ตอนที่ 200 เจรจายอมความนอกศาล
หลังมื้ออาหารเช้า หลินม่ายกับฟางเว่ยตั่งและภรรยาของเขาก็เดินทางไปยังเรือนจำชั่วคราวเพื่อเข้าเยี่ยมฟางถิง
เวลาผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ ฟางถิงผอมแห้งลงมากจนดูเหมือนกลายเป็นคนละคน
ใบหน้าของหล่อนซีดเซียว ดวงตากลวงลึกโหล ความงดงาม ความมีสง่าราศีที่เคยมีกลับไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป
ฟางถิงรู้ทันทีว่าหลินม่ายมาที่นี่ก็เพื่อเจรจายอมความนอกศาลกับหล่อน อีกฝ่ายมาเพื่อช่วยชีวิตหล่อนเอาไว้
เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำก่อนหน้านี้ ฟางถิงก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับหลินม่าย พูดด้วยความสำนึกผิด “หลินม่าย ฉันขอโทษ”
หลินม่ายมองหล่อนเขม็ง “คุณขอโทษฉันทำไม? รู้ตัวด้วยหรือว่าตัวเองทำอะไรผิด? คุณทำอะไรลงไปบ้าง?”
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายเริ่มพูดจายอกย้อน หยางโร่วหลันต้องการห้ามปรามเธอ แต่ฟางเว่ยตั่งกลับจับมือภรรยาเอาไว้แน่น เตือนว่าอย่าได้เข้าไปยุ่งจนทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ
ฟางถิงก้มหน้าลง สารภาพความผิดของตัวเองออกมา “ตอนอยู่บนรถไฟ ฉันไม่ควรดูถูกเหยียดหยามเธอแบบนั้น หลังจากนั้น ฉันก็ไม่ควรหาเรื่องจับผิดเธออยู่เรื่อยไป ครั้งล่าสุด ยังคิดจ้างวานคนมาทำให้เธอเสื่อมเสียอีก…”
หลินม่ายส่ายหน้า “ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน”
ฟางถิงเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความสงสัย ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง “ฉัน… ทำผิดพลาดตรงไหนเหรอ?”
“คุณทำผิดที่คุณปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนชีวิตของพวกเขาเป็นแค่สิ่งของไร้ค่า ผิดที่ทำตัวราวกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงสูงศักดิ์ คุณคิดแค่ว่าจะทำร้ายคนอื่นอย่างไร พอคุณไม่สามารถตอบโต้อีกฝ่ายได้ คุณก็เอาแต่หาทางแก้แค้นเหมือนตัวเองเป็นหมาบ้า”
ใบหน้าฟางถิงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นมาทันที อดรู้สึกไม่ได้ว่าคำพูดของหลินม่ายรุนแรงเกินไป!
แต่เมื่อลองทบทวนดูดี ๆ เธอก็พูดไม่ผิดนัก…
คิดแล้วให้ยิ่งรู้สึกละอายใจมากกว่าเดิม
หลินม่ายพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อันที่จริง ฉันไม่อยากเจรจายอมความกับคุณนอกศาลด้วยซ้ำ”
หยางโร่วหลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น
แต่แล้วหล่อนก็ได้ยินหลินม่ายพูดต่อไป “แต่ฉันนึกสงสารเห็นใจพ่อแม่ของคุณ พวกเขาถึงกับยอมคุกเข่าอ้อนวอนฉันเพื่อให้ฉันยอมช่วยคุณ แถมยังยอมจ่ายเงินชดเชยให้ฉันเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นฉันจึงคิดว่าควรให้โอกาสคุณสักครั้ง หวังว่าคุณจะกลับตัวกลับใจเสีย เพราะฉันไม่มีวันให้โอกาสคุณเป็นครั้งที่สองแน่”
ฟางถิงมองไปที่หยางโร่วหลันและสามีของหล่อนด้วยสีหน้าและแววตารู้สึกผิด
สำหรับพ่อแม่ของหล่อนแล้ว เงินทองถือเป็นทรัพย์สินนอกกายถ้าเทียบกับการรักษาชื่อเสียงและหน้าตาในสังคม ในฐานะที่ตนเป็นลูกสาว แน่นอนว่าหล่อนรู้เรื่องนี้ดี
แต่การที่พ่อแม่ถึงขั้นยอมคุกเข่าลงต่อหน้าหลินม่ายเพื่อหล่อนถึงขนาดนี้ จะไม่ให้หล่อนรู้สึกสะเทือนใจคงเป็นไปไม่ได้
ฟางถิงพูดด้วยเสียงกระซิบ “ฉันสัญญาว่าจะปรับปรุงตัว”
หลินม่ายไม่พูดอะไรอีก ลงนามในเอกสารเจรจายอมความนอกศาลทันที จากนั้นก็วางปากกาลงแล้วตั้งท่าจะเดินจากไป
ฟางถิงร้องเรียกเธอจากด้านหลัง “หลินม่าย ฉัน… ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะสารภาพกับเธอ”
หลินม่ายชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันหน้ากลับไปมอง
ใบหน้าของฟางถิงแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “ตอนนั้นที่เธอขายเสื้อผ้าอยู่หน้าห้างลิ่วตู้เฉียว เธอไม่รู้สึกว่าสองแม่ลูกที่มาต่อราคาเสื้อผ้าของเธอดูผิดสังเกตเหรอ? ฉันเป็นคนยุยงให้พวกเขาไปหาเรื่องเธอเอง”
หลินม่ายนิ่งฟังแล้วเดินจากไป
หยางโร่วหลันและสามีนึกไม่ถึงเลยว่าลูกสาวสุดที่รักของพวกเขาเคยพยายามทำลายหลินม่ายมาแล้วหลายครั้ง
ฟางเว่ยตั่งดุเสียงเข้ม “ลูกบอกว่าลูกทำอะไรลงไปนะ?!”
ฟางถิงยอมรับคำดุด่าจากพ่อและแม่พร้อมกับหลบสายตา
หลินม่ายไม่เสียเวลาอยู่ที่กว่างโจวอีกต่อไป พอซื้อตั๋วรถไฟเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับบ้านโดยทันที
วันต่อมา เมื่อฟางจั๋วหรานแวะมาที่ร้านเปาห่าวซือเพื่อกินอาหารมื้อเช้า เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าหลินม่ายกลับมาถึงร้านแล้ว “ทำไมคุณถึงได้กลับมาเร็วนักล่ะ? จัดการปัญหาทั้งหมดเรียบร้อยแล้วหรือ?”
หลินม่ายจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
พอเล่ามาถึงเรื่องที่หวังหรงใส่ร้ายเพิ่มโทษให้ฟางถิง หลินม่ายก็ส่ายหน้าพลางออกความเห็นว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าหวังหรงจะใจดำไร้มนุษยธรรมถึงขนาดนี้ ฟางถิงไม่ได้มีความคับข้องใจหรือทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับหล่อนเสียหน่อย ทั้งที่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อกันยังแว้งกัดอีกฝ่ายได้ลงคอ หล่อนนี่ไม่ต่างอะไรจากหมาบ้าเลยจริง ๆ”
ฟางจั๋วหรานเงยหน้ามองเธอ “หวังหรงวางแผนใส่ร้ายให้ฟางถิงได้รับโทษหนัก ก็เพราะว่าหล่อนมีคุณเป็นเป้าหมาย”
หลินม่ายถามอย่างงงวย “ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ?”
“ถ้าฟางถิงต้องโทษจำคุก หรือได้รับโทษอื่นที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น หวังหรงก็จะสามารถล้างสมองอารองกับอาสะใภ้รองของผมได้ ว่าฟางถิงต้องมาลงเอยในสภาพนี้ก็เพราะคุณ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คุณคิดว่าอารองกับอาสะใภ้รองของผมจะให้อภัยคุณไหมล่ะ?”
