“เจ้ามีแม้กระทั่งเหล้าด้วยหรือ!” ตอนนี้ ดวงตาของเฮยเจ๋อเป็นประกาย “รีบหยิบมันออกมาดื่มด้วยกันสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียง ‘อืม’ ก่อนจะหยิบของที่ตนเองเตรียมไว้มาวางเรียงกัน นอกจากเนื้อตุ๋นแล้ว นางยังมีซี่โครงชิ้นเล็กๆ ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบอีกด้วย ทั้งผักและเนื้อสัตว์ยังคงอุ่นๆ อยู่ จากนั้น จึงรินเหล้าสองจอกดูมีความสุขอย่างมาก
เหล่าคุณชายคนอื่นๆ ต่างก็ได้กลิ่นหอมของมัน และรู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดจาเย้ยหยันเฮ่อเหลียนเวยเวย แย่ไปกว่านั้นคือ พอเห็นเหล้ากับเนื้อสัตว์ พวกเขาก็ทำได้แค่กลืนน้ำลายตัวเอง แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะมีรอยยิ้ม แต่ในหัวใจของพวกเขากลับรู้สึกอิจฉาเฮยเจ๋อ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขาก็ยังได้กินอาหารแบบนั้น ทุกคนต่างรู้ว่าหลังจากที่เข้าไปในวัดหลิงอิ่นแล้ว พวกเขาจะกินได้เพียงอาหารมังสวิรัติเท่านั้น และไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล้าเลยด้วยซ้ำ
เหล่าชายหนุ่มจิบชาและขนมเปี๊ยะ พร้อมกับซุบซิบกัน และเสียงพูดคุยของพวกเขาก็ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
อีกด้านหนึ่ง รถม้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล ขันทีซุนเกรงว่าการสนทนาเหล่านั้นจะรบกวนการพักผ่อนขององค์ชาย เขาจึงหยิบแส้หางม้าและหันไปพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายทั้งหลาย องค์ชายจะเป็นผู้นำกองทัพในช่วงบ่าย และต้องการพักผ่อน ทุกท่านกรุณาลดเสียงลงด้วยเถิดขอรับ”
“นั่นสิ หึหึ ดีแล้วที่ขันทีซุนตักเตือน พอดีพวกเรากำลังดูเฮยเจ๋ออยู่ ไม่รู้ว่าเขากับบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนสนิทสนมกันดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเรารู้สึกประหลาดใจ จึงอดที่จะพูดคุยกันเสียงดังไม่ได้”
“เช่นนั้นหรือ สนิทสนมกันดีอย่างนั้นหรือ” มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากทางด้านในของรถม้าคันนั้น
คุณชายหลายคนเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังเอนพิงขอบหน้าต่างอยู่ พร้อมกับเชิดคางขึ้น เขาสวมหน้ากากสีเงิน และมุมปากของเขาก็ดูตึงเครียดเล็กน้อย แสงแดดที่สาดส่องผ่านเงาของใบไม้และกิ่งก้านนั้น ทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูงดงามอย่างมาก แต่ลึกเข้าไปในดวงตาของเขา กลับไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“องค์… องค์ชายสาม… กระหม่อมขออภัยที่ปลุกพ่ะย่ะค่ะ…”
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็รู้สึกเบื่อและอยากฟังสิ่งที่พวกเจ้ากำลังพูดถึงอยู่พอดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางถ้วยชาในมือลงอย่างสุขุม ภายใต้น้ำเสียงอันเรียบเฉยของเขานั้น ทำให้เกิดความรู้สึกกดดันอย่างไม่อาจอธิบายได้
“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมเพียงแค่ไม่ค่อยเห็นเฮยเจ๋อมีท่าทีแบบตอนนี้เท่านั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยนำของมาจำนวนมาก และนั่งกินข้าวร่วมกับเฮยเจ๋ออยู่ตรงนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
