ทุกคนกล่าวจบก็ออกเดินทาง ลู่เจียวพาสวีเหนียงจื่อกับหร่วนจู๋นั่งรถม้าคันหน้า คันหลังมีเฝิงจือกับตาเฒ่าเซียวนั่ง จ้าวหลิงเฟิงนั่งรถม้าตระกูลจ้าว ทุกคนตรงออกจากอำเภอชิงเหอ
เพียงแต่เมื่อรถม้ากำลังแล่นไปบนเส้นทางที่ผู้คนผ่านไปมาคึกคัก พลันมีคนขับรถม้ามาขวางทางไว้พอดี ทำเอาม้าทั้งสองคันตกใจ
ลู่เจียวเลิกม่านมองออกไปก็เห็นผู้หญิงตรงข้ามเลิกม่านมองออกมาพอดี
คนผู้นี้ลู่เจียวรู้จัก จางปี้เยียน ภรรยาหลี่เหวินปิน ตระกูลจางเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งอำเภอชิงเหอ
ลู่เจียวเห็นจางปี้เยียนก็อดคิดถึงคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่พูดกับนางก่อนหน้านี้ไม่ได้
เกรงว่าพ่อค้าอำเภอชิงเหอคงเริ่มหันมาจับจ้องพวกนาง พวกเขาคิดหาสายสัมพันธ์ใหม่
ดังนั้นการที่นางได้พบกับจางปี้เยียนในตอนนี้ เป็นเพราะตระกูลจางคิดวางอุบายอะไรหรือไม่
ลู่เจียวมองรถม้าตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย จางปี้เยียนยิ้มเอ่ยว่า “ที่แท้คือลู่เหนียงจื่อ ขออภัยที่ทำม้าพวกเจ้าตกใจ”
เห็นได้ชัดว่ามีความเกรงใจยิ่งกว่าตอนอยู่ต่อหน้าครอบครัวอาจารย์ใหญ่หลูก่อนหน้านี้
ลู่เจียวตอบด้วยสีหน้าปกติว่า “ไม่เป็นไร รถม้าบ้านเราทำรถม้าจางเหนียงจื่อตกใจ เสียมารยาทแล้ว”
“ลู่เหนียงจื่อเกรงใจไปแล้ว วันหน้าข้าขอเชิญลู่เหนียงจื่อไปดื่มน้ำชาเพื่อเป็นการขออภัย”
“จางเหนียงจื่อไม่ต้องเกรงใจไป ไม่เป็นไร”
จางปี้เยียนยิ้มละไม “พูดไปแล้ว พวกเราสองตระกูลน่าจะใกล้ชิดกันมากอีกหน่อยถึงจะถูก เหวินปินกับเซี่ยซิ่วไฉเป็นสหายสนิทร่วมชั้นเรียน”
“ใช่ ก่อนหน้านี้ตอนท่านพี่ข้าอัมพาตนอนบนเตียง หลี่ซิ่วไฉยังนำของขวัญมาเยี่ยม ท่านพี่ข้าเอ่ยถึงอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจ”
ลู่เจียวกล่าวจบ จางปี้เยียนตรงข้ามก็พลันยกมือตบหน้าผากตนเอง “ข้านึกได้เรื่องหนึ่ง เซี่ยซิ่วไฉเหมือนได้รับบาดเจ็บ พวกเราถึงกับลืมไปเยี่ยมถึงที่บ้านได้”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “จางเหนียงจื่อไม่ต้องเกรงใจ ปีนี้ท่านพี่ข้าประสบเหตุสองสามครั้ง หากเอาแต่รบกวนพวกเจ้าไปเยี่ยม ข้าคงมิกล้าออกมาต้อนรับผู้ใด”
จางปี้เยียนยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็มิใช่ว่าจงใจเป็น ไหนเลยมิกล้าออกมาต้อนรับผู้ใด”
นางกล่าวจบก็ไม่กล่าวมากความต่อ หันไปสั่งคนขับรถม้า “ถอยหลังให้พวกลู่เหนียงจื่อไปก่อน”
รถม้าตระกูลจางถอยหลังรวดเร็ว แววตาลู่เจียวหรี่ลงครุ่นคิด ไม่มีบุญคุณต่อกันมาแสดงน้ำใจให้กัน ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องดี
“พวกเราไปกันเถอะ”
ลู่เจียวสั่งคนขับรถม้าตระกูลเซี่ยขับต่อไป ตอนเคลื่อนผ่านรถม้าตระกูลจาง นางเลิกม่านไปกล่าวขอบคุณจางปี้เยียน “ขอบคุณจางเหนียงจื่อ”
“ระหว่างพวกเราไม่ต้องห่างเหินเช่นนี้”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวตามมารยาทอีกสองสามคำ จากนั้นก็ปล่อยม่านลงด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
เหตุการณ์รถม้าขวางกันโดยบังเอิญในวันนี้ เห็นชัดว่าตระกูลจางมุ่งหมายนางแล้ว
สีหน้าลู่เจียวไม่ดีอย่างมาก นางแค่นเสียงฮึเยียบเย็น ตระกูลจางคิดว่านางหลอกง่ายหรือ คิดง่ายเกินไปแล้ว
ในรถม้า สวีเหนียงจื่อกับจิ่นซิ่วต่างไม่กล้าพูดอะไร
ลู่เจียวเห็นพวกนางมีสีหน้าเคร่งเครียดตาม ก็รีบผ่อนท่าทีตนเองลง อมยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เดิมข้าคิดให้สวีเหนียงจื่อช่วยข้าดูแลโรงบ้าน ตอนนี้ข้าหาคนได้แล้ว ก็คือท่านอาเซียว ท่านอาเซียวเป็นคนหมู่บ้านตระกูลเซี่ยของพวกเรา เป็นคนดีมาก ช่วงนี้สวีเหนียงจื่อก็พักที่โรงบ้านไปชั่วคราวก่อน รอให้สองสามวันนี้ข้ามีเวลาไปดูร้านค้าสักหน่อย พอซื้อร้านค้าได้ สวีเหนียงจื่อก็จะได้ไปช่วยงานที่ร้านค้า”
ลู่เจียวไม่ได้คิดเปิดร้านค้าใหญ่มากนัก น้ำมัน เวชสำอางและยาจากโรงหีบ โรงเวชสำอางและโรงผลิตยาไม่อาจขายอยู่แค่อำเภอชิงเหอ เช่นนั้นจะเป็นการจำกัดมากเกินไป น้ำมันและยาต้องขายไปทั่วแคว้นต้าโจว ถึงตอนนั้นสินค้าย่อมผลิตไม่พอ พวกนางจะตั้งสินค้าส่วนหนึ่งขายในร้านได้ก็ไม่เลวแล้ว ดังนั้นร้านค้าไม่จำเป็นต้องใหญ่มาก
เพราะว่าจะเปิดแค่ร้านเล็กๆ ดังนั้นลู่เจียวจึงไม่ได้คิดให้สวีเหนียงจื่อลงนามในสัญญาขายตัว หากนางทำกิจการใหญ่ ย่อมต้องใช้คนที่ตนซื้อมา เพราะคนนอกไม่อาจวางใจได้ การไม่ได้ลงนามสัญญาขายตัว ทำอะไรผิดต่อเจ้านายก็จัดการได้ยาก
หากลงนามในสัญญาขายตัวแล้วกล้าทำผิดต่อเจ้านาย นางไม่เพียงแต่จัดการพวกเขาได้ ยังขายพวกเขาทิ้งได้
สวีเหนียงจื่อพยักหน้า “ได้ ข้าทำตามการจัดการของเหนียงจื่อ”
“ตกลง”
รถม้าแล่นออกจากอำเภอชิงเหอไปยังที่นาที่นางซื้อไว้
เพราะที่นาพันหมู่ไม่ได้อยู่ติดกัน จึงไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้าง
จ้าวหลิงเฟิงพานางไปที่นาที่ไกลที่สุดก่อน ที่นานี้มีหกถึงเจ็ดร้อยหมู่ แม้ไม่ได้อยู่ติดกัน แต่ก็ห่างกันไม่ไกล
ชาวนาเช่าที่นาทำกินในโรงบ้านต่างรู้ว่าเปลี่ยนเจ้าของแล้ว พวกเขารู้สึกเป็นห่วงมาตลอด ยิ่งเจ้าของใหม่ก็ไม่เคยปรากฏตัว ก็ยิ่งใจคอไม่ค่อยดี
พอพวกลู่เจียวปรากฏตัว พวกเขาก็ได้ข่าว จึงพาทุกคนในบ้านทั้งลูกเด็กเล็กแดงคนแก่คนชรามาคุกเข่าพร้อมกันหมด
