“ศิษย์พี่ ท่านเคยเห็นใบหน้าของกงอวี้เฉินหรือไม่” หนานกงมั่วฉุกคิดขึ้นมาในใจ เอ่ยขึ้นมา
คุณชายเสียนเกอชะงัก ขมวดคิ้วไตร่ตรองอยู่เนิ่นนานสุดท้ายจึงส่ายศีรษะ เอ่ย “คงไม่หรอก คนอย่างกงอวี้เฉินหากเจอแล้วจะไม่รู้สึกคุ้นเลยหรือ”
หนานกงมั่วย่นคิ้ว “หรือว่าข้าเดาผิดแล้วอย่างนั้นหรือ” ศิษย์น้องของตนไม่ต้องแข็งแกร่งเพียงนี้หรือไม่
คุณชายเสียนเกอโบกมือพลางเอ่ย “เรื่องนี้ข้าจะคิดดูให้ดีอีกที ตอนนี้…พวกเราไปจากสถานที่บ้าๆ นี้ก่อนค่อยว่ากัน” ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ศพเกลื่อนไปทั่วพื้น
ช่วงนี้บรรยากาศในโยวโจวตึงเครียด บริเวณรอบนอกโยวโจวห่างออกไปห้าสิบลี้มีกองกำลังส่วนพระองค์ของเยี่ยนอ๋องและหยาอี่ของหยาเหมินสลับเวรกันเดินตรวจตรา องครักษ์เรือนชิงมั่วที่แฝงตัวอยู่ในกองกำลังส่วนพระองค์จวนเยี่ยนอ๋องใช้โอกาสนี้ในการหาตำแหน่งที่อยู่ของคนสำนักหอธารา สถานการณ์ของหอธาราในโยวโจวลำบากมากขึ้น อีกด้าน ราวกับมีคนของหอธาราตายไปในทุกๆ วัน คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตายเพราะยาพิษ เพียงไม่นานคนสำนักหอธาราที่ซ่อนตัวอยู่ก็เริ่มระแวงอย่างอดไม่ได้ ทำอันใดไม่ได้จึงต้องสลายตัวย้ายออกมาอยู่ห่างจากเมืองโยวโจวในระยะหนึ่งร้อยลี้ การส่งข่าวจากโยวโจวกลายเป็นช่องโหว่ ข่าวคราวในเมืองโยวโจวพวกเขาแทบไม่อาจสืบได้ กระทั่งสืบได้เรื่องส่งออกมาก็ช้าไปหลายวันแล้ว
“เจ้าสำนัก”
กงอวี้เฉินเงยหน้ากวาดตามองไปยังชายชุดดำ เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ว่าอย่างไร”
ชายชุดดำเอ่ย “ยามนี้ข่าวกรองของเราทั้งในและนอกโยวโจวแทบเป็นอัมพาต เจ้าสำนัก…ไม่ร้อนใจสักนิดเลยหรือขอรับ”
กงอวี้เฉินแสยะยิ้มเย็น เอ่ย “ร้อนใจไปแล้วมีประโยชน์อันใด”
ฟังออกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของกงอวี้เฉิน ชายชุดดำรีบก้มหน้า เอ่ย “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอเจ้าสำนักโปรดอภัยด้วยขอรับ”
กงอวี้เฉินโบกปัดมือ โยนตำราในมือทิ้งไป เอ่ย “เอาล่ะ ข้าไม่อยากฟังคำไร้สาระ เสียนเกอยังไม่หยุดอีกหรือ”
เอ่ยถึงคุณชายเสียนเกอ ชายชุดดำก็จนปัญญา “วิชาการแพทย์และยาพิษของคุณชายเสียนเกอช่างไร้ผู้เปรียบได้ หมอในสำนักต่างก็…” คุณชายเสียนเกอไม่เพียงยอดเยี่ยมไร้เทียมทานเรื่องการแพทย์และยาพิษ ข่าวคราวเองก็รวดเร็วทั่วถึง บางครั้งสถานที่ที่จวนเยี่ยนอ๋องยังหาไม่เจอกลับถูกเขาเจอได้ เมื่อหาเจอแล้วเขาก็ไม่ได้ลงมือในทันที ทว่ากลับวางยาสังหารเพียงไม่กี่คนอย่างช้าๆ วันหนึ่งวันวางยาสังหารไปไม่กี่คน อีกทั้งทุกครั้งที่ลงมือวางยายังต่างกันโดยสิ้นเชิง ต่อให้หมอของสำนักหอธาราจะปรุงยาถอนพิษออกมา ครั้งต่อไปก็ไม่อาจใช้การได้แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาถูกคุณชายเสียนเกอจับตามองตั้งแต่เมื่อใด ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าเสียนเกอวางยาอย่างไร บางคนกินข้าวก็ตายอยู่ต่อหน้าต่อตาเพื่อน บางคนหลับฝันและไม่กลับมาอีกเลย กระทั่งมีคนเดินอยู่ดีๆ ก็ล้มลงไป ที่น่ากลัวก็คือคนที่กินข้าวแบบเดียวกับพวกเขา นอนอยู่ด้วยกัน เดินไปด้วยกันต่างไม่เป็นอันใด ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ลูกน้องก็กลายเป็นไก่ตื่นกันหมด ทุกวันนอกจากระแวดระวังว่าคนต่อไปที่จะตายเป็นใครก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใดอีก
นึกถึงเรื่องเหล่านี้ ชายชุดดำก็อดชื่นชมว่าคุณชายเสียนเกอช่างสมคำร่ำลือไม่ได้
“พวกไม่ได้เรื่อง” กงอวี้เฉินเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ช่างเถิด ให้คนแยกย้ายออกมาจากโยวโจวก่อน”
“เอ่อ…” ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ “หากเป็นเช่นนั้น ความปลอดภัยของเจ้าสำนัก…” หากเจ้าสำนักวางแผนจะถอนตัวคนที่อยู่เบื้องหน้าออกไปจนหมด เช่นนั้น… “เจ้าสำนักวางแผนจะกลับนอกด่านกำแพงหรือขอรับ”
กงอวี้เฉินโบกมือ หรี่ตาแล้วจึงเอ่ย “ข้ามีแผนการของข้า สถานการณ์ตอนนี้…นับว่ากำลังดี เยี่ยนอ๋องและเว่ยจวินมั่วไม่ใช่คนที่จะล่อลวงได้ง่ายๆ”
“เจ้าสำนัก…” ชายชุดดำยังอยากเอ่ยเกลี้ยกล่อมอีก กงอวี้เฉินกลับตัดสินใจมั่นคงแล้ว เอ่ยน้ำเสียงมั่นคง “ข้าตัดสินใจแล้ว สั่งลงไป”
เห็นเช่นนั้น ชายชุดดำทำได้เพียงลอบถอนหายใจอยู่ในใจ ยกมือประสาน “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง เจ้าสำนัก ใต้เท้าฉีมีจดหมายมาบอกว่า…”
“ว่าอันใด” กงอวี้เฉินเอ่ยถาม
ชายชุดดำมองเขาอย่างระแวดระวัง น่าเสียดายที่ใบหน้านั้นสวมหน้ากากจึงมองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ เอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าฉีบอกว่า เจ้าสำนักอย่าได้หาเรื่องวุ่นวายให้กับเขา หากเจ้าสำนักไม่มีใจภักดีต่อฮ่องเต้ ก็แยกทางกันขอรับ”
กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน เอ่ย “ได้ เจ้าไปบอกเขา ข้าจะไม่ไปหาเรื่องให้เขาอีก ดังนั้นเขา หากเจอปัญหาอันใดก็อย่ามาหาข้า ข้าเองก็อยากรู้ เขาจะทนอยู่ในกำมือของเยี่ยนอ๋องไปได้นานเพียงใด” ชายชุดดำขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “เซียวเชียนเยี่ยไม่ใช่คนเด็ดขาด เจ้าสำนักคิดว่า…เขาจะลงมือกับเยี่ยนอ๋องได้จริงหรือขอรับ”
กงอวี้เฉินเอ่ยเสียงเนิบนาบ “เขาอาจไม่มีความกล้านั้น เพียงแต่…ขุนนางรอบตัวของเขา อีกทั้งข้า จะทำให้เขามีความกล้านี้เอง ยิ่งไปกว่านั้น…มีเว่ยจวินมั่วอยู่โยวโจว เขาไม่ต้องการก็ต้องลงมือ” นึกถึงข่าวที่ได้รับมาจากจินหลิงเมื่อไม่นานมานี้ มุมปากภายใต้หน้ากากของกงอวี้เฉินกระตุกยิ้มหยัน เว่ยจวินมั่ว…เกิดมาพร้อมกับดวงเปลี่ยนผู้ปกครองเมืองอย่างนั้นหรือ เหอะ เขาจะคอยดูเว่ยจวินมั่วมีความสามารถมากเพียงใดที่จะต่อสู้กับเขาเพื่อใต้หล้า
ยื่นมือออกไป มือซีดขาวยื่นออกไป กงอวี้เฉินกำมือแน่น “แผ่นดินนี้…คนทั่วทั้งแผ่นดินนี้ ต้องตกอยู่ในกำมือของข้า เว่ยจวินมั่ว นับประสาอะไร”
มองชายตรงหน้า ดวงตาของชายชุดดำมีความเทิดทูนอยู่ในนั้น ไม่นานก็ก้มหน้าลง
กงอวี้เฉินวางมือลง ลุกขึ้น เอ่ย “ไปเตรียมตัวเถิด คนที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมดสลายตัวออกจากโยวโจว เรื่องที่เหลือ…วางแผนมาหลายปี ความสนุกนี้ นับว่าได้เริ่มขึ้นแล้ว ข้า เฝ้ารอเหลือเกิน”
ชายชุดดำยกมือขึ้นประสาน เอ่ยเสียงดัง “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งขอรับ”
ไม่นาน ในห้องโถงพลันเหลือเพียงกงอวี้เฉินเพียงคนเดียว ห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่าเงียบสงัด เนิ่นนานพลันมีเสียงดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
“เสี่ยวมั่วเอ๋อร์ เว่ยจวินมั่วมีค่าให้เจ้าเชื่อใจเขาเพียงนั้นเลยหรือ ข้าจะทำให้เจ้าเห็น ว่าสุดท้ายผู้ชนะจะเป็นใคร”
ผ่านการเผชิญหน้ามาแล้วหนึ่งครั้ง กงอวี้เฉินจึงได้หยุดพัก แต่ว่าหนานกงมั่วกลับยุ่งมากขึ้น เพราะว่า…เขตชายแดนเริ่มทำสงครามแล้ว บางครั้งอาจเป็นเพราะว่าปีนี้เป่ยหยวนเสียเปรียบให้ต้าเซี่ยไปหลายต่อหลายครั้งติดต่อกัน ฮ่องเต้เป่ยหยวนจึงเพิ่มกองทัพนับแสนนายเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจ เมื่อเทียบกับสงครามฤดูหนาวในปีที่ผ่านมา เห็นชัดว่ายิ่งใหญ่กว่ามาก แม้หนานกงมั่วจะไม่ได้ไปออกรบยังชายแดนด้วยตนเอง แต่ธุระในโยวโจวก็เพียงพอให้นางยุ่งพอแล้ว นับตั้งแต่วันที่ป่วยครั้งใหญ่นั้น ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องยังไม่หายดีจริงๆ หรือว่าไม่สนใจเรื่องการเมืองการปกครองแล้ว โยนทุกสิ่งทุกอย่างไปให้เซียวเชียนชื่อ เซียวเชียนชื่อตื่นตระหนกทำอันใดไม่ถูกจำต้องมาขอความช่วยเหลือจากหนานกงมั่วด้วยใบหน้าขมขื่น ดังนั้นหนานกงมั่วจึงจัดการงานบ้านงานเมือง ธุระในจวน การเคลื่อนกองกำลังต่างๆ ล้วนอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องตลอด ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ แม้แต่เรือนชิงมั่วยังไม่มีเวลาว่างกลับไป เวลาเพียงครึ่งเดือนกลับผอมลงไปมาก จนองค์หญิงฉังผิงปวดใจไม่น้อย กระทั่งโกรธพี่สามของตนที่โยนทุกอย่างมาให้ลูกสะใภ้ของตนต้องเหนื่อย
“องค์หญิง พระชายา แย่แล้วเพคะ” องค์หญิงฉังผิงนั่งสนทนาในห้องโถงเป็นเพื่อนพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่ ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาพร้อมกับน้ำเสียงร้อนใจเอ่ยดังเข้ามา