เจ้าอาวาสฟางจ้างตาโต ”เจ้าตัวเหม็น เอ่อ ไม่สิ อาตมาหมายถึงดวงชะตาขององค์ชายสามยอดเยี่ยมเทียมฟ้า ย่อมมีโชควาสนาได้คู่ครองที่ดี” ไร้สาระ! ใครที่แต่งงานกับเขาคงดวงซวยเสียไม่มี! หญิงที่แต่งกับคนเช่นนี้จะมิถูกยั่วโมโหจนอกแตกตายเลยรึ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าตัวเหม็นนี่ทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำในคืนวันแต่งงานเป็นด้วยหรือ ฮ่าๆๆ ทำไปได้ครึ่งทางก็คงหน้าดำคล้ำหมองแล้วกระมัง!
อดีตฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฟางจ้างเกือบจะพูดคำว่า ’เจ้าตัวเหม็น’ ออกมา เขาไม่ได้เปิดโปงอีกฝ่าย แต่กลับยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย ”เช่นนั้นข้าขอน้อมรับคำชี้แนะของพระอาจารย์ ไปกันเถอะ อย่าปล่อยให้เด็กรุ่นหลังต้องร้อนใจรอเราเลย”
การเดินทางจากห้องโถงใหญ่ไปยังห้องด้านข้างนั้นไม่ได้ใช้เวลานานเท่าใดนัก พวกมันห่างกันเพียงไม่กี่สิบก้าว
เมื่อเห็นว่าอดีตฮ่องเต้เสด็จออกมาแล้ว ลูกศิษย์ทั้งหลายจึงค่อยๆ ทำความเคารพทีละคน
ขณะที่อดีตฮ่องเต้กำลังจะบอกให้พวกเขาลุกขึ้นยืน เขาก็ได้ยินเสียงดัง ’ตุ้บ’ เข้าเสียก่อน!
ดูเหมือนจะมีอะไรตกลงพื้น และด้วยความที่ภายในวัดเงียบสงบเป็นอย่างมาก เสียงที่เกิดขึ้นจึงฟังดูแสบแก้วหูยิ่งนัก
ทุกคนเบนสายตาไปยังทิศทางที่เกิดเสียง สายตาของพวกเขาหยุดลงที่ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองพื้น จากนั้นจึงหรี่ตามองเสิ่นเวินหว่านที่ยืนอยู่ข้างนาง
เสิ่นเวินหว่านคล้ายยังไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย บนใบหน้าของนางปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา ”เวยเวย ทำไมเจ้าถึงพกของติดตัวมามากมายถึงเพียงนี้”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยมีรอยยิ้มเย็นชาค้างอยู่ นางกอดอก ”ข้าพกอะไรมา พี่เสิ่นย่อมรู้ดียิ่งกว่าข้าเสียอีกมิใช่หรือ” หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายชนนางเข้า มีหรือที่ของพวกนี้จะหล่นลงไปได้ นางบอกว่าเมื่อถึงเวลา นางจะเดินชนเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แต่ตอนนี้ กลับเป็นนางที่ถูกชนเสียได้ ช่างแสดงละครได้ยอดเยี่ยมจนสมควรได้รับรางวัลจริงๆ
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากเครื่องประดับเพียงไม่กี่ชิ้นนี่ ข้าช่วยน้องสาวเก็บก็แล้วกัน” พอพูดจบ เสิ่นเวินหว่านถึงได้ก้มตัวลง จากนั้นนางก็ทำหน้าเหมือนคนที่เห็นสิ่งที่น่ากลัวเข้า นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว ”นี่มัน นี่มันอะไรกัน!”
เสียงของตกพื้นในตอนแรกก็เรียกความสนใจจากอดีตฮ่องเต้ได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว มาตอนนี้เมื่อเสิ่นเวินหว่านแสร้งแสดงอาการเช่นนี้ออกมาอีก จึงย่อมได้ผลเป็นธรรมดา
อดีตฮ่องเต้พร้อมกับกลุ่มเสนาบดีออกเดิน เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับถามว่า ”เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ ไม่มีอะไรเพคะ” ยิ่งเสิ่นเวินหว่านออกอาการเช่นนี้ คนก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น
อดีตฮ่องเต้หรี่ตา และกำลังจะเดินเข้าไปดู
ใบหน้าเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มีสีหน้าตกตะลึงทันทีที่นางเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้น ”กำไลหยกเส้นนี้ สร้อยเส้นนี้… พวกมันเป็นของท่านแม่มิใช่หรือ พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงมีเครื่องประดับของท่านแม่อยู่กับตัวได้เจ้าคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางรู้สึกว่ามันตลกยิ่งนัก พร้อมกันนั้นนางก็ตอบว่า ”เจ้ากำลังพูดถึงท่านแม่คนใดอยู่หรือ”
“นั่นอะไรน่ะ!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่สนใจว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะตอบอย่างไร นางก้าวถอยหลังออกมา ”ไม้มนต์ดำนี่ ท่านพกไม้มนต์ดำติดตัวมาที่วัดจริงๆ ด้วย!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็สูดหายใจเข้าพร้อมกัน ”มิน่าล่ะถึงได้มีแต่เรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน สรุปว่ามีใครบางคนเล่นแผลงๆ อยู่นี่เอง”
“นางมีกระทั่งเครื่องประดับของฮูหยินซูอยู่กับตัว ดูเหมือนว่านางจะเอาแต่สาปแช่งฮูหยินซูตลอดการเดินทางมาที่นี่”
“เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ช่างใจกล้าเสียจริง ถ้าเป็นข้า ข้าคงไม่กล้าแตะต้องสิ่งชั่วร้ายพรรค์นี้หรอก”
“คอยดูเถอะ อดีตฮ่องเต้ต้องไม่ปล่อยนางไว้แน่ เดิมทีพระองค์ตั้งใจมาที่นี่ก็เพื่อไหว้พระขอพร แต่กลับมีคนเอาของอัปมงคลเช่นนี้เข้ามาในวัดด้วย ต่อให้พระองค์ทุ่มเทสวดมนต์ภาวนาเพียงใด ก็ไม่สามารถรับพรได้หรอกกระมัง”
ในเวลานี้อดีตฮ่องเต้เดินมาถึงแล้ว แขนเสื้อยาวของเขาสะบัดเป็นคลื่นอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ เขาเคลื่อนตาลงมองเศษไม้สีดำที่โผล่ออกมาจากถุงผ้าสีเหลืองบนพื้น ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ดำทะมึน ”ใครเป็นคนนำสิ่งนี้เข้ามาที่นี่”
ห้องด้านข้างตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
เสิ่นเวินหว่านก้มหน้า น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์แผ่วเบาเฉกเช่นเดียวกับตัวนาง ”ทูลอดีตฮ่องเต้ ของพวกนี้ล้วนหล่นลงมาจากตัวของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนเพคะ”
อดีตฮ่องเต้เคลื่อนสายตากลับขึ้นมามองที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว ”เมื่อครู่นี้ พี่เสิ่นเดินชนดังนั้นเครื่องประดับพวกนี้ก็เลยร่วงลงพื้นจนรบกวนความเงียบสงบของวัดแห่งนี้เข้า อีกทั้งยังทำให้อดีตฮ่องเต้ตกพระทัยด้วย ได้โปรดยกโทษให้พวกหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
ตาทั้งสองข้างของเสิ่นเวินหว่านหรี่ลง นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุกข์ใจว่า ”เหมือนน้องสาวตั้งใจจะบอกว่าข้าจงใจเดินชนเจ้า พี่ไม่คิดถือสาหาความหรอกว่าน้องจะคิดเช่นใด เพียงแต่น้องสาวเอาของอัปมงคลเช่นนี้ติดตัวขึ้นเขามาด้วยได้อย่างไรกัน หากมันทำร้ายใครเข้าจะเกิดอะไรขึ้น”
“เศษไม้กับเครื่องประดับแค่ไม่กี่ชิ้นจะทำร้ายใครได้” หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ นางก็ทำท่าจะก้มลงเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สาวเท้าออกมาแล้วกดข้อมือของนางไว้ให้อยู่กับที่ นางดูเดือดดาลยิ่งนัก ระหว่างนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยดวงตาอันแดงก่ำว่า ”พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แต่วันนี้ข้าไม่อาจปกป้องท่านได้อีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ เครื่องประดับแต่ละชิ้นที่ท่านพูดถึงนั้น ทุกชิ้นล้วนแต่เป็นสมบัติของท่านแม่ของข้า ไม้ชิ้นที่อยู่บนพื้นคือไม้มนต์ดำ นับเป็นไม้ที่ชั่วร้ายที่สุดบนแผ่นดิน หากท่านไม่มีคำอธิบายให้ข้าล่ะก็ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปล่อยมือเจ้าค่ะ!”
“คำอธิบายหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย ”ระหว่างที่พวกเรากินข้าวเย็นกันอยู่ เสี่ยวเหลียนก็เอาเครื่องประดับพวกนี้มามอบให้ข้า โดยบอกว่าท่านแม่คนนั้นต้องการยกให้ข้า สำหรับใช้เป็นสินเดิม”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เอียงศีรษะคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในหัว จากนั้นไม่นาน นางจึงเอ่ยกับอดีตฮ่องเต้ว่า ”เพื่อไขข้อข้องใจในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ขออดีตฮ่องเต้ได้โปรดอนุญาตให้หม่อมฉันเรียกตัวเสี่ยวเหลียนเข้ามาด้วยเพคะ”
ปลายคิ้วของอดีตฮ่องเต้เลิกขึ้น พร้อมกันนั้นเขาก็รับสั่งว่า ”นำตัวเสี่ยวเหลียนเข้ามา!”
เจ้าอาวาสฟางจ้างยืนมองเหตุการณ์นี้อยู่ที่มุมหนึ่ง เขาเผลอถอนหายใจออกมา กลอุบายเช่นนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นอยู่เสมอสมัยที่เขายังเป็นบุตรชายในตระกูลขุนนาง ก่อนที่เขาจะมาบวชเป็นพระ
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เช่นนี้ถูกจัดฉากขึ้นด้วยฝีมือของใครบางคนที่อยากจะเห็นเด็กสาวคนนั้นตกนั่งลำบาก
คาดว่าต่อให้นำตัวสาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวเหลียนเข้ามา ก็มีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในเวลานี้เลวร้ายลงกว่าเดิม
แน่นอนว่าคนฉลาดเช่นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมมองสถานการณ์นี้ออกในพริบตา ดวงตาเรียวแคบของเขาหรี่เข้าหากัน เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”แค่ของตกเพียงไม่กี่ชิ้นก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้แล้วหรือ”
เจ้าอาวาสฟางจ้างถึงกับแคะหูตัวเองด้วยความประหลาดใจ เขาได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า เจ้าหนุ่มนี่เอ่ยปากขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวคนนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไร!
เขาจะยอมพูดช่วยเด็กสาวคนหนึ่งได้อย่างไรกัน!
เจ้าหมอนี่ต้องรู้สึกหงุดหงิดเพราะคิดว่าการสอบสวนเรื่องนี้คงจะยุ่งยากเกินไปต่างหาก เขาถึงได้พูดแบบนั้นออกมา
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน นางหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสีหน้าประหม่า แล้วยิ้มออกมาอย่างอายๆ ”องค์ชายเพคะ เรื่องนี้ไม่ใช่การตีโพยตีพายแต่อย่างใด เพียงแต่องค์ชายอาจจะยังไม่เข้าใจถึงความชั่วร้ายของไม้ชนิดนี้ก็เท่านั้น เราต้องทำการสอบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่างเพคะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับปรายตามองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
สายตานั้นปราศจากความอบอุ่น และทำให้ท่าทางของเขาดูสง่างามราวกับอสรพิษที่กำลังจำศีลอยู่ใต้พุ่มไม้ เย็นชาจนทำให้คนที่เห็นต่างพากันหวาดกลัว
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก นางขยับตัวออกมาจากสายตาของเขา ก่อนจะเคลื่อนสายตาของตนไปทางเสี่ยวเหลียนที่เพิ่งเดินเข้ามา
เพราะเหตุการณ์นี้ถูกเตรียมการมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเสี่ยวเหลียนจึงไม่ได้อยู่ไกลจากที่เกิดเหตุนัก นางยืนอยู่ด้านนอกของห้อง เพื่อรอให้ถูกเรียกตัวเข้าไป
“บ่าวเสี่ยวเหลียนคารวะอดีตฮ่องเต้เพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานหมื่นปี หมื่นๆ ปี” เสี่ยวเหลียนคุกเข่าลงกับพื้นอย่างสมกับฐานะทางสังคมของตน ดูน่าเอ็นดูและงดงามยิ่งนัก
อดีตฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อ ”ลุกขึ้น”
หลังจากพูดจบ อดีตฮ่องเต้ก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ สายตาของเขาไม่อบอุ่นหรือเย็นชาจนเกินไป ”ถามคำถามที่เจ้าอยากรู้ด้วยตัวเองเถอะ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตอบว่า ‘เพคะ’ นางไม่รีรอให้เสียเวลา และรีบถามออกไปโดยไม่คิดที่จะอ้อมค้อมว่า ”เสี่ยวเหลียน ข้าขอถามเจ้า ในระหว่างเวลาอาหารเย็นวันนี้ เจ้าได้นำเครื่องประดับของท่านแม่ที่ตกอยู่บนพื้นพวกนั้นไปมอบให้กับพี่ใหญ่หรือไม่”
“ตอบคุณหนูเจ้าค่ะ ระหว่างที่บ่าวกำลังทานอาหารอยู่ ฮูหยินได้สั่งให้บ่าวนำเครื่องประดับจำนวนหนึ่งไปมอบให้กับคุณหนูใหญ่จริงเจ้าค่ะ” หลังจากที่เสี่ยวเหลียนพูดจบ นางก็แสร้งทำเป็นเอียงศีรษะด้วยความงุนงง ”แต่ส่วนใหญ่แล้วเครื่องประดับพวกนั้นจะเป็นเครื่องห้อย และดอกไม้ที่ใช้ประดับผมเจ้าค่ะ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนพื้น”
นางโกหก!
รูม่านตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหดเข้าหากัน แสงในดวงตาของนางค่อยๆ หม่นลงทีละน้อย…