กลุ่มชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ทำตัวก้าวร้าวเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ พวกเขากลัวว่าองค์ชายสามจะเข้าใจผิดว่าพวกเขาพูดจานินทาคนอื่นลับหลัง และไม่รู้จักสำรวมตัวเอง ดังนั้น พวกเขาจึงรีบชี้ไปยังสถานที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก “องค์ชายเห็นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ พวกเขาทั้งสองคนดูเข้ากันดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตามนิ้วของคนๆ นั้น และเห็นภาพที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังรินเหล้าให้เฮยเจ๋อ ขณะเดียวกัน เฮยเจ๋อก็กำลังหยิบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งจากกล่องอาหารกลางวันของนาง ก่อนจะเอาใส่ปากของตนเอง
ในชั่วพริบตา ดวงตาสีดำเข้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เบิกกว้างทันที ก่อนจะหรี่ลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้านั้นยังคงหล่อเหลาอย่างเคย เขาดูสุขุมและเรียบเฉยราวกับลมที่พัดโชยอ่อนๆ และเมฆที่ลอยอยู่
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจบทสนทนาในตอนนี้มากนัก
ในทางตรงกันข้าม ชายหนุ่มเหล่านั้นกลับรู้สึกว่าพวกเขาพูดมากเกินไป ก่อนจะยิ้มให้อย่างกระอักกระอ่วนใจ “เฮยเจ๋อผู้นั้นไม่เคยทำอะไรตามแบบแผน ข้าคิดว่าผู้อาวุโสเฮยกดดันเขามากเกินไป เขาจึงมีความคิดเช่นนี้เป็นของตัวเอง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ เขาก็เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับน้องชิงเหมย แต่ช่วงนี้ เขามักจะปฏิเสธหญิงสาวคนนั้นอยู่เสมอ และมาสนิทสนมกับเฮ่อเหลียนเวยเวยแทน เป็นไปได้หรือไม่ว่าครั้งนี้ เขาจะจริงจังแล้ว”
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ เขาก็รู้สึกว่าการพูดเช่นนี้ยิ่งดูเหมือนจะเป็นการนินทามากกว่าเดิม
เขาโน้มตัวไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและเอ่ยถาม “แล้วองค์ชายจะลงหลักปักฐาน และอภิเษกสมรสเมื่อไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ในอีกสามวัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอย่างไร้อารมณ์ มีแต่ขันทีซุนเท่านั้นที่รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า
“สาม อีกสามวันนับจากนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนพูดตะกุกตะกัก และฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก “องค์ชายล้อเล่นอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านยังไม่ได้เลือกเลยว่าพระชายาจะเป็นใคร แล้วจะแต่งงานได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
นอกจากนี้ หากองค์ชายกำลังจะแต่งงาน แล้วทำไมข้าถึงไม่รู้อะไรเลย อดีตฮ่องเต้ ผู้อาวุโสคนนั้นเองก็ยังไม่ทราบข่าวใช่ไหมเล่า การแต่งงานเป็นเรื่องที่เกิดจากการตกลงปลงใจของคนสองฝ่ายจึงจะสำเร็จไม่ใช่หรือ แล้วอีกคนหนึ่งเป็นใครกัน องค์ชายพูดจาล้อเล่นกันเช่นนี้ ช่างไม่ใช่นิสัยของพระองค์เลยจริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ มองไปที่ขันทีซุน
ขันทีซุนรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาวาบ
เหล่าคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างมองหน้ากัน “พวกกระหม่อมไม่ควรรบกวนองค์ชายอีกแล้ว ยังเหลือเวลาพักผ่อนอีกครึ่งก้านธูป ฝ่าบาทโปรดนอนพักให้เต็มที่เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดจบ คนเหล่านั้นก็ขึ้นม้าของตนเองตามลำดับ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ หลับตาลง และยังคงมีท่าทีเช่นเดิม
ขันทีซุนที่ยืนอยู่นอกรถม้า มองดูรอยยิ้มตรงมุมปากของเขาค่อยๆ จางหายไป แล้วความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แผ่ออกมาเล็กน้อย
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป อดีตฮ่องเต้ก็แจ้งว่าหมดเวลาพัก และให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเริ่มเดินทางอีกครั้ง
เมื่อได้ยินรับสั่ง เฮยเจ๋อก็เดินไปที่ม้าของตนเอง แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นขี่ เขาก็ถูกร่างสูงโปร่งของคนๆ หนึ่งยืนขวางไว้
ดูเหมือนว่าชายคนนั้นตั้งใจรอเขาอยู่ สีหน้านั้นดูเรียบเฉย เขาสวมเสื้อผ้าสีเงินและมีผมสีดำ ดูราวกับเป็นผู้มาเยือนจากต่างโลก ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยหน้ากากสีเงิน และเผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เย็นชา และเฉยเมยราวกับปีศาจ
“องค์ชาย” เฮยเจ๋อทักทายเขาอย่างสุภาพโดยไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม ร่างกายของเขาเผยท่าทีที่ดูยับยั้งชั่งใจอย่างยากที่จะอธิบายได้ แต่มันก็ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“อยู่ให้ห่างจากนาง” เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองสายตาประหลาดใจของเฮยเจ๋อ ใบหน้าอันเย็นชาของเขาราวกับเป็นประติมากรรมน้ำแข็งที่แกะสลักอย่างงดงาม “แม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง แต่ในฐานะที่นางเป็นคุณหนูจากตระกูลที่มีอิทธิพล ก็ต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้”
เฮยเจ๋อยิ้มอย่างชั่วร้าย และกำลังจะพูดตอบว่าหากเขาไม่ทำตามแล้วจะเป็นเช่นไร
แต่ขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นอีกครั้งข้างใบหูของเขา “น้องชิงเหมยที่เจ้าเติบโตมาด้วยกันคนนั้น ดูเหมือนจะอยู่ในวัยที่แต่งงานได้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าควรจะบอกให้ท่านปู่ของข้าจัดงานสมรสกับนางดีหรือไม่”
เฮยเจ๋อเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลง เขารู้อยู่แล้วว่าองค์ชายสามไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่รับมือได้ยากขนาดนี้
ผู้หญิงคนนั้นยั่วยุผู้ชายประเภทนี้ได้อย่างไรกัน
เขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญในการเล่นงานคนในจุดที่เจ็บปวดเป็นพิเศษ
เฮยเจ๋อยิ้ม “องค์ชายพูดถูก การเข้าใกล้นางมากเกินไปอาจส่งผลต่อชื่อเสียงของนางได้ ข้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้ตื้นเขินเกินไป แม้ว่าข้าอยากจะเข้าใกล้นางมากกว่านี้ แต่ข้าคงต้องรอให้ท่านปู่พยักหน้าเสียก่อน”
เฮยเจ๋อจงใจพูดเสริมประโยคสุดท้าย
เขาไม่เชื่อว่าองค์ชายสามจะมาเตือนเขาเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งริมฝีปากบางของตนเองและก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่นั้นดูลึกลับราวกับเป็นหมอกน้ำแข็งที่ลอยตัวขึ้นมาในความมืดยามราตรี ขณะที่เขาเดินผ่านเฮยเจ๋อ เขาก็ทิ้งท้ายด้วยคำพูดตักเตือนอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารอดูก็ได้ว่าผู้อาวุโสเฮยจะพยักหน้าให้ หรือว่าชิงเหมยของเจ้าจะได้แต่งงานก่อน”
ทันใดนั้น เฮยเจ๋อก็กำมือซ้ายแน่น ในชั่วพริบตา รอยยิ้มของเขาก็ดูจางลง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง พร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาจิ้มตรงหน้าผากของตนเอง
เขาคิดว่าเรื่องที่หญิงสาวคนนั้นยั่วยุองค์ชายสามเมื่อครั้งก่อน ได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว
แต่เขาไม่คิดเลยว่ามันยังไม่จบไม่สิ้น
แต่จะให้เขาเชื่อว่าองค์ชายสามชอบผู้หญิงคนนั้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าข่าวลือนั้นจะเป็นเรื่องจริง การที่องค์ชายสามเลือกพระชายานั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อใช้เป็นโล่ปกป้องหญิงสาวที่เขารักอย่างแท้จริง