พอลู่เจียวกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รู้สึกเครียดจนพลิกตัวลุกขึ้นนั่งทันที
เพราะเคลื่อนไหวไวเกินไปจึงกระชากโดนบาดแผลบนหัวไหล่ พลันปวดแปลบจนต้องขมวดคิ้ว
ลู่เจียวรีบก้าวเข้าไปนั่งลงข้างเตียงเขา กดเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับ
“เจ้าอยู่ๆ ลุกขึ้นมาทำไม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยื่นมือไปดึงมือลู่เจียวแล้วมองนางทีหนึ่ง เห็นนางไม่เป็นอะไรก็โล่งอก
ลู่เจียวเห็นท่าทางเคร่งเครียดของเขา สีหน้านางแม้ว่าปกติ แต่ในใจหวานล้ำ รีบปลอบใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่า “ข้าไม่เป็นไร รถม้าของเราไม่ได้ชนกัน ข้าบอกเจ้าให้ อีกฝ่ายเป็นคนตระกูลจางในอำเภอชิงเหอและยังเป็นจางปี้เยียนภรรยาหลี่เหวินปิน”
ลู่เจียวกล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าที่เจ้าคาดเดาก่อนหน้านี้น่าจะถูกต้อง ตระกูลจางคิดมาดึงข้าไปเป็นพวก เริ่มสร้างเครือข่ายสายสัมพันธ์ใหม่อีกครั้งแล้ว”
ลู่เจียวกล่าวจบก็แค่นหัวเราะเยียบเย็น เห็นนางเป็นคนโง่หรือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าพลันเยียบเย็น แววตาเย็นยะเยือก “ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา”
ลู่เจียวคิดถึงว่าพรุ่งนี้จางปี้เยียนกับหลี่เหวินปินจะมาเยี่ยมเซี่ยอวิ๋นจิ่น นางก็รีบบอกเรื่องนี้กับเซี่ยอวิ๋นจิ่น “จางเหนียงจื่อว่าพรุ่งนี้นางกับหลี่เหวินปินจะมาเยี่ยมเจ้า”
“มาก็มาสิ ทหารมารับศึก น้ำมาดินอุด พวกเราก็แค่รอ แต่แม้พวกเขามา พวกเราก็ไม่หลงกลหรอก”
ลู่เจียวคิดถึงว่าหลี่เหวินปินก็จะมา จึงถามเซี่ยอวิ๋นจิ่น “หากตระกูลจางไปเชิญหลี่เหวินปินออกหน้ามาพูดกับเจ้า เจ้าจะหวั่นไหวไหม”
“เป็นไปไม่ได้ หากหลี่เหวินปินกล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้ วันหน้าข้าก็ไม่มีสหายร่วมชั้นเรียนเช่นเขา”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
นอกประตู เฝิงจือนำหลิ่วอันยกอาหารเข้ามา ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปกินข้าว
พวกลูกทั้งสี่แม้ว่าอายุน้อย แต่ก็รู้สึกได้ว่ายามนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เหมือนเดิม ทั้งสองคนเหมือนสนิทชิดใกล้กันยิ่งขึ้น ท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ทำให้พวกเขาดีใจมาก ดังนั้นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็มีความสุขเป็นพิเศษ อารมณ์ดีอย่างมาก
ลู่เจียวกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ท่าทางดีใจ ก็อดยิ้มถามไม่ได้ว่า “นี่มีเรื่องอะไรให้มีความสุขกันหรือ เอาแต่ยิ้มกริ่มกันเช่นนี้”
แต่ไรมาเอ้อร์เป่าเป็นคนพูดตรงและปากไว พอได้ยินลู่เจียวถามก็ตอบเสียงดังว่า “เพราะท่านพ่อพูดจาเป็นและเอาใจท่านแม่เป็นแล้ว ท่านแม่มีความสุข พวกเราก็มีความสุข”
ต้าเป่าไม่ได้พูดอะไร เอาแต่พยักหน้าเต็มแรงแสดงท่าทีว่าตนเองก็