รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 193 อัจฉริยะสะท้านฟ้าแตะต้องไม่ได้ ผู้ใดแตะต้องจะต้องตาย!

บทที่ 193 อัจฉริยะสะท้านฟ้าแตะต้องไม่ได้ ผู้ใดแตะต้องจะต้องตาย!

บทที่ 193 อัจฉริยะสะท้านฟ้าแตะต้องไม่ได้ ผู้ใดแตะต้องจะต้องตาย!

ออกไปคุย?

บรรพชนพรรคจื่อเสียกับอันหลานเสวี่ยมองตากัน ความปีติยินดีปรากฏออกทางแววตา

เดิมคิดว่าคนเหล่านี้กลัวเกินกว่าจะมาส่งมอบของล้ำค่าให้พวกเขาแล้ว

แต่เมื่อพวกเขาพูดจบ คนเหล่านี้ก็มาโดยมิได้คาดคิด!

นี่คือการมาส่งมอบของล้ำค่าหายากเชียวนะ พวกเขาทั้งสองจะไม่ยินดีปรีดาได้อย่างไร?

“ได้”

บรรพชนพรรคจื่อเสียกับอันหลานเสวี่ยพยักหน้าอย่างใจเย็น แล้วทั้งหมดก็มาถึงด้านนอกพรรคจื่อเสีย

กลยุทธ์แบบเดียวกันปรากฏออกมาอีกครั้ง

ออกมาข้างนอกพรรคจื่อเสีย พวกเขาก็มาถึงแดนพิเศษแห่งหนึ่ง

สำหรับบรรพชนพรรคจื่อเสียกับอันหลานเสวี่ย เดิมทีทั้งแปดคนยังคงมีความกังวลเล็กน้อย

แต่หลังจากเข้าสู่แดนพิเศษแห่งนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่กังวลอีกต่อไป

นี่คือเขตแดนที่พวกเขาจัดไว้อย่างพิถีพิถัน หลังจากมาถึงที่นี่ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว

“ก่อนหน้าเคยมีคนมาหาพวกท่านหรือไม่” คนผู้หนึ่งถาม

ก่อนหน้ากองกำลังทั้งแปดประกาศยอมแพ้กะทันหัน พวกเขารู้สึกว่ามันแปลกเกินไป อาจจะมีเล่ห์กลซุกซ่อนไว้อยู่ พวกเขาจึงต้องการรู้สถานการณ์บางอย่างจากบรรพชนพรรคจื่อเสียกับอันหลานเสวี่ย

“อืม มีคนมาหาพวกข้าสองรอบ ทุกครั้งล้วนมากันแปดคน”

บรรพชนพรรคจื่อเสียตอบกลับ

คนผู้นี้ต้องการรู้สถานการณ์บางอย่างจากพวกเขา แล้วเหตุใดเขาถึงจะไม่อยากรู้สถานการณ์บางอย่างจาก

คนพวกนี้

จวบจนตอนนี้ เขาก็ยังไม่ทราบภูมิหลังของคนเหล่านี้เลย

“สองรอบ?”

คนผู้นี้ขมวดคิ้ว จะสองรอบได้อย่างไร?

ก่อนหน้ามีเพียงกองกำลังทั้งแปดเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ เพียงแค่มาที่นี่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว เหตุใดพวก

เขาถึงต้องมาที่นี่สองครั้งล่ะ?

เขามองไปที่คนอีกเจ็ดคนซึ่งกำลังงุนงงเช่นกัน คิดแล้วก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด

“พวกเจ้าคืออีกกลุ่มใช่หรือไม่?” บรรพชนพรรคจื่อเสียถาม

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา?”

คนผู้นี้ไม่ตอบคำถามของบรรพชนพรรคจื่อเสีย อีกฝ่ายเพียงต้องการทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับทั้งสองกลุ่มก่อนหน้านี้

เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ?

ล้วนตายตกกันทั้งหมดอย่างไรเล่า!

คนพวกนี้ไม่รู้หรือ?

หรือเป็นคนอีกกลุ่ม จึงไม่รู้ว่าสองกลุ่มก่อนหน้าได้ตายตกไปแล้ว?

“พวกเขามาที่พรรคจื่อเสียได้ครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอันใดมากแล้วก็จากไป”

บรรพชนพรรคจื่อเสียกล่าว พยายามดึงคำพูดจากคนเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด

จากไปโดยไม่พูดอันใด?

คนทั้งแปดมองหน้ากันอย่างสับสนมากยิ่งขึ้น

“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”

คนผู้หนึ่งพูดด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าขอค้นวิญญาณเจ้าหน่อยแล้วกัน!”

