเปิดปากพูด
“ครับ บอกมาได้ทุกอย่างเลยครับ”
“ช่วยเก็บเรื่องคังยองโมและเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นความลับด้วยนะครับ ทั้งกับคุณอีอูยอนและกรรมการผู้จัดการด้วย”
ถ้าเรื่องนี้ถึงหูกรรมการผู้จัดการคิม ความเป็นไปได้ที่อีอูยอนจะรู้ก็สูงขึ้นไปด้วย
“แต่…”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริงๆ ครับ เดิมทีคุณคังยองโมก็ทะเลาะกับพวกสตาฟบ่อยๆ อยู่แล้ว ผมไม่อยากทำให้พวกเขากังวลด้วยเรื่องแบบนี้น่ะครับ”
อินซอบทำตาโตและตื๊ออย่างสุดชีวิต เมื่อเห็นว่าคิมคังอูไม่สามารถตอบรับได้ในทันที อินซอบก็ก้มหัว
“ขอร้องล่ะครับ”
“ฮยองนิม อย่าทำแบบนี้สิครับ”
คิมคังอูรีบจับให้อินซอบยืนตัวตรง
“ถ้าทำแบบนี้ ผมก็กลายเป็นคนไม่ดีไปน่ะสิครับ แค่เมื่อกี้ที่ผมเอาแต่มองอยู่เฉยๆ ก็รู้สึกผิดจะตายอยู่แล้ว”
คิมคังอูถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำอย่างที่ฮยองนิมบอก ถึงการไม่ยอมบอกพี่เขยจะเสียดแทงใจผมอยู่สักหน่อยก็เถอะ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เมื่อกี้ผมน่าจะวิ่งเข้ามาห้าม”
“ขอบคุณมากครับ”
“แต่ฮยองนิมก็ต้องทำตามที่ผมขอด้วยนะครับ”
“ขอเหรอครับ”
อินซอบเหลือบตามองด้านบนขณะที่ยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกอยู่ คิมคังอูพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ
“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกครับ”
ดวงตาที่ดูกระตือรือร้นของคิมคังอูมีรอยยิ้มประดับอยู่
***
“กินให้อร่อยนะคะ”
พนักงานของร้านวางเนื้อลงบนโต๊ะและชำเลืองมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ สายตานั้นดูเหมือนอยากจะพูดอะไรอีกสักอย่าง แต่เหมือนพนักงานของร้านจะตัดสินใจได้ว่านี่ไม่ใช่บรรยากาศที่ควรจะพูดอะไรออกไปจึงปิดประตูและจากไปทันที
“ผมย่างให้เองครับ”
คิมคังอูรีบหยิบที่คีบขึ้นมาและวางเนื้อลงบนเตาปิ้งย่าง
ฉ่า เสียงเนื้อกำลังสุกกระจายไปทั่วห้อง
“…ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”
หัวหน้าทีมชาที่ทำหน้าซีดเผือดและเงียบอยู่นานเปิดปากพูดอย่างยากลำบาก
“ก็มาร่วมกินข้าวด้วยกันในบริษัทไงครับ ถ้าจะถามเหตุผลน่ะนะ”
อีอูยอนเช็ดมือด้วยผ้าก่อนจะตอบอย่างหน้าตาเฉย
“เพราะแบบนั้นฉันถึงได้ถามไงว่าทำไมถึงมีนายอยู่ในการกินข้าวร่วมกันของพวกผู้จัดการด้วย”
“แต่กรรมการผู้จัดการก็อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ”
อีอูยอนพยักพเยิดหน้าไปทางกรรมการผู้จัดการคิม
“ก็ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนายนี่ ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ”
“แล้วกรรมการผู้จัดการก็เป็นเจ้ามือด้วย”
หัวหน้าทีมชารีบพูดเสริม ทำเป็นช่วยกรรมการผู้จัดการคิม
“ใช่แล้ว นาย…อะไรนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมกรีดร้องก่อนจะมองหัวหน้าทีมชาเขม็ง
“งั้นคิดว่าการที่ผมหนีบเอาประธานบริษัทมาในที่ที่พวกพนักงานเขาจะเที่ยวเล่นกันมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอครับ”
“พวกเด็กๆ ในบริษัทของฉันชอบเที่ยวเล่นกับฉันมาก”
“กรรมการผู้จัดการเองก็มีมุมที่ใสซื่ออยู่เหมือนกันนะครับ ที่เชื่อคำพูดพวกนั้น”
“ไม่นะครับ ผมชอบอยู่กับกรรมการผู้จัดการจริงๆ นะครับ”
อินซอบเอ่ยแทรกบทสนทนาของคนทั้งคู่ด้วยเสียงที่ขลาดกลัวทว่าหนักแน่น
“ฮ่าๆ นั่นสินะ พาอีอูยอนมาที่นี่เพราะชอบไปไหนมาไหนกับฉันมากนี่เอง”
กรรมการผู้จัดการคิมเปิดขวดโซจู และรินเหล้าพลางพึมพำเหมือนพูดคนเดียว
“…ขอโทษครับ”
อินซอบตอบโดยที่ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้
“ทำไมถึงทำแบบนั้นกับฮยองนิมล่ะครับ คนที่ชวนให้มาที่นี่ด้วยกันคือผมต่างหาก”
คิมคังอูรีบช่วยขวางการโจมตีของกรรมการผู้จัดการคิม
“ใช่แล้ว คังอู นายเก่งมากที่พาอินซอบมา…”
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนที่กำลังยื่นแก้วโซจูมาตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ
“แต่หมอนั่นมาทำไมกันแน่”
“ผมเองก็อยากดื่มสักแก้วเหมือนกันนี่ครับ”
อีอูยอนดันแก้วโซจูเบาๆ กรรมการผู้จัดการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะรินโซจูให้จนเต็มแก้ว
“…อย่าดื่มเยอะนะครับ พรุ่งนี้มีให้สัมภาษณ์”
อินซอบพูดกับอีอูยอนเงียบๆ อีอูยอนยิ้มร่าแทนคำตอบก่อนจะกระดกโซจูเข้าปาก วันนี้อีอูยอนได้รับข้อความจากอินซอบว่า ‘หลังเสร็จงานวันนี้พอจะมีเวลาให้ผมสักครู่ไหมครับ’ ทันทีที่อ่านข้อความ อีอูยอนก็รีบเดินไปตามทางเดินของสถานีโทรทัศน์อย่างกับจะวิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่อินซอบขอเจอเขาก่อนหลังจากที่เว้นระยะห่างกัน
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับเปิดประตูห้องพัก อินซอบที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นเขา แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของอินซอบกลับเหนือความคาดหมาย
“ก็พวกผู้จัดการจะประชุมลับกันโดยไม่มีผมนี่ครับ ผมเลยสงสัยจนนอนไม่หลับ”
อีอูยอนแกว่งแก้วโซจูเบาๆ พลางพูด เป็นท่าทางที่เหมือนภาพวาด เหมือนหลุดออกมาจากโปสเตอร์โฆษณาโซจู
“ถ้าเป็นการประชุมลับก็ปล่อยให้เป็นความลับไปสิ นายจะตามมาด้วยทำไมล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเทโซจูจนเต็มแก้วโซจูของอีอูยอนอีกครั้งเหมือนจะให้กินให้ตายก่อนจะบ่นพึมพำ
“ก็ผมสงสัยนี่ครับว่าจะคุยเรื่องสำคัญขนาดไหน”
อินซอบกลืนโซจูเข้าไปรวดเดียวอีกครั้ง
อินซอบไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ เลย เขาขอเวลาอีกฝ่าย เพราะมีเรื่องที่จะพูดก่อน แต่พอเขาขอผัดไปเป็นวันพรุ่งนี้ เขาก็ไม่มีหน้าที่จะเจออีอูยอนแล้ว
“ผมชวนฮยองนิมอินซอบมาด้วย เพราะพี่เขยบอกว่าจะเลี้ยงเหล้าผมที่ผมทำงานหนักน่ะครับ”
คิมคังอูวางเนื้อที่ย่างแล้วลงบนจานตรงหน้าอินซอบพลางเอ่ย
คิมคังอูขอให้อินซอบมาดื่มเหล้าด้วยกันเป็นค่าตอบแทนที่ให้ตนปิดปากเงียบเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ นอกจากเขาจะได้รับการติดต่อจากพี่เขยคนที่สอง หรือหัวหน้าทีมชาให้ดูแลอินซอบดีๆ แล้ว เขาก็อยากจะดื่มเหล้ากับอินซอบสักครั้งด้วย ดังนั้นเขาก็เลยชวนอินซอบมาด้วยกันหลังจากนึกขึ้นได้ว่าจะไปดื่มเหล้ากับพวกพี่เขยหลังเสร็จงาน
แม้จะคาดไม่ถึงว่าอินซอบจะอ้ำอึ้งไปพักหนึ่งถึงจะตอบตกลง ทั้งที่คิดว่าจะตอบรับอย่างยินดี และยิ่งคาดไม่ถึงไปกันใหญ่ว่าอีอูยอนจะตามมาด้วยก็ตาม
“ในวงเหล้าน่ะ ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งดีนี่ครับ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอครับ”
คิมคังอูที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอนร่ายยาวด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“…ก็ขึ้นอยู่กับคน”
หัวหน้าทีมชาพึมพำด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยินพลางยกโซจูขึ้นดื่ม
“คนป่วยดื่มเหล้าได้ด้วยเหรอครับ”
อีอูยอนถามด้วยท่าทีที่แกล้งทำว่าเป็นห่วง
“มันช่วยฆ่าเชื้อให้แผลนะ โซจูน่ะไม่เป็นไรหรอก ไม่งั้นจะมีคำว่าเหล้ายาเหรอ…คุณอินซอบ เขียนอะไรน่ะ”
“กำลังเขียนเกี่ยวกับประโยชน์ของโซจูอยู่ครับ”
อินซอบที่เขียนตัวหนังสือลงไปในสมุดโน้ตตอบในสภาพที่กำปากกาเอาไว้
“ถ้าผมบาดเจ็บ คุณคงจะให้ผมกินโซจูโดยไม่ปรึกษาหมอสินะครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วเคาะสมุดโน้ตของอินซอบพลางเอ่ย
“มีพวกปริมาณยาที่ต้องใช้ไหมครับ”
ทุกคนหัวเราะให้กับคำถามที่ระมัดระวังของอินซอบ
“ก็ต้องกินยาตามที่ได้รับใบสั่งยามาจากหมอสิครับ”
อีอูยอนพูดเสียงเรียบ อินซอบจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ตายแน่อินซอบ ใสซื่อขนาดนั้นแล้วจะออกไปเผชิญโลกที่อันตรายขนาดนี้ได้ยังไง”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ แค่ออกไปเผชิญกับผมก็ได้แล้ว”
อีอูยอนที่รับบทอุปสรรคที่อันตรายที่สุดในชีวิตของอินซอบเอ่ยตอบแทนพลางยิ้มอย่างสดใส กรรมการผู้จัดการคิมเดาะลิ้นก่อนจะเบือนหน้าหนีราวกับเห็นสิ่งที่ทนดูไม่ได้
“งานเป็นไงบ้าง พอทำได้ไหม?”
คิมคังอูพยักหน้าให้กับคำถามของหัวหน้าทีมชา
“ทำได้ครับ วันนี้ผมเห็นดาราเยอะแยะเลยครับ”
“พวกดารามีอะไรพิเศษกันล่ะ ก็เป็นคนเหมือนกันนั่นแหละ”
หัวหน้าทีมชารินเหล้าใส่แก้วของคิมคังอู ความเอ็นดูปรากฏอยู่ในสายตาที่มองน้องภรรยาที่เด็กกว่ามาก
“อันที่จริงผมยังตื่นเต้นเวลาเจอคุณนักแสดงอีอูยอนอยู่เลยครับ เพราะเขาหล่อมากๆ”
คิมคังอูแกล้งทำเป็นเอามือมาปิดปากก่อนจะพูดต่อ
“…หล่อมากจริงๆ หล่อจนไร้ประโยชน์”
กรรมการผู้จัดการคิมเคี้ยวเนื้อเหมือนสู้รบและเอ่ยสนับสนุนคำพูดของคิมคังอู อีอูยอนหัวเราะเบาๆ พลางดื่มเหล้า อินซอบที่กระสับกระส่ายในตอนแรกเริ่มปล่อยใจ และจิบโซจูที่วางอยู่ตรงหน้า เพราะบรรยากาศสบายๆ
“ฮยองนิมคอแข็งไหมครับ”
“ฉันเหรอ แค่สองสามแก้วเอง ดื่มไม่ค่อยเก่งเท่าไรน่ะ”
คนอื่นๆ ยกเว้นคิมคังอูทำหน้าตกใจ เพราะคำตอบของอินซอบ
“ทั้งสองคนพูดอย่างเป็นกันเองเหรอ ตั้งแต่เมื่อไร”
“เราตัดสินใจว่าจะลดระดับความสุภาพของคำพูดตั้งแต่วันนี้น่ะครับ ใช่ไหมครับฮยองนิม”
“อื้อ”
วันนี้คิมคังอูขอร้องให้อินซอบลดระดับความสุภาพของคำพูดพร้อมกับชวนให้มาดื่มเหล้าด้วย อินซอบที่บอกว่าจะค่อยๆ ลดระดับความสุภาพของคำพูดลงจึงต้องพูดอย่างเป็นกันเองกับคิมคังอูตั้งแต่วันนี้โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
“ดูจะสนิทกันมากเลยนะ”
อีอูยอนพึมพำเหมือนพูดคนเดียวพลางใช้นิ้วเคาะแก้วโซจู พอเห็นว่าแก้วของเขาว่างเปล่า คิมคังอูจึงรีบเติมเหล้าให้
“เซ้นส์ก็ดี นิสัยก็ดี แถมยังเข้ากับคุณอินซอบได้ดีอีก…ขอบคุณนะครับที่หาผู้จัดการส่วนตัวที่ดีมาให้ คุณกรรมการผู้จัดการ”