หลินม่ายเยาะเย้ย “น่าเสียดายที่ถึงแม้หล่อนจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ(1) เกรงว่าหลังจากนี้คงเป็นหล่อนมากกว่าที่ถูกคุณอารองและคุณอาสะใภ้รองของคุณตามคิดบัญชีเสียเอง…”
…
เสื้อผ้ามือสองสภาพใหม่เอี่ยมผ่านการตากแดดจัดมาแล้วเป็นเวลาห้าวันเต็ม ในที่สุดก็สามารถนำมาฆ่าเชื้อและซ่อมแซมได้
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็เดินออกไปยังตึกแถวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สอนงานคุณป้าคุณน้าทั้งหลายที่ผ่านการคัดเลือกให้มาทำงาน ให้จัดการฆ่าเชื้อเสื้อผ้าทีละขั้นตอน รวมถึงตกแต่งซ่อมแซมเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
โชคดีที่กระบวนการดังกล่าวไม่ซับซ้อน คุณป้าคุณน้าเหล่านั้นจึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หลินม่ายจัดการมอบหมายงานให้แต่ละคน ไม่ลืมจูงใจพวกเขาโดยการมอบรางวัลให้สำหรับผู้ที่ทำงานเกินโควตา และมีบทลงโทษให้สำหรับคนที่ทำงานออกมาได้ไม่ดี
หลังเดินออกมาจากตึกแถว หลินม่ายก็กลับไปที่บ้าน วาดภาพโครงร่างของไม้แขวนเสื้อและราวตากผ้าตามที่ต้องการ แล้วออกไปหานายช่างจาง
เธอขอให้เขาช่วยทำไม้แขวนเสื้อให้เธอจำนวนหนึ่ง และราวตากผ้าอีกสักสองสามราว ไม่ลืมกำชับให้เขาทำด้วยฝีมือประณีตที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วสัญญาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้เพิ่มขึ้น
นายช่างจางพยักหน้า “ผมจะลองทำดู อีกประมาณสองวันมารับของได้เลย”
ตอนเที่ยง เมื่อฟางจั๋วหรานแวะมากินอาหารมื้อกลางวัน เขาบอกข่าวกับหลินม่ายว่าเขาได้ติดต่อทางโรงเรียนมัธยมในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้แล้ว พวกเขานัดหมายให้เธอเข้าไปที่โรงเรียนเพื่อทำข้อสอบเบื้องต้นในอีกสองวันข้างหน้า
สองวันต่อมา หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ติดตามฟางจั๋วหรานไปที่โรงเรียน
คุณครูที่จัดการเดินเรื่องให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าหลินม่ายอายุสิบแปดปีแล้ว
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงยิ้มกว้าง “ถึงจะอายุมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่ผลสอบออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทางโรงเรียนจะต้องรับคุณเข้าศึกษาต่อแน่”
ฟางจั๋วหรานกลัวว่าหลินม่ายจะตื่นเวที ดังนั้นจึงไม่ลืมกำชับเตือนเธอเป็นพิเศษก่อนเข้าสอบ “อย่ากังวลนะ ตั้งใจทำข้อสอบให้ดี เหมือนตอนที่คุณทำแบบทดสอบอยู่ที่บ้านนั่นแหละ”
หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “คุณเห็นฉันเป็นคนประหม่าง่ายหรือไงคะ?”
ทันทีที่ได้รับชุดข้อสอบ หลินม่ายก็เริ่มลงมือทำอย่างไม่รอช้า
วิชาแรกคือวิชาคณิตศาสตร์
หลังจากทบทวนความรู้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หลินม่ายก็จดจำความรู้ที่เคยเรียนในสมัยมัธยมต้นได้เกือบทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโจทย์เน้นย้ำในจุดความรู้เดิม พอได้ทำข้อสอบเป็นครั้งที่สอง ดูเหมือนว่าเส้นลมปราณตูและเส้นลมปราณเริ่นของเธอถูกกระตุ้นให้เปิดออก ทำให้เข้าใจทุกอย่างได้อย่างถี่ถ้วน
หลังจากอ่านโจทย์คณิตศาสตร์แล้ว เธอก็ลงมือเขียนคำตอบลงไปอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าเธอมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว แทบไม่ต้องเสียเวลารื้อฟื้นสูตรคำนวณเลยด้วยซ้ำ
คุณครูที่รับผิดชอบในการตรวจข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ของเธออดรู้สึกสนเท่ห์ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเธอสามารถทำข้อสอบได้อย่างรวดเร็ว จึงแอบเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ว่าเธอแค่ตอบสุ่มสี่สุ่มห้า หรือตอบด้วยจิตวิญญาณกันแน่
ทันทีที่ได้เห็น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
เด็กคนนี้เก่งจริง ๆ นอกจากจะทำโจทย์เร็วแล้วยังตอบได้อย่างถูกต้อง
ทว่าคุณครูมีสอนวิชาคณิตศาสตร์ในคาบแรก จึงได้แต่จ้องมองหลินม่ายด้วยความเสียดาย
พอเขากลับมาจากการสอนในคาบแรก หลินม่ายก็ทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์เสร็จแล้ว กระดาษทั้งหมดถูกวางไว้บนโต๊ะของเขาเพื่อรอการตรวจนับคะแนน
ส่วนตัวเธอเองก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉย ๆ แต่กำลังทำข้อสอบวิชาที่สอง… วิชาเคมี
คุณครูคณิตศาสตร์นั่งลงแล้วจัดการตรวจข้อสอบ ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีก็นับคะแนนเสร็จ
สำหรับข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ เธอตอบข้อปรนัยพลาดไปแค่ห้าคะแนน นอกเหนือจากนั้นแล้วถูกต้องทั้งหมด
กล่าวโดยสรุปก็คือหลินม่ายได้คะแนนถึงเก้าสิบห้าจากเต็มหนึ่งร้อย
คุณครูคณิตศาสตร์ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นทางสีหน้าเอาไว้ได้ รีบถามไถ่ “คนที่สอนวิชาคณิตให้เธอต้องภูมิใจมากแน่ ๆ ที่นักเรียนของเขายอดเยี่ยมแบบนี้!”
