บทที่ 734 ดวงใจอันแน่วแน่!
สิ่งที่เขาต้องหามาให้ได้เพื่อที่จะออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์และกลับไประบบสุริยะก็คือ…เรือบินรบดวงเนตรสวรรค์!
หลังจากใช้เวลาศึกษาบันทึกที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้เรื่องอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น การที่อารยธรรมแห่งนี้มีชีวิตอยู่รอดด้วยการปล้นชิงทรัพย์ทำให้พวกเขามีเรือบินรบแบบพิเศษ
ความก้าวหน้าของอารยธรรมนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนออกไปปล้นชิงมากเท่าไหร่ นี่คือวัฒนธรรมของพวกเขา แม้บางทีจะมีแยกออกไปปล้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มักจะมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเหมือนฝูงผึ้งที่ออกล่าและโจมตีเป็นกลุ่มก้อน เป็นเหตุให้เกิดความต้องการเรือบินรบที่สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมระยะทางไกล การศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเรือบินรบจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
ถึงจะเรียกว่าเรือบินรบ แต่จริงๆ แล้วมันคือปราการรบที่แข็งแกร่งกว่าที่ข้าเคยสร้างในระบบสุริยะ อีกทั้งยังเร็วกว่าปราการดวงจันทร์หลายเท่า! หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เขาคิดถึงการเดินทางข้ามอวกาศด้วยเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราด้วยเช่นกัน แต่คงใช้เวลานานเกินไปกว่าจะกลับไปถึงระบบสุริยะได้ จะหยุดพักระหว่างทางก็ไม่ได้ แถมยังมีอุปสรรคที่ไม่คาดคิดรออยู่ตามทางอีก
ปราการที่ทนทานและแข็งแกร่ง มีพลังโจมตีรุนแรงรวมถึงพลังนำทาง คือสิ่งที่เขาต้องการ
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกเมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตาของเขาส่องแสงเป็นประกาย ไม่มีใครในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าใจความแน่วแน่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ แต่ถ้าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มแน่
ความรู้สึกเหล่านี้…คือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลับไปยังระบบสุริยะเพื่อขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ!
หวังเป่าเล่อไตร่ตรองว่าตนได้เดินทางมาไกลเพียงใดแล้วตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐเสียที เขาไม่สามารถควบคุมความรู้สึกที่คุกรุ่นในใจตอนนี้ได้
ก่อนหน้านี้ ข้าขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้เพราะหน้าตาดีเกินไป อีกทั้งยังบังเอิญมีบรรดาศักดิ์ไม่ถึงขั้น!
ข้าลำบากลำบนลดน้ำหนักลงเพื่อซ่อนรูปโฉมอันงดงามตามธรรมชาติเอาไว้ ไต่เต้าขึ้นมาจนมีบรรดาศักดิ์ถึงขั้น ตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่ศิษย์พี่กลับพรากโอกาสนั้นไปจากข้า…ตอนนี้ สิ่งเดียวที่ขวางทางข้าไม่ให้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐคือการที่ข้าไม่มีเรือบินรบ! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจัง เขายกมือขวาขึ้นโบก เรียกถุงขนมออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บและเริ่มเคี้ยวกินเสียงดัง
เหมือนว่าเขากำลังแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่อันแรงกล้าผ่านแรงขบเคี้ยว เขาเคี้ยวขนมเสียงดัง ผสานความตั้งใจอันแรงกล้าและแรงกัดเป็นหนึ่งเดียว!
ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ! หวังเป่าเล่อเคี้ยวขนมพร้อมให้สัญญากับตนเอง
ชายหนุ่มไม่ได้เสียสติขนาดนั้น เขาห้ามใจไม่ให้ตนเองกินขนมจนหมดและเก็บขนมที่เหลืออยู่ครึ่งถุงเข้ากระเป๋าคลังเก็บไป หวังเป่าเล่อเตรียมการไว้พร้อมสรรพสำหรับการเดินทางไกลจากโลก จึงมีขนมมากมายหลายแบบจำนวนเกือบพันถุงอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ แต่ใครจะรู้เล่าว่าเขาต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไร ทำให้ชายหนุ่มระมัดระวังไม่กินขนมเยอะเกินไป
ข้าต้องวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไป… หวังเป่าเล่อลูบคางและเริ่มครุ่นคิด เนื่องจากมีเป้าหมายอยู่แล้วก็ควรมุ่งหน้าทำตามเป้าหมายที่มี เขาคิดว่าตนเองมีทางหาเรือบินรบอยู่บ้าง หากไม่ใช้ของคนอื่นก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง
ถ้าเลือกอย่างแรกก็คงต้องหาซื้อธาราจอมตะกละ ซึ่งคงจะง่ายกว่าเพราะแค่มีเงินพอก็ซื้อได้ อาจจะลำบากในการหาเงิน แต่เขาก็คิดว่าถ้าตั้งใจลงมือก็คงแก้ปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย
หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจว่าเรือบินรบของคนอื่นจะใช้งานได้ดีหรือไม่ เพราะตั้งใจว่าจะออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ไป อาจจะต้องเจออุปสรรคมากมายระหว่างทาง เขาต้องสามารถซ่อมเรือบินรบได้ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา
หลังจากเทียบข้อดีข้อเสียของทางเลือกที่มี ชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้
ข้าจะศึกษาวิธีสร้างเรือบินรบและสร้างเรือบินรบเป็นของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน และซ่อมแซมได้ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา
หนทางนี้อาจจะยากสำหรับคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่กับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทที่สามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดได้ เขาอาจจะยังไม่สามารถหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้สมบูรณ์ แต่ก็สามารถซ่อมได้โดยไม่มีปัญหา พอเริ่มเข้าใจระบบอาวุธเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ ขอแค่รู้วิธีก็พอ
วันคืนผ่านไป หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าศึกษาอย่างหนัก สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้มีศิษย์มากมาย แม้จะมีกันประมาณหกร้อยคนในสำนักตอนนี้ แต่ทุกคนก็รู้จักกันดี ทำให้หวังเป่าเล่อโดนขัดจังหวะอยู่บ่อยๆ
หวังเป่าเล่อไม่สามารถบอกปัดเหล่าผู้มาเยือนได้เพราะพวกเขาคือเพื่อนของหลงหนานจื่อ นอกจากนี้เขายังอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มต้อนรับผู้มาเยือนแต่ละคนอย่างกระตือรือร้น ขณะกำลังถกกันเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตที่แสนไม่แน่นอน หวังเป่าเล่อก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เพิ่มเติมไปด้วย
“สำนักใหญ่จะมาเมื่อไหร่เช่นนั้นหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนกำลังตัดสินใจว่าจะอยู่กับสำนักต่อไปดีหรือไม่…”
“สำนักพันวิญญาณเข้ามาหว่านล้อมศิษย์ของพวกเขา ข้อเสนอฟังดูน่าสนใจ พวกเขาถามเราว่าจะไปร่วมสำนักพวกเขาหรือไม่…”
ข่าวคราวจากเหล่าผู้มาเยี่ยมเยือนเผยให้เห็นถึงความกังวลใจในหมู่สานุศิษย์ ระหว่างการมาเยี่ยมเยือนจากหลายๆ คน มีอยู่สองครั้งที่เพื่อนสนิทของหลงหนานจื่อสงสัยว่าเขามีอะไรแปลกไป หวังเป่าเล่อจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้พลังปราณอันแข็งแกร่งร่ายคาถาเปลี่ยนความคิดพวกเขา ชีวิตของชายหนุ่มดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
ผู้อาวุโสสูงสุดเรียกหวังเป่าเล่อไปหาครั้งหนึ่ง เขาถามข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านการฝึกตน ผู้อาวุโสไม่ได้สนใจหลงหนานจื่อที่ไม่ได้บรรลุขั้นฝึกตนมานานหลายปีเท่าไรนัก ทำให้ไม่ได้ตระหนักว่าหลงหนานจื่อนั้นโดนสับตัวไป หลังจากกล่าวให้กำลังใจเล็กน้อย ผู้อาวุโสก็กล่าวกับหวังเป่าเล่อก่อนจะส่งเข้ากลับไป
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันยากลำบากของสำนัก เราต้องการความร่วมมือจากทุกคน นี่คือทางเดียวที่จะฟื้นฟูสำนักให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนในอดีตและปกป้องศิษย์ทุกคนต่อไปได้”
คำพูดเหล่านี้เบื้องหน้าเหมือนจะไม่มีอะไร ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้เรียกหวังเป่าเล่อไปแค่คนเดียว แต่ยังเรียกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนที่ยังฝึกวิชาต่อแม้สำนักจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากไปพบ ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวให้กำลังใจและกล่าวปิดด้วยคำพูดเดียวกัน ตอนนี้สำนักตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย อาคารต่างๆ ถูกสำนักอื่นรื้อถอนไปเกือบหมด สำนักในตอนนี้ดูว่างเปล่า เป็นภาพอันแสนเศร้าเกินจะทนมองได้
ในฐานะผู้อาวุโส การให้กำลังใจศิษย์และปลอบให้พวกเขาหายกังวลเป็นสิ่งที่สมควรทำ
แต่…หวังเป่าเล่อนั้นได้ศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาไต่เต้าขึ้นมาจนมีตำแหน่งสูงในระบบสุริยะ ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหลังจากกลับออกไป
เป็นคำขู่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหัวเราะ ตัดสินใจเมินเฉย เขาทำใจเย็นตลอดการเข้าพบ ไม่ได้กังวลว่าตัวตนจะถูกเปิดโปง คำขู่ที่แอบแฝงในคำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแตกตื่นแต่อย่างใด ถึงผู้อาวุโสสูงสุดจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของตนจริง ชายหนุ่มก็แค่ปลิดชีพชายวัยกลางคนผู้นั้นและใช้ตัวตนของเขาแทน
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ตระหนักว่าถ้าตนจำแลงกายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดก็จะต้องพบปัญหาชุดใหม่ ทั้งเครือข่ายของผู้อาวุโสสูงสุด การรับมือกับสำนักใหญ่ รวมไปถึงการจัดการภายใน เขาจะค้นดวงวิญญาณผู้อาวุโสสูงสุดหาข้อมูลเพิ่มก็ได้ แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็ไม่ได้ห่างกันมาก ถึงจะทำได้สำเร็จก็คงไม่สามารถได้ข้อมูลมาครบสมบูรณ์ นอกจากนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติในตัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทิ้งความคิดที่จะจำแลงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดไปหลังจากผ่านการไตร่ตรองแล้ว
เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะไว้ชีวิตเขา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ เขากลับไปยังที่พักและศึกษาขั้นตอนการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต่อ
เจ็ดวันผ่านไปในพริบตาเดียว
การมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ในสำนักสร้างประโยชน์ให้หวังเป่าเล่อ ในที่สุดเขาก็แทรกซึมเข้าไปในสำนักได้อย่างสมบูรณ์ ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่แปลกประหลาดสำหรับเขาอีกต่อไป ขณะที่ชายหนุ่มถามคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ก็ทำให้ได้ทราบเหตุผลว่าเหตุใดถึงเกิดหายนะขึ้น และทำไมทางสำนักต้องเปิดประมูลทรัพย์สินของตนเอง
ทุกอย่างเชื่อมโยงไปถึง…เรือบินรบที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ใช้ออกปล้นและพยายามซ่อมแซมอยู่!
เรือบินรบลำนี้คือของล้ำค่าที่สุดในสำนัก ต้องใช้เวลาหลายรุ่นถึงจะสร้างได้สำเร็จ ทรัพยากรจำนวนมากหมดไปกับการสร้างเรือบินรบลำนี้ซึ่งเป็นกุญแจหลักที่ทำให้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สามารถยืนหยัดได้ต่อไป
เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสสูงสุดเปิดประมูลทรัพย์สินของสำนักและกว้านซื้อวัตถุดิบจำนวนมากมา นอกจากนี้ยังรวบรวมผู้ฝึกตนทุกคนในสำนักที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและส่งไปยังเขตหวงห้ามของสำนักเพื่อซ่อมแซมเรือบินรบโดยไม่หยุดพักด้วย
หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจการค้นพบครั้งนี้ การศึกษาที่ผ่านมาทำให้มีความรู้แค่ในทางทฤษฎี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท ชายหนุ่มรู้ดีว่าการได้ลงมือทำนั้นสำคัญเพียงใด นอกจากนี้ หากสามารถเข้าไปร่วมซ่อมแซมเรือบินรบได้ เขาก็จะมีข้อมูลในการหลอมเรือบินรบเป็นของตนเองมากขึ้น
เขาจัดเรียงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ได้เรียนรู้มาให้เป็นระบบ จากนั้นก็ออกจากที่พักและมุ่งหน้าไปยังเขตหวงห้าม ผู้อาวุโสสูงสุดคอยควบคุมงานอยู่ที่นั่น หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจจะไปเสนอตัวขอช่วยเหลือการซ่อมแซมเรือบินรบ
“ผู้อาวุโสสูงสุด ในฐานะสมาชิกสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ข้าไม่สามารถนั่งทนดูสำนักตกระกำลำบากได้ ใจข้าไม่อาจมุ่งสนใจการฝึกวิชาได้แม้แต่น้อย ข้าจึงอยากเข้าร่วมการซ่อมเรือบินรบ อยากทุ่มกายใจเพื่อสำนัก นี่คือของทั้งหมดที่ข้าสะสมมาได้ ข้ายอมมอบทุกอย่างให้ทางสำนักนำไปใช้ ข้ายอมทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ข้าขอสาบานว่าจะร่วมหัวจมท้ายไปกับสำนัก!”
หวังเป่าเล่อรออยู่นานกว่าจะได้เข้าพบผู้อาวุโสสูงสุด พอเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่าย เขาก็รีบหยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาวาง จากนั้นก็กล่าวเสียงดัง ประกาศก้องถึงความภักดีที่มีต่อสำนักให้ทุกคนได้ทราบ ชายหนุ่มทุบอกเสียงดังเพื่อทำให้การกระทำของเขาดูจริงใจมากยิ่งขึ้น
……………………………….