สืออีเหนียงค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก
เช้าขนาดนี้เชียวหรือ วันนี้ยังเป็นเดือนสุดท้ายของปีอีกด้วย หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับอี๋เหนียงห้า หรือว่านายหญิงใหญ่…?
นางรีบสั่งกับสาวใช้ว่า “รีบเชิญเข้ามาเร็ว” จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอ่าวผ้าดิ้นสีฟ้าน้ำทะเลลายกุหลาบแล้วตรงไปยังห้องโถงด้วยความร้อนใจ
เมื่อเห็นว่าคนที่ออกมานั้นเป็นสืออีเหนียง หลัวเจิ้นซิ่งก็ดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “ท่านโหวเล่า”
สืออีเหนียงไม่สะดวกจะบอกเรื่องภายในจวน จึงพูดขึ้นด้วยความคลุมเครือว่า “เมื่อคืนนี้ท่านโหวไม่ได้พักที่นี่”
หลัวเจิ้นซิ่งนึกว่าสวีลิ่งอี๋ไปพักที่เรือนของอนุ เขาจึงได้พูดขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” น้ำเสียงค่อนข้างเน้นย้ำคำว่า ‘เจ้า’ เป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงก็ได้พาหลัวเจิ้นซิ่งไปยังห้องรับรองแขกของห้องปีกทางทิศตะวันออก หลังจากที่สาวใช้ได้ยกน้ำชามาให้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ให้คนที่ปรนนิบัติรับใช้ถอยออกไปจนหมด
“มีเรื่องเรื่องหนึ่ง เจ้าตั้งใจฟังดีๆ” สีหน้าท่าทางของหลัวเจิ้นซิ่งค่อนข้างเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก “อย่าร้องตะโกน อย่าร้องไห้เสียงดัง”
หากไม่พูดยังไม่ค่อยเท่าไร พอได้ฟังหลัวเจิ้นซิ่งพูดมาเช่นนี้ สืออีเหนียงก็รีบสงบลงในทันที
“พี่ใหญ่เชิญพูด!”
หลัวเจิ้นซิ่งจ้องมองน้องหญิงของตนตาไม่กะพริบ “เมื่อวานนี้ข้าและสหายร่วมคณะไปเยี่ยมเยียนท่านอาจารย์ กลับได้ยินข่าวลือหนาหูว่าท่านโหวมีบุตรนอกสมรส…”
“ท่านโหวมีบุตรนอกสมรส?” สืออีเหนียงจ้องมองหลัวเจิ้นซิ่งด้วยความตกตะลึง “ท่านได้ยินมาจากใคร พูดว่าอย่างไรบ้าง”
นางตกใจกับข่าวลือที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นกะทันหัน แต่เมื่อถามคำถามออกไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตนได้ถามคำถามที่โง่เขลาออกไป
หลัวเจิ้นซิ่งไม่ใช่คนที่มีนิสัยซุบซิบนินทา แม้แต่เขาก็ยังได้ยินข่าวลือเรื่องนี้ อีกทั้งยังได้ยินข่าวลือเรื่องนี้ตอนไปเยี่ยมเยียนอาจารย์กับสหายร่วมคณะ เช่นนั้นก็แสดงว่าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างรู้กันถ้วนหน้าไปหมด เรื่องของเฟิ่งชิงเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองวันเท่านั้น คนที่ต้องการจะซื้อตัวเด็กคือจวนสกุลโอว ผู้ใดเป็นคนกระจายข่าวลือหนาหูนี้ ไม่ต้องพูดก็สามารถเดาได้ แต่พูดอะไรไปบ้างนั้น แน่นอนว่าคงจะต้องคิดหาวิธีที่จะใส่ร้ายสวีลิ่งอี๋ให้เสียหายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในเมื่อเรื่องนี้รั่วไหลไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้…ปล่อยให้เขากังวลใจเสียหน่อยก็ดีไม่น้อย
“ผู้คนมากมายกำลังพูดถึงเรื่องนี้!” หลัวเจิ้นซิ่งเองก็จนปัญญา เขาพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นท่านอาจารย์ของข้าและรองเจ้ากรมพิธีกรรมเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร” ใต้เท้าที่สุขุมและซื่อสัตย์ แน่นอนว่าคงจะไม่ฟังข่าวลือที่ถูกเล่าต่อๆ กันมาจากศิษย์ของตน เขาเชื่อว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีข้อเท็จจริง “ว่ากันว่าตอนที่ท่านโหวกำลังปราบปรามแคว้นเหมียวเจียงนั้น หญิงคณิกาในค่ายทหารเกิดท้องขึ้นมา จากนั้นก็ได้แอบพากลับไปที่เมืองเยี่ยนจิงอย่างลับๆ แล้วจึงให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน” แต่เมื่อคำนวณดูดีๆ เวลากลับคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน “เพราะพี่หญิงใหญ่ป่วยหนัก ดังนั้นจึงเลี้ยงดูเด็กคนนี้อยู่ข้างนอก…” ผู้ชายเวลาเจอกลับสถานการณ์เหล่านี้ วิธีจัดการที่ดีที่สุดก็คือเลี้ยงไว้ข้างนอก
เขาเล่าคร่าวๆ เพียงเท่านี้ จากนั้นก็หันมาจ้องมองสืออีเหนียง “ได้ยินมาว่า ท่านโหวพาเด็กกลับมาแล้ว เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”
สืออีเหนียงไม่สามารถที่จะตอบคำถามนี้ได้
เรื่องมาจนถึงตอนนี้ สวีลิ่งอี๋มีเจตนาที่จะให้นางปกปิดเรื่องนี้กับทุกคนไว้ก่อนชั่วคราว
หลัวเจิ้นซิ่งเห็นว่าน้องหญิงของตนเงียบไม่ตอบอะไรออกมา เขากลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
สืออีเหนียงแต่งงานกับสวีลิ่งอี๋ถือว่านานแล้ว เรื่องเกี่ยวกับทายาท แน่นอนว่าคงจะต้องปรึกษาหารือกับไท่ฮูหยินก่อน…
“น้องหญิงสิบเอ็ด” เขาจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ตอนนี้เจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าเกิดไท่ฮูหยินและท่านโหวมีความประสงค์ที่จะรับเด็กคนนี้เข้าสู่วงศ์ตระกูล เจ้าจะทำเช่นไร”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เหตุใดตนถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ในเมื่อคนจวนสกุลหลัวได้ยินข่าวลือนี้แล้ว ก็ควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ควรจะต้องมีการจัดการถึงจะถูก หลัวเจิ้นซิ่งออกมาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ แน่นอนว่าคงจะมาเพราะเรื่องนี้
สืออีเหนียงจ้องมองหลัวเจิ้นซิ่งเงียบๆ “แน่นอนว่าจะต้องฟังไท่ฮูหยินกับท่านโหวเจ้าค่ะ!”
หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้าเบาๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “เจ้ารู้ความอย่างนี้ก็ดีแล้ว”
หลัวเจิ้นซิ่งมาตั้งแต่เช้าตรู่ก็เพื่อที่จะพูดคำพูดประโยคนี้หรอกหรือ หรือว่าหลัวเจิ้นซิ่งจะไม่เข้าใจความหมายที่แอบแฝงในคำพูดของตน
สีหน้าของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความงุนงง หลัวเจิ้นซิ่งก็ได้กำชับนางเสียงเบาว่า “มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ห้ามรับปากโดยเด็ดขาด!”
ที่แท้แล้วก็ยังมีอีกเรื่อง!
สีหน้าของสืออีเหนียงนิ่งสงบ นางจ้องมองหลัวเจิ้นซิ่งด้วยแววตาที่จริงจัง “เชิญพี่ใหญ่สอนสั่งเจ้าค่ะ!”
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ห้ามรับเลี้ยงเด็กคนนี้ภายใต้ชื่อของเจ้าโดยเด็ดขาด” หลัวเจิ้นซิ่งจ้องมองสืออีเหนียงนัยน์ตาเป็นประกาย พูดอย่างฉะฉานชัดเจนว่า “ท่านโหวอยากที่จะพาเด็กกลับมา นั่นเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่หากจะนำมาเลี้ยงดูในนามของเจ้า เด็กคนนี้ก็จะได้ฐานะ ‘บุตรเอก’ ไปโดยปริยาย ในเรือนนี้นอกจากจุนเกอก็เป็นเขาแล้ว จุนเกอเรียงอยู่หน้าสุด แน่นอนว่าคงจะไม่เป็นปัญหาอะไร แต่เจ้าอายุยังน้อย วันข้างหน้าเจ้าก็จะมีบุตรที่เป็นบุตรแท้ๆ ของตัวเจ้าเอง…” พูดถึงตอนนี้ น้ำเสียงของเขาก็ชะงักไป “จะให้เขายึดตำแหน่งฐานะของบุตรเจ้าไปไม่ได้เป็นอันขาด!”
เด็กคนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทางจวนสกุลหลัว จวนสกุลหลัวมีความคิดเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา สืออีเหนียงสามารถที่จะเข้าใจได้ อีกอย่าง ตัวนางเองก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก หากนางเลี้ยงดูเฟิ่งชิงภายใต้ในนามของตัวเอง สิ่งที่ตนจะต้องเผชิญหน้าไม่ใช่เพียงแค่ความระแวงจากจุนเกอที่เป็นบุตรเอก ยังต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวของบุตรชายคนโตอนุเช่นสวีซื่ออวี้ หากว่าวันหนึ่งเด็กเหล่านี้เกิดมีการแก่งแย่งในตำแหน่งฐานะบรรดาศักดิ์ขึ้นมา เช่นนั้นผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเฟิ่งชิง
ยังดีที่สวีลิ่งอี๋ไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้!
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แต่พอมาลองคิดดีๆ อีกที ในเมื่อจวนสกุลโอวมีเจตนาที่จะแพร่กระจายข่าวลือ สวีลิ่งอี๋เองก็คงจะรู้เรื่องในไม่ช้า ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋จะวางแผนจัดการเรื่องนี้อย่างไร ส่งตัวเด็กไปที่ซีซานหรือส่งกลับบ้านเกิดเพื่อปกปิด ก็ล้วนแต่จะทำให้ผู้อื่นยิ่งสงสัยไปกันใหญ่ เมื่อสูญเสียประโยชน์ของการปกปิด เกรงว่าโดยส่วนมากก็คงจะตัดสินใจเลี้ยงในจวนกระมัง! เช่นนี้ก็ดี เพราะอย่างไรเสียสุขภาพร่างกายของไท่ฮูหยินยังแข็งแรงดี ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ไม่สามารถจะจัดการทุกอย่างได้ลงตัวอย่างแน่นอน ดูจากนิสัยใจคอของฮูหยินห้า โดยส่วนใหญ่แล้วก็คงจะเมินเฉยต่อเด็ก ถึงเวลานั้นก็เลือกหาคนที่มีความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบและจิตใจที่ดีมาดูแลสักสองสามคน เขาคงจะสามารถค่อยๆ ลืมเรื่องราวแสนเจ็บปวดที่เคยพบเจอได้กระมัง!
แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังคงรู้สึกเป็นห่วงชะตาและอนาคตในภายภาคหน้าของเขาอยู่ดี
ส่วนหลัวเจิ้นซิ่งเมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงมีท่าทีที่กลัดกลุ้มใจ จึงคิดว่านางคงกำลังเป็นกังวลใจ ว่าถ้าเกิดสวีลิ่งอี๋ให้นางเลี้ยงดูเด็กคนนั้นในนามของนางจริงๆ แล้วนางควรจะทำเช่นไรดี สวีลิ่งอี๋ทั้งสุขุมและน่าเกรงขาม สืออีเหนียงอายุยังน้อย จะเกรงกลัวสวีลิ่งอี๋ก็เป็นเรื่องธรรมดา
“น้องหญิงสิบเอ็ด” เขาพูดขึ้นน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป เจ้าต้องรู้ไว้ว่าตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ การรับเลี้ยงบุตรนอกสมรส หนึ่งคือจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคนในตระกูลเสียก่อน สองคือจะต้องให้ภรรยาเอกยินยอมเห็นชอบด้วย จวนสกุลสวีคนน้อย ตอนนี้ท่านโหวเองก็รับตำแหน่งเป็นประมุขของตระกูล ข้อแรกอาจจะไม่เป็นผลและไม่มีน้ำหนักพอ แต่ข้อสองนั้นพวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว ภรรยาเทิดทูนสามีดุจฟ้า ในเมื่อท่านโหวมีเจตนาเช่นนี้ หากเจ้าไปโต้แย้งต่อต้าน ท่านโหวก็จะเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี วันข้างหน้าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจะเหินห่างเอาได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้ ข้าจะให้ความเห็นเจ้าสักข้อ เจ้าลองดูว่าใช้ได้หรือไม่” การที่เขาถามนางว่าได้หรือไม่ กลับรู้สึกว่านางไม่เพียงแค่อายุน้อย แต่ยังอ่อนประสบการณ์อีกด้วย เขาจึงพูดออกมาตรงๆ โดยที่ไม่ได้ถามความคิดเห็นจากนางเลยแม้แต่นิด “ครอบครัวคุณชายสองไม่มีทายาทไม่ใช่หรือ ข้าว่าหากท่านโหวพูดเรื่องนี้กับเจ้า สู้เจ้าพูดกับท่านโหวดีๆ ว่ายกควรเด็กคนนี้ให้กับครอบครัวคุณชายสอง โดยให้เลี้ยงดูเด็กคนนี้ในนามของทางนั้นเลย ยังสามารถอธิบายกับคนภายนอกว่ารับเลี้ยงเด็กคนนี้มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือว่าเจอโดยบังเอิญก็ยังได้ ส่วนเรื่องตาชั้นเดียวคู่นั้นที่เหมือนกับจวนสกุลสวี ก็รู้สึกว่ามันเป็นชะตาฟ้าลิขิต จึงอุ้มกลับมาด้วย เตรียมรับมรดกของครอบครัวคุณชายสอง เช่นนี้ เจ้าก็สามารถพ้นจากหางเลข และยังสามารถแบ่งเบาท่านโหวได้อีกด้วย หากท่านโหวได้ฟังแล้ว คิดว่าเขาคงจะเห็นชอบด้วย”
สมเหตุสมผล คิดได้รอบคอบเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าคงจะไม่ใช่เจตนาของนายหญิงใหญ่
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่นายหญิงใหญ่จะเป็นห่วงความรู้สึกของตนกับสวีลิ่งอี๋ ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างตนและสวีลิ่งอี๋อันตรายเท่าไร การมีทายาทของตนก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น นับวันก็จะยิ่งพึ่งพาจุนเกอและทุกอย่างก็จะขึ้นอยู่กับจุนเกอคนเดียว เช่นนี้ฐานะตำแหน่งของจุนเกอยิ่งอยู่ก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่นายหญิงใหญ่อยากได้ยินมากที่สุด แล้วนายหญิงใหญ่จะมาตักเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าให้เด็กคนหนึ่งที่เป็นบุตรนอกสมรสมาส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาได้อย่างไรกันเล่า
ดูท่าคงจะเป็นเจตนาของหลัวเจิ้นซิ่งเองแล้ว!
นางอดไม่ได้ที่จะจ้องมองหลัวเจิ้นซิ่งอย่างตั้งใจและจริงจัง พร้อมกับเอ่ยเรียกเขาเบาๆ “พี่ใหญ่”
หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “มีอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเองก็ยิ้มขึ้น นัยน์ตาสดใสราวกับรุ้งแรกหลังฝน ประกายแวววาว “เด็กมีภูมิหลังต้อยต่ำเช่นนี้ ข้าเกรงว่าพี่สะใภ้รองจะไม่รับปาก!”
“ไม่รับปากก็ไม่เป็นไร!” หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้น “เลี้ยงดูภายใต้ชื่อของเหล่าบรรดาอี๋เหนียงก็ได้ เหวินอี๋เหนียงไม่มีบุตรชายมิใช่หรือ สามารถเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของนางได้ เฉียวอี๋เหนียงรูปงามแถมอายุยังน้อย วันข้างหน้าจะต้องให้กำเนิดบุตรได้อย่างแน่นอน แต่จวนสกุลเฉียวและจวนสกุลเจียงใกล้ชิดกัน เหวินอี๋เหนียงไม่มีบุตรชายก็จะไร้ซึ่งความมั่นใจ เลี้ยงเด็กภายใต้ชื่อของนาง นางจึงพอจะสามารถสู้รบตบมือกับเฉียวอี๋เหนียงได้ หากว่าทางฝั่งฮูหยินสองไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ เจ้าก็ค่อยไปคุยเรื่องนี้กับเหวินอี๋เหนียง เหวินอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด นางจะต้องคิดหาวิธีได้อย่างแน่นอน ขอแค่เจ้าไม่ต้องออกหน้าก็เป็นพอ”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลัวเจิ้นซิ่งเองก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรแล้ว ส่วนที่จะต้องกำชับเจ้าก็กำชับไปหมดแล้ว ประเดี๋ยวเจอท่านโหวเสร็จข้าก็จะกลับไปเลย”
สืออีเหนียงจึงรีบให้สาวใช้ไปเชิญสวีลิ่งอี๋ทันที
หลัวเจิ้นซิ่งก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดถึงได้นอนค้างที่เรือนของไท่ฮูหยิน!”
“เมื่อวานไท่ฮูหยินไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรนัก ท่านโหวก็เลยอยู่คุยเป็นเพื่อน”
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินแล้วก็แอบครุ่นคิดในใจ
หรือว่าสองแม่ลูกกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอยู่…
เมื่อความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัว สาวใช้ที่ไปเชิญสวีลิ่งอี๋ก็กลับมาถึงพอดี “ฮูหยิน ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ดูแล้วคงจะไปเจอกันระหว่างทางกระมัง!
สืออีเหนียงตอบกลับ จากนั้นก็เดินออกไปรับพร้อมกับหลัวเจิ้นซิ่ง
เจอหลัวเจิ้นซิ่งตั้งแต่เช้าตรู่ สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างไม่อาจปกปิดได้ “เจิ้นซิ่งมาเช้าขนาดนี้เลยหรือ เข้าไปคุยข้างในเรือนกัน!”
เมื่อถึงเรือนปีกทิศตะวันออก ทั้งสองก็พากันนั่งลง สืออีเหนียงรินชาเข้ามาด้วยตัวเอง
หลัวเจิ้นซิ่งกำลังพูดถึงเรื่องข่าวลือหนาหูให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจแต่อย่างใด เขาพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็ได้ยินแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจไป เรื่องนี้ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว จะไม่ให้สืออีเหนียงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอันขาด”
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สวีลิ่งอี๋เป็นคนที่รักษาคำพูด ในเมื่อเขาพูดแล้วว่าจะไม่ทำให้สืออีเหนียงน้อยเนื้อต่ำใจ แน่นอนว่าเขาคงจะไม่เลี้ยงดูเด็กคนนี้ภายใต้ชื่อของสืออีเหนียง
เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาแล้ว ในที่สุดหินในอกก็ถูกยกออก พูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นขอตัวลากลับ “…วันนี้ข้าเตรียมตัวจะไปทานข้าวกับสหายร่วมคณะ”
สวีลิ่งอี๋เองก็ไม่ได้รั้งเขาให้อยู่ต่อ จึงเดินออกไปส่งเขาที่ประตู เมื่อกลับมาก็ไปพูดคุยกับสืออีเหนียงที่ห้องชั้นใน
“ข้าเพิ่งจะรู้เรื่องข่าวลือเมื่อคืนนี้ ตอนนั้นขณะที่ตระกูลทั้งสองกำลังแย่งตัวเด็ก จู่ๆ หลิ่วฮุ่ยฟังก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กก็กลายเป็นที่รีดไถเงินและถูกขังอยู่แต่ในเรือน หลังจากที่ชีวิตของเขาตกต่ำลง สหายที่เคยคบค้าสมาคมก็ตัดขาดจากเขา คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มาก ตอนที่ข้าพาตัวเด็กกลับมา ข้าได้ให้คนไปวางรากฐานที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเรียบร้อยแล้ว หากมีอะไรรั่วไหลหรือผิดพลาด เสียงของผู้คนจำนวนมากสามารถพลิกผิดเป็นถูกและเปลี่ยนถูกให้เป็นผิดได้ จวนสกุลโอวก็คงจะทำอะไรแผลงๆ ไม่ได้”
“แล้วเด็กจะถูกส่งไปที่ซีซานหรือไม่” สืออีเหนียงขอคำตอบที่ชัดเจนจากสวีลิ่งอี๋ “หากว่าไม่ส่งไปแล้ว ข้าจะได้เตรียมการถูกเจ้าค่ะ!”
“เจ้าเตรียมการเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “ส่งไปส่งมา ยิ่งปกปิดก็ยิ่งฉาวโฉ่”
เช่นนั้นก็แสดงว่าสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้
สืออีเหนียงนึกถึงแววตาที่หวาดผวาราวกับลูกกวางน้อยของเฟิ่งชิง ตอนนี้นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ท่านโหว ใต้เท้าโจวมาเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้สืออีเหนียง “ดูท่าทุกคนคงจะรู้เรื่องกันหมดแล้ว”