“คุณชาย เหนียงจื่อ ขอพวกท่านเหลือทางรอดให้พวกเราด้วย อย่าได้ยึดที่นาคืน หากยึดคืนไป พวกเราก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปอย่างไร”
“คุณชาย เหนียงจื่อ ขอพวกท่านยอมให้พวกเราเช่าที่นาทำกินเถอะ พวกเราจะต้องตั้งใจเพาะปลูกให้ดี รับรองค่าเช่าจ่ายตรงตามเวลาทุกปี”
ชาวนาเช่าที่นาทำกินในโรงบ้านเห็นได้ชัดว่ามองว่าจ้าวหลิงเฟิงกับลู่เจียวเป็นสามีภรรยา ดังนั้นจึงได้เรียกเช่นนี้
ลู่เจียวหันไปมองจ้าวหลิงเฟิงทันที จ้าวหลิงเฟิงเองก็มองลู่เจียว
จากนั้นก็ลู่เจียวหันไปมองคนที่คุกเข่าด้านหน้า ตวาดว่า “แต่ละคนพูดจาเหลวไหลอะไรกัน”
แม้ว่าลู่เจียวหน้าตางดงาม แต่บารมีไม่ธรรมดา พอสีหน้าเยียบเย็นมีท่าทีสั่งสอนขึ้นมา ก็น่าเกรงขามพอตัว
พวกชาวนาที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าต่างตกใจ แต่ละคนรีบใจเงยหน้ามองลู่เจียวทันที
สีหน้าลู่เจียวค่อยๆ อ่อนโยนลง นางกวาดตามองชาวนาตรงหน้า กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าแซ่ลู่ เป็นคนซื้อที่นาพันหมู่นี่เอง”
จ้าวหลิงเฟิงมองออกว่าลู่เจียวไม่ค่อยพอใจ ก็ไม่กล้าทำให้นางโมโหในตอนนี้ เขารีบอธิบายว่า “ข้าคือสหายของลู่เหนียงจื่อ”
พอจ้าวหลิงเฟิงอธิบาย เหล่าชาวนาตรงหน้าจึงได้รู้ว่าตนเองเข้าใจผิด มิน่าเหนียงจื่อโมโห และฟังจากน้ำเสียงคุณชายผู้นี้ แสดงออกว่าเหนียงจื่อผู้นี้มีสามีแล้ว พวกเขาพูดเช่นนี้ออกไปเหนียงจื่อจึงได้โมโห
ชาวนาเข้าใจกระจ่างแล้ว ก็คุกเข่าขอร้องต่อว่า “ลู่เหนียงจื่อ ขอท่านให้พวกเราเช่าที่นาต่อเถอะนะ”
“หากไม่มีที่นาพวกนี้ พวกเราก็ไม่อาจมีชีวิตต่อไป”
“ลู่เหนียงจื่อเมตตาด้วย ให้พวกเราเช่าที่นาทำกินต่อเถอะนะ”
“ท่านดู พวกเราแต่ละครอบครัวหลายปากท้อง หากไม่มีที่นาพวกนี้ ก็ไม่มีข้าวจะกินแล้ว”
“หากลู่เหนียงจื่อไม่ให้พวกเราเช่าที่นาต่อ ก็เท่ากับบีบให้พวกเราไปตาย”
สุดท้ายวาจาคนผู้นี้ทำเอาสีหน้าลู่เจียวพลันแปรเปลี่ยน นางมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ผู้ชายท่าทางโง่เง่าหยาบกระด้างคนหนึ่งมีแววตาเจ้าเล่ห์
ลู่เจียวมองชายร่างใหญ่ตัวดำหยาบกระด้างผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา กล่าวเสียงเข้มว่า “หึ นี่คิดใช้คุณธรรมมาบีบข้าให้มอบที่นาให้พวกเจ้าเช่าหรือ พวกเจ้ารู้สึกว่าข้าข่มขู่ได้งั้นหรือ”
สิ่งที่ลู่เจียวไม่ชอบที่สุดก็คือผู้อื่นใช้คุณธรรมมาบีบนาง โดยเฉพาะผู้ชาย
ในส่วนลึกของนางอย่างไรก็มีความเห็นอกเห็นใจคนอ่อนแอ กับเด็กและสตรีนางเห็นใจ แต่กับผู้ชาย นางไม่มีความสงสารให้พวกเขาแม้สักนิด
บรรยากาศเย็นเยียบลงทันที