พลันลำแสงพุ่งออกมาจากหน้าผากของเขา มันเป็นแสงแห่งวิญญาณ พุ่งตรงไปยังบรรพชนพรรคจื่อเสีย เพื่อต้องการค้นวิญญาณของบรรพชนพรรคจื่อเสีย!

ไม่ว่าจะถามกี่ทีก็ไม่ดีเท่ากับการค้นวิญญาณ

หากได้ค้นวิญญาณ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รู้สิ่งที่พวกเขาอยากรู้เท่านั้น พวกเขายังไม่ต้องกังวล

ว่าบรรพชนพรรคจื่อเสียจะหลอกลวงพวกเขาด้วย

ความทรงจำในวิญญาณไม่สามารถโกหกได้

อันหลานเสวี่ยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางทำได้เพียงเรียกภาพทิวทัศน์หิมะออกมาเท่านั้น

เป็นไปไม่ได้ที่นางจะปล่อยให้คนพวกนี้ค้นวิญญาณของอาจารย์ปู่!

หลังจากค้นวิญญาณแล้ว อาจารย์ปู่ย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงขั้นตายตกได้ทันที

หากหลังจากได้ค้นวิญญาณของอาจารย์ปู่แล้ว คนเหล่านี้ย่อมรู้ทุกอย่างได้ในทันที และรู้ว่าไม่

อาจหลบหนีไปได้ ถึงตอนนั้นไม่แคล้วได้ระเบิดร่างกันอีก

พรึ่บ พรึ่บ!

ภาพทิวทัศน์หิมะลอยออกมา แสงเย็นเยียบส่องประกายเจิดจ้า แล้วพื้นที่ทั้งหมดก็ถูกแช่แข็งทันที ทั้งแปดคนไม่มีเวลาแม้แต่จะโต้ตอบ พลันถูกแช่แข็งจนกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งในบัดดล

“อย่าเพิ่งรีบระเบิดตัวเอง พวกข้าสามารถมอบทางรอดให้พวกเจ้าได้!” บรรพชนพรรคจื่อเสียตะโกน

แต่คนทั้งแปดนี้เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่เหมือนกับสองกลุ่มก่อนหน้า ฉับพลันก็บังเกิดเสียงระเบิดจากประติมากรรมน้ำแข็ง ชิ้นส่วนเลือดเนื้อกระเซ็นทั่ว คนทั้งแปดยังเลือกที่จะระเบิดตัวเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

“เอาอีกแล้ว!” บรรพชนพรรคจื่อเสียถอนหายใจ

เป็นไปได้อย่างไรที่คนซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จะเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดเหมือนกันปานนี้?

มันเป็นไปไม่ได้!

อันหลานเสวี่ยดึงพลังหิมะเยือกแข็งกลับมา พลันมีบางอย่างตกลงมาจากด้านข้างของคนทั้งแปด แต่มันไม่ใช่อาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพียงอาวุธศักดิ์สิทธิ์แปดชิ้นเท่านั้น

อันที่จริงยังมีสิ่งอื่น ๆ อีก แต่ของพวกนั้นถูกทำลายเพราะแรงระเบิดของทั้งแปดคน จึงมีเพียงอาวุธศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ยังรักษาไว้ได้

“อาวุธศักดิ์สิทธิ์…ก็ไม่เลว!”

อันหลานเสวี่ยและบรรพชนพรรคจื่อเสียเก็บอาวุธศักดิ์สิทธิ์แปดชิ้นและกลับไปที่พรรคจื่อเสีย

ณ ภาคกลาง

สีหน้าของผู้นำกองกำลังทั้งแปดล้วนหม่นหมองเป็นอย่างมาก

ตะเกียงแห่งชีวิตของยอดฝีมือทั้งหมดที่พวกเขาส่งออกไป ซึ่งสว่างไสวตลอดเวลาดับลงแล้ว นั่นหมายความว่าผู้ฝึกตนทั้งแปดคนนั้นตายแล้ว!

“อย่างที่คาดไว้ ช่างยุ่งยากยิ่งนัก!”

“บัดซบ!”

พวกเขาสบถด่าไม่รู้จบ ลัทธิเสวียนเหยียนและกองกำลังทั้งแปดก่อนหน้านั้นยอมแพ้อย่างกะทันหัน มองอย่างไรก็ย่อมรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในพรรคจื่อเสีย แล้วเพราะเหตุนี้มันจึงทำให้พวกเขาสูญเสียยอดฝีมือไปแปดคน

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะรับอัจฉริยะสะท้านฟ้าทั้งแปดคนไป

ตลกแล้ว หากมันยอมรับได้ง่ายปานนั้น ลัทธิเสวียนเหยียนและกองกำลังอื่น ๆ จะล้มเลิกง่าย ๆ ได้อย่างไร?

พรรคจื่อเสียนั่นน่าพิศวงยิ่ง จะต้องมีเรื่องแปลกประหลาดมากอยู่แน่ ๆ หากกลับไปอีกพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียที่ร้ายแรงกว่านี้แน่นอน

ผู้นำทั้งหมดประกาศทันทีว่า พวกเขาล้มเลิกสิทธิ์ในการรับอัจฉริยะสะท้านฟ้า และปล่อยให้กองกำลังอื่นช่วงชิงไป

“นี่มัน… สถานการณ์เป็นอย่างไร?”

“อันใดกัน ก่อนหน้านี้พยายามช่วงชิงสิทธิ์กันแทบตาย แล้วมาตอนนี้ไฉนถึงล้มเลิกกันหมดเลยเล่า”

กองกำลังอื่นตกอยู่ในความงุนงงโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

กองกำลังทั้งแปดนี้ไม่ได้อธิบายอะไรไว้เลย

พวกเขาหวังว่ากองกำลังอื่น ๆ จะเสียรู้บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดเตือนกองกำลังอื่น ๆ

แม้ว่ากองกำลังอื่นจะรู้ว่าต้องมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายในนั้น

แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา พวกเขามักจะมีความคิดเพ้อฝัน ไม่อยากล้มเลิกเรื่องอัจฉริยะสะท้านฟ้า

กองกำลังที่เหลือประลองฝีมือกันอีกครั้ง เพื่อหาผู้ชนะคนใหม่

จากนั้นไม่นาน กองกำลังทั้งแปดกลุ่มใหม่ก็พยายามช่วงชิงกันอย่างสุดชีวิต ทว่าในภายหลังก็ประกาศล้มเลิกโดยมิคาดคิด!

“อันใดกันอีกนี่!”

“ไม่เอาอัจฉริยะสะท้านฟ้าแล้ว!”

ในใจพวกเขาหวาดกลัวอย่างที่สุด และไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งกับอัจฉริยะสะท้านฟ้าอีก

เยี่ยมไปเลย แปดกลุ่ม สามรอบ รวมเป็นยี่สิบสี่กองกำลังเช่นนี้ ที่เหลือยังจะกล้าตัดสินใจได้อย่างไร?

นอกจากนั้น…มันก็เหลือแค่ไม่กี่กลุ่มแล้ว

ชิงโจว

หนึ่งในสิบแปดแคว้นของดินแดนหยิน และอยู่ติดกับเหยียนโจว

ตอนนี้เอง จู่ ๆ แสงมารก็พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา สั่นสะเทือนไปทั้งชิงโจว ทำเอาประชาชนทั้งชิงโจวตกอยู่ในความหวาดหวั่น

“เกิดอันใดขึ้น!”

“ข้าก็ไม่รู้ ไปดูกันเถิด!”

ผู้ฝึกตนของชิงโจวจำนวนนับไม่ถ้วนรีบมุ่งหน้าไปที่แห่งนั้น เพราะต้องการดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น

พวกเขาเก่งกาจกว่าผู้ฝึกตนของเหยียนโจวที่อยู่ใกล้กัน ซ้ำยังมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนในขอบเขตเบิกวิถี และส่วนใหญ่ก็อยู่เหนือขอบเขตเบิกวิถี!

ในขณะเดียวกัน ณ สถานที่ที่แสงมารปรากฏขึ้น ดาบสีโลหิตทะลุผ่านพื้นดินและส่องแสงออกมา!

“มิรู้ว่าผ่านมานานเท่าใดแล้ว ในที่สุดข้าก็คลายผนึกได้ สามารถยลผืนนภาและดวงตะวันได้อีกครั้ง!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลก ๆ ดังออกมาจากดาบเล่มนี้ มิหนำซ้ำมันยังทำให้ผู้คนขนลุกเมื่อได้ยิน

“แต่สถานการณ์แย่ไปหน่อยนะ อีกทั้งเรี่ยวแรงก็ใกล้หมดแล้ว!” เสียงนั้นดังออกมาจากดาบ

“ไปก่อน หาที่ปลอดภัยเพื่อฟื้นฟูพลัง!”

มันสัมผัสได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายกำลังตรงเข้ามาหามัน มันจึงรีบกลั้นหายใจและหนีออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ มันไม่สามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ หากอยู่ที่นี่ต่อไปก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องราวขึ้น!

หากมันพบสายเลือดที่ผนึกมันไว้ และถูกผนึกอีกครั้ง เมื่อนั้นความพยายามทั้งหมดที่ทำมาก่อนหน้านี้จักสูญเปล่าทันที!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท