เขาเองก็ไม่ควรเอาเปรียบผู้หญิงคนนั้นด้วยเช่นกัน
เฮยเจ๋อขมวดคิ้วและไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจของเขาก็ถือว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นน้องสาวของตนเองมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาแบ่งปันความคิดและความรู้สึกต่างๆ ในฐานะพี่ชายและน้องสาวเสมอมา
เขาไม่เคยพบเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับนาง ต่อให้เป็นผู้ชาย ก็อาจจะรู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน แต่นางกลับยังคงมีท่าทีที่ดูอิสระและสบายใจ ราวกับว่านางสามารถเผชิญหน้ากับทุกสิ่งได้
นางเป็นคนอารมณ์ดี และปฏิบัติต่อผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม
เฮยเจ๋อรู้ว่าบุคลิกของนางไม่ใช่คนอ่อนโยนหรือนุ่มนวล แต่นางก็สามารถดูแลผู้อื่นได้ในทุกด้าน
การได้พูดคุยกับนางช่วยให้คลายความตึงเครียดได้ และทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
ไม่แปลกใจที่คนในร้าน ไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างก็เชิดชูนางราวกับเป็นบุคคลตัวอย่างก็ไม่ปาน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากครอบครัวของนางถูกพรากจากไป และถูกยึดอำนาจ รวมถึงถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฮ่อเหลียน จึงไม่มีอำนาจใดๆ คอยช่วยหนุนหลังนาง ดังนั้น นางจึงถูกใช้ประโยชน์อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
เขาไม่ได้ปฏิเสธว่าตอนแรกที่เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้น ก็เพื่อจะผลักนางออกไป เขาจะได้ปกป้องคนที่อยู่ในใจของเขาได้
ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ในเมืองหลวงก็ยังไม่มั่นคง และมีความลับบางอย่างที่คนจากสี่ตระกูลใหญ่ไม่ต้องการให้ราชสำนัก หรือแม้แต่ทายาทอย่างเขารับรู้เรื่องนี้
ความลับเหล่านั้นทำให้เฮยเจ๋อรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาจึงเปลี่ยนท่าทีของเขา
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่เขาได้รู้จักกับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ไม่มีความคิดที่ต้องการจะปกป้องใครคนหนึ่ง และเสียสละอีกคนหนึ่งอีกต่อไป
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ใช่สมาชิกของราชวงศ์ และเขาไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้อย่างหัวชนฝาขนาดนั้น
เพียงแต่หญิงสาวที่เขาชอบ ไม่ได้สนใจในตัวเขา นางไม่สนใจเลยว่าในอนาคต เขาจะแต่งงานกับใคร
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาเข้าใกล้เฮ่อเหลียนเวยเวย เพื่อทำให้คนๆ นั้นรู้สึกเสียใจ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็มั่นใจว่าหากมีใครสร้างปัญหาให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็สามารถจัดการได้
เพราะเขาเห็นค่าของเพื่อนคนนี้
แต่เขาไม่มีทางรู้เลยว่าองค์ชายสามกำลังคิดอะไรอยู่
หากอีกฝ่ายต้องการจะทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องสาวใช้ที่เขาเคยให้ความสำคัญอย่างมาก ทำให้เขาเลือกเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นพระชายา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ต้องแบกรับทุกอย่างไว้บนบ่าของตนเอง ในวังหลวงนั้น การต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจและตำแหน่ง อุบายหรือแผนการต่างๆ ก็ร้ายกาจยิ่งกว่าพวกสี่ตระกูลใหญ่เสียอีก นอกจากนี้ ฮองเฮาคนปัจจุบันก็ไม่ใช่ท่านแม่แท้ๆ ขององค์ชายสามอีกด้วย และฮ่องเต้ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเหล่าสาวงามอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าไปในวัง นางก็ไม่ต่างอะไรจากเนื้อปลาที่รอให้คนอื่นแล่เป็นชิ้นๆ
หากองค์ชายสามเลือกใครสักคนมาเป็นพระชายาของตน เพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจถูกมีดเหล่านั้นทิ่มแทง แล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยจะผ่านช่วงเวลาต่างๆ ไปอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน…
อย่างไรก็ตาม ความคิดขององค์ชายสามนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก มันลึกล้ำเกินไป สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่นั้นช่างยากเกินกว่าที่จะคาดเดาได้จริงๆ
นอกจากนี้ เมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งจะกลับมาจากเมืองหลวง และได้ยินข่าวเกี่ยวกับสาวใช้คนนั้นอีกด้วย
ไม่นานหลังจากนี้ ข่าวนั้นจะต้องแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น องค์ชายสามจะทำเช่นไร…
ดูเหมือนว่า เมื่อพวกเขาเดินทางถึงวัดหลิงอิ่น เขาจะต้องหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น และบอกให้นางรักษาระยะห่างกับองค์ชายสาม หากนางไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจอย่างไม่รู้จบเหล่านั้นก็จะดีที่สุด
แต่เฮยเจ๋อไม่รู้เลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คือนางทำทุกอย่างด้วยความสมัครใจอีกด้วย
ไม่ว่าอย่างไร ตัวตนของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถูกกำหนดให้ตัวนางต้องไปเกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้คนอยู่แล้ว นางไม่สามารถหลีกหนีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
หากหญิงสาวต้องการยึดตระกูลเฮ่อเหลียนกลับคืนมา อันดับแรก นางก็ต้องไปอยู่ในตำแหน่งที่ยืนหยัดได้อย่างเท่าเทียมกับสี่ตระกูลใหญ่เสียก่อน เพราะกลุ่มคนที่นางต้องเผชิญหน้าด้วยนั้น ไม่ได้มีแค่พวกตระกูลเฮ่อเหลียนที่ทรยศหักหลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลซูที่มีอิทธิพลในราชวังอย่างมากอีกด้วย…
เอี๊ยด
ช่วงพลบค่ำ ล้อรถม้าจะหมุนจนไม่สามารถนับรอบได้ พวกเขามาถึงช่วงสุดท้ายในการเดินทางไปยังวัดหลิงอิ่นแล้ว
ทางขึ้นเขาในช่วงนี้ขรุขระมาก นอกจากนี้ ยังมีต้นไม้ขวางอยู่จำนวนมาก ซึ่งทำให้การเดินทางโดยรถม้าไม่ค่อยสะดวกนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ลืมตาขึ้นมา แต่เสิ่นเวินหว่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้นตื่นแล้ว และกำลังมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นแล้ว รอยยิ้มของนางก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “น้องสาว ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว ดูเหมือนว่าเส้นทางข้างหน้าจะมีสิ่งกีดขวางอยู่ เหล่าองครักษ์กำลังตัดสินใจกันอยู่”
“สภาพอากาศเช่นนี้มักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย” ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มนัก ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่มันจะเป็นสิ่งกีดขวางที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
เสิ่นเวินหว่านหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตรงหน้าต่าง “น้องสาวพูดถูก พวกเราต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น หากรถม้าไม่สามารถวิ่งผ่านถนนข้างหน้าได้จริงๆ ข้าเดาว่าในอีกไม่นาน พวกเราทุกคนอาจจะต้องเดินเท้าไป”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบรับอย่างเรียบเฉย
เสิ่นเวินหว่านดูไม่ค่อยสบายใจ และยังคงถามต่อ “น้องสาว ดูเหมือนว่าเจ้าจะสนิทสนมกับคุณชายเฮยนะ”
“พวกเราก็ปกติดีนี่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม
เสิ่นเวินหว่านก้มหน้าลง และเช็ดกระจกอีกครั้ง “น้องสาวช่างโชคดีจริงๆ”
“อย่าพูดเรื่องข้าเลย พี่เสิ่นคาดเดาถูกต้องแล้ว ในถนนช่วงต่อจากนี้ พวกเราจะต้องเดินขึ้นเขาจริงๆ ด้วย” ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด นางก็เปิดม่านขึ้นและก้าวเท้าออกไป
ด้านนอกนั้น ฝนยังคงตกอยู่ เหล่าคุณหนูทั้งหลายที่อยู่ข้างหน้าต่างก็ได้รับข่าวจากองครักษ์คนหนึ่งที่ขี่ม้ามาบอกแล้ว พวกนางแต่ละคนเดินลงจากรถม้าของตนเอง โดยมีสาวใช้ช่วยถือร่มให้ และรออยู่ด้านข้าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่เกือบท้ายขบวน ทุกคนต้องลงมาก่อนเพื่อจะเดินทางไปข้างหน้าต่อ แต่คราวนี้ ทุกคนจะต้องเดินเท้าไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเห็นกลุ่มคนจากระยะไกล และมีชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่ไม่มีฝุ่นหรือลมสัมผัสตัวเขาเลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกงุนงง ฝนกำลังตกอย่างหนัก แต่เขากลับไม่มีฝนหยดลงบนตัวของเขาเลยสักหยด
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันไปมองทางเฮยเจ๋อ ผมสีดำของเขาเปียกโชกแล้ว และเห็นว่าน้ำฝนกำลังไหลลงบนหน้าผากของเขา อืม นี่เป็นเรื่องปกติที่ควรจะเกิดขึ้น
แต่องค์ชายสามคนนั้นกลับผิดปกติเกินไป
ราวกับสังเกตเห็นการจ้องมองของเฮ่อเหลียนเวยเวย ทันใดนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มก็หันมาทางหญิงสาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่ม หรือเป็นเพราะฝน ดวงตาคู่นั้นถึงดูราวกับเป็นบ่อน้ำโบราณ และดูเยือกเย็นกว่าทุกครั้ง เหมือนว่ามันจะเย็นยะเยือกจนไม่สามารถวัดอุณหภูมิได้
แค่สายตาคู่นั้นจ้องมองมาทางหญิงสาวอย่างเยือกเย็นก็ทำให้นางรู้สึกเจ็บฟันได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น นางยังไม่ได้ยั่วยุอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะดูสูงส่งและห่างไกลราวกับเทพเซียนก็ตาม
แต่ก็ยังมีคนที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขา
ขันทีซุนนั้น ถือเป็นตัวอย่างที่ดี “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ถนนข้างหน้านั้นลื่นยิ่งนัก องค์ชายควรจะต้องระมัดระวังให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองขันทีซุนที่พูดไม่หยุด ก่อนจะส่ายศีรษะและคิดในใจ จากระดับของความรังเกียจสิ่งสกปรกขององค์ชายสาม แม้ว่าจะไม่มีใครตักเตือนเขา เขาก็ต้องระมัดระวังตัวอยู่แล้ว
“มีเงินตกอยู่ตรงพื้นหรือ เจ้าจึงไม่เงยหน้าขึ้นเลย”
หลังจากนั้น ก็มีเสียงอันเย็นชาดังขึ้นผ่านหูของนาง จนทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับอยู่ในขั้วโลกเหนือ
“องค์ชาย” ชายคนนี้มาอยู่ด้านหลังกองกำลังทหารได้อย่างไรกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วรูปงามของตนเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอย่างเฉยเมย ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้ม “มิเช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าเป็นใครกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย :… นางคิดว่าไม่มีใครเลยต่างหาก
“วันนี้เจ้าไม่ได้เอาสมองมาด้วยหรืออย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองมือที่ว่างเปล่าของนางด้วยดวงตาที่ไร้อารมณ์
เฮ่อเหลียนเวยเวย: นางไม่ได้เจอเขามาหลายวันแล้ว แต่ชายผู้นี้กลับปากคอเราะรายมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวก่อน เขามาที่นี่ในตอนนี้เพียงเพื่อดูถูกสติปัญญาของนางเช่นนั้นหรือ