“พี่ใหญ่ กระทั่งเวลานี้ท่านก็ยังพยายามที่จะแก้ตัวอยู่อีกหรือเจ้าคะ!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หันศีรษะกลับมา พร้อมกับใช้ดวงตาคู่สวยของตนมองไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวย ตาคู่นั้นราวกับกำลังมองหัวขโมยที่มีจิตใจเยี่ยงหมาป่าอยู่ก็ไม่ปาน ”ทุกคนต่างก็เห็นว่าท่านแม่ปฏิบัติต่อท่านเช่นใด แต่ท่านกลับปฏิบัติต่อท่านแม่เช่นนี้ได้ แม้ท่านจะไม่ได้นำความเมตตาของท่านแม่มาใส่ใจ แต่ท่านก็ไม่ควรนำไม้มนต์ดำมารวมกับเครื่องประดับเพื่อสาปแช่งนางเช่นนี้! พี่ใหญ่ จิตใจของท่านช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!”
ของทุกชิ้นที่อยู่ตรงนี้คือหลักฐานมัดตัวที่แน่นหนา
คำตอบของเสี่ยวเหลียนคือคำยืนยันถึงความผิดที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้กระทำ
ทุกคนมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาราวกับเห็นนางเป็นงูพิษ หรือไม่ก็แมงป่องไม่มีผิด
บนใบหน้าของอดีตฮ่องเต้มีสีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นเช่นกัน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนกล้านำไม้มนต์ดำมาใช้ในวัดหลิงอิ่นต่อหน้าต่อตาเขา
เด็กสาวตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้กล้าทำเรื่องแบบนี้ลงไปได้อย่างไร
เวลาที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในวังหลวง ก็นับว่าแย่พอแล้ว
แต่ในวัดเช่นนี้ ต่อให้มีคนวางแผนล่อนางให้มาติดกับจริง ก็ยังถือว่าเป็นลางร้ายอยู่ดี
อดีตฮ่องเต้ขมวดคิ้วหนาของตนเข้าหากัน พลางเอ่ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า ”เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยักยิ้ม ”เครื่องประดับของหม่อมฉันนั้นเป็นสิ่งที่สาวใช้นางนี้นำมามอบให้จริงๆ เพคะ แม้หม่อมฉันจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงต้องโกหกก็ตาม แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ควรได้รับการตรวจสอบให้กระจ่างจากอดีตฮ่องเต้เพคะ”
“คุณหนูใหญ่ ต่อให้บ่าวจะเป็นเพียงแค่สาวใช้ แต่บ่าวก็ยังรู้นะเจ้าคะว่าสิ่งใดคือความยุติธรรม อย่าปรักปรำบ่าวนะเจ้าคะ!” เสี่ยวเหลียนรู้สึกเสียอกเสียใจยิ่งนัก ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาไหลรินลงมาจากใบหน้าเล็กๆ ที่เปราะบางราวกับเปลือกไข่นั้น เป็นภาพที่ทั้งน่าเอ็นดูและน่าสงสารมากทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยสาวเท้าออกไปข้างหน้า นางยื่นมือไปจับที่ปลายคางของเสี่ยวเหลียน พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย ริมฝีปากของนางกระตุกขึ้น หลังจากนั้นนางก็ฟาดฝ่ามือของตนลงไป!
เพี๊ยะ!
เสียงอันดังฟังชัดก้องกังวานอยู่ภายในห้องด้านข้าง ทิ่มแทงโสตประสาทอย่างรุนแรง
ไม่เพียงแค่คนถูกตบอย่างเสี่ยวเหลียนเท่านั้นที่นิ่งไป แต่กระทั่งขันทีซุนที่ยืนอยู่ข้างอดีตฮ่องเต้ก็ยังถึงกับตกใจไปด้วย
ตามหลักการแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ นางควรรีบขออภัยกับอดีตฮ่องเต้โดยเร็วที่สุดมิใช่หรือ
แต่บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนไม่เพียงแต่ไม่ยอมขออภัย แต่กลับตบหน้าสาวใช้คนนั้นเข้าอีก ช่างป่าเถื่อน และไร้ซึ่งสติยั้งคิดยิ่งนัก นางต้องการให้อดีตฮ่องเต้ลงโทษตัดสินประหารชีวิตนางหรือไร!
“ท่าน!” แน่นอนว่าเสี่ยวเหลียนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะกล้าตบนางต่อหน้าอดีตฮ่องเต้เช่นนี้ นางเป็นถึงสาวใช้คนสนิทของฮูหยินซู ตลอดหลายปีที่อยู่ในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์มา ไม่ว่านางอยากได้อะไร นางก็ต้องได้ ชีวิตของนางสุขสบายยิ่งกว่าบรรดาคุณหนูในเมืองหลวงเสียอีก นางเคยถูกใครปฏิบัติเช่นนี้ด้วยเสียเมื่อไหร่กัน!
เสี่ยวเหลียนตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า นางโกรธจนพูดอะไรไม่ออก!
อดีตฮ่องเต้ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขากำลังจะระเบิดโทสะออกมา
แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยดังขึ้นเสียก่อน ”ข้ากำลังสนทนากับอดีตฮ่องเต้อยู่ สาวใช้เช่นเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้พูดแทรกขึ้นมา หรือข้าควรบอกว่า เจ้าเชื่อหรือไรว่าหน้าตาอันงดงามของตนจะทำให้อดีตฮ่องเต้แยกแยะผิดถูกชั่วดีไม่ออก”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง คนที่ยืนอยู่รอบๆ ก็สูดเอาอากาศอันเย็นเยียบเข้าไปเฮือกใหญ่
โดยเฉพาะขันทีซุนที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง แม้แต่มือของเขาก็พลอยสั่นสะท้านไปด้วย คุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนช่างใจกล้ายิ่งนัก ถึงได้กล้าพูดจาเช่นนั้นออกมา!
อดีตฮ่องเต้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องการให้เขาได้ยินทั้งสิ้น!
ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำภายในเสี้ยววินาที คำพูดพรั่งพรูออกมาจากปากของเขาอย่างไม่ขาดสาย ”ดี ดี ดียิ่งนัก! บุตรสาวคนโตตระกูลเฮ่อเหลียนเป็นอย่างที่คนเขาว่ากันไว้ไม่มีผิด หยาบคาย ไร้เหตุผล ป่าเถื่อน ขาดสติยับยั้งชั่งใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าเช่นข้าก็อยากได้ยินเหลือเกินว่าข้าจะไม่สามารถแยกแยะผิดถูกชั่วดีได้อย่างไร!”
“อดีตฮ่องเต้เพคะ อย่าได้ทรงกริ้วเช่นนี้เลย บางครั้งฝีมือการแสดงของคนบางคนก็ดีเสียจนยากที่จะมองออกจริงๆ ยิ่งกว่านั้น พระองค์เองก็ทรงเริ่มชราภาพแล้ว ดังนั้นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นสักครั้งหนึ่งก็คงเป็นเรื่องยากทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย ไม่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางจะเป็นใคร ท่าทางหยิ่งผยองราวกับราชินีของนางก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว
นอกจากหลานชายคนโปรดของเขา ก็ไม่มีใครกล้าทำให้เขาโกรธขนาดนี้มาก่อน!
อดีตฮ่องเต้หัวเราะอย่างเย็นชา ”เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้ารู้หรือไม่ว่าแค่คำพูดของเจ้าก็เพียงพอแล้วที่ข้าจะสามารถสั่งประหารชีวิตเจ้าได้!”
“แน่นอนว่าเวยเวยย่อมเชื่อในอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เพคะ” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยก้องกังวาน ”แต่ภายในใจของหม่อมฉัน อดีตฮ่องเต้นั้นเป็นผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมกว้างไกล ย่อมไม่คิดเอาชีวิตของผู้ใดง่ายๆ แน่ หม่อมฉันทูลอดีตฮ่องเต้ได้อย่างมิลังเลเลยว่า สมัยที่หม่อมฉันยังเด็ก คนที่หม่อมฉันเทิดทูนบูชาที่สุดก็คือพระองค์เพคะ อดีตฮ่องเต้”
อดีตฮ่องเต้มองนางอย่างงุนงง การตีหนึ่งทีแล้วให้พุทราแดงเช่นนี้ก็มีหรือ แล้วตอนนี้เขาจะสั่งให้คนลากตัวนางออกไปตัดหัวได้อย่างไร!
“แค่กๆ” เจ้าอาวาสฟางจ้างที่ยืนอยู่ข้างๆ นึกอยากหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ไม่อาจเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้มากนัก จึงทำได้เพียงแสร้งกระแอมในลำคออย่างมีชั้นเชิงเท่านั้น
อันที่จริง เจ้าอาวาสฟางจ้างอยากถามเป็นอย่างยิ่งว่าเด็กสาวคนนี้โผล่มาจากไหน ทำไมถึงได้มีนิสัยเหมือนเจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นถึงเพียงนี้ กระทั่งคำพูดคำจาของนางก็ยังทำให้ใครต่อใครรู้สึกเกลียดชังและคันยิบๆ ในใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจ้าอาวาสฟางจ้างก็ชำเลืองมองไปที่ใครบางคน และเห็นเพียงว่าคนคนนั้นกำลังหรี่ตาลงเล็กน้อย บรรยากาศอันตรายอัดแน่นอยู่ภายในดวงตาสีดำสนิทของเขา
เจ้าอาวาสฟางจ้างขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง ทำไมเจ้าตัวเหม็นนั่นถึงได้ทำหน้าเหมือนอยากฆ่าคนถึงเพียงนั้นกัน
ไม่ได้มีใครไปยั่วโมโหเขาใช่ไหม
หรือเป็นเพราะคำพูดของเด็กสาวคนนั้นที่ทำให้อดีตฮ่องเต้ขุ่นเคืองใจ
เจ้าอาวาสฟางจ้างยังเดาไม่ทันเสร็จ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็อ้าปากขึ้น นางใช้นิ้วลูบใบหน้าของเสี่ยวเหลียนเพื่อปลอบขวัญอีกฝ่าย พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า ”พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านทำตัวอันธพาลยิ่งนัก! ท่านคิดว่าการพูดเช่นนี้จะทำให้อดีตฮ่องเต้ทรงประทานอภัยให้ท่านหรือ ท่านสาปแช่งท่านแม่ของข้า เสี่ยวเหลียนก็เพียงแค่บอกไปตามความจริง แต่ท่านกลับตบหน้านางเช่นนี้ บนโลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่อีกหรือ!”
พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เดินไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าอดีตฮ่องเต้ และคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ’ตุ้บ’ ”อดีตฮ่องเต้เพคะ! เสี่ยวเหลียนติดตามรับใช้ท่านแม่ของข้ามาเกือบสิบปี และยังไม่เคยทำความผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจียวเอ๋อร์ขอร้องอดีตฮ่องเต้จากใจจริง ขอพระองค์ทรงมอบความยุติธรรมให้กับสาวใช้คนนี้ด้วยเพคะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อดีตฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วของตน โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยด้วยซ้ำ พร้อมกันนั้นเขาก็โบกแขนเสื้อของตนด้วยท่าทางติดจะเหนื่อยหน่ายใจ
ปกติแล้วเขาไม่ได้เป็นคนเช่นนี้ อย่างไรเสียเจ้าหลานชายคนนั้นของเขาก็ไม่เคยเจาะจงขอร้องแทนใครมาก่อน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ทำให้คนที่เห็นรู้สึกหมดสิ้นซึ่งความประทับใจเสียไม่มี
ช่างเป็นเด็กสาวที่ชั่วร้ายไร้เมตตาเสียนี่กระไร ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีสมองอีก จะให้เขาวางใจ และยอมให้นางอยู่เคียงข้างหลานชายของเขาได้อย่างไรกัน!
เมื่อเงาทมิฬที่ติดตามอยู่ข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นอดีตฮ่องเต้โบกมือ เขาก็ชะงักฝีเท้า และเผลอหันไปลอบมององค์ชายของตนโดยไม่รู้ตัว
แต่ก่อนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะทันได้อ้าปาก เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะออกมาเบาๆ ”น้องสาว ทุกครั้งที่เจ้าอ้าปากพูด เจ้าก็เอาแต่พูดเรื่องการสาปแช่ง ตั้งแต่แรกนั้นข้าอยากจะถามน้องสาวยิ่งนักว่า เจ้าเห็นเพียงเสี้ยวเดียวของเศษไม้ และยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าบนนั้นมีอะไรเขียนเอาไว้ แต่เจ้ากลับยืนยันโดยพลการว่าข้าพกไม้มนต์ดำติดตัว น้องสาวต้องการให้อดีตฮ่องเต้ตัดสินว่าข้ามีความผิดเสียจนไม่ลดละความพยายามที่จะกล่าวเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อดังเข้าสู่หูของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ มันกลับฟังดูน่าขันเสียเหลือเกิน สถานการณ์เลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางกลับยังพยายามแก้ตัวให้ตัวเอง ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี
เป็นไปได้หรือไม่ว่านางยังมองสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ไม่ออก ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร อดีตฮ่องเต้ก็ไม่มีทางอภัยโทษให้นางได้!
เสี่ยวเหลียนผู้เป็นสาวใช้เองก็คิดเช่นนี้ระหว่างที่แค่นหัวเราะอยู่ในใจ นางก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตาราวกับไข่มุกนั้น ”คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เพิ่งเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ดังนั้นแม้ท่านจะปรักปรำว่าข้ามีความผิดก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ ต่อให้ท่านบังคับให้ข้าตายอย่างไร้ความยุติธรรม มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด แต่คุณหนูเจียวเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดี ใสซื่อบริสุทธิ์ ท่านกลับพูดจากับนางเช่นนี้ คุณหนูใหญ่ ท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ!”