หลินม่ายตอบกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้น “คุณครูวิชาพละเป็นคนสอนหนูค่ะ”
“ครูวิชาพละสอนคณิตงั้นหรือ?” คุณครูคณิตศาสตร์มองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ
หลินม่ายจึงหยุดทำข้อสอบตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมาอธิบาย “ตอนแรกครูคณิตของหนูเขาสอนวิชาพละค่ะ แต่ต่อมาทางโรงเรียนขาดแคลนครูคณิต พวกเขาจึงเลื่อนตำแหน่งให้เขามาสอนคณิตศาสตร์เป็นการชั่วคราว ปรากฏว่าผลคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนโดยรวมดีขึ้นเกินคาด ทางโรงเรียนจึงมอบหมายให้เขาสอนคณิตเสียเลย นักเรียนอย่างเรามักจะพูดติดตลกเสมอว่าครูพละเป็นคนสอนคณิตให้กับพวกเรา”
คุณครูคณิตศาสตร์จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ
คุณครูอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาด้วยความสงสัย “นักเรียนคนนี้เก่งมากเลยเหรอ ผมนึกว่าคุณตื่นเต้นกับผลคะแนนสอบของเธอจนเสียสติไปแล้วซะอีก!”
ว่าแล้วเขาก็ยืดคอออกไปดูผลคะแนนตรงหน้า จากนั้นก็หัวเราะฮิฮิออกมา “ผลคะแนนออกมาดีจริง ๆ ถ้าเป็นผมก็คงตื่นเต้นมากไม่แพ้กัน”
คำพูดของคุณครูท่านนี้ทำให้ครูคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในสำนักงานต่างเดินมาล้อมดูผลคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของหลินม่าย หลังจากได้เห็นแล้ว พวกเขาก็เอาแต่ยกย่องชื่นชมเธอไม่รู้จบ
เดิมทีหลินม่ายพยายามรักษาสมาธิ ไม่คิดถามผลคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของตัวเองตั้งแต่แรก
แต่คำชมเชยไม่หยุดปากของคณะครูกลับกระตุ้นให้เธอรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นแล้วถามเขา “ครูคะ หนูขอรบกวนถามหน่อยได้ไหมคะว่าหนูสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้กี่คะแนน?”
“เก้าสิบห้า”
หลังจากหลินม่ายรู้ผลคะแนนสอบ เธอกลับไม่รู้สึกตื่นเต้น แต่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “หนูคงตอบคำถามแบบปรนัยพลาดไปใช่ไหมคะ? เพราะโจทย์ห้าข้อนั้นไม่ง่ายเลย”
คุณครูคณิตศาสตร์อดคิดในใจไม่ได้ ถ้าโจทย์ไม่ยาก เห็นทีเธอคงสอบได้คะแนนเต็มไปแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ น้ำก็รั่วไหลออกจากตะกร้าทันที สำนวนนี้จึงหมายถึงการทำอะไรที่สูญเปล่า คว้าน้ำเหลว ไม่ได้รับผลสำเร็จหรือไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอะไรเลย
สารจากผู้แปล
สำนึกผิดแล้วก็อย่าทำอีกนะ เป็นไงล่ะ ถ้าม่ายจื่อไม่ยอมความ ป่านนี้ก็คงติดคุกหรือไม่ก็โดนยิงเป้าไปแล้ว
ส่วนยัยหรง…เตรียมตัวโดนเชือดนะคะ ทุกคนจ้องเล่นคุณแล้ว
ไหหม่า(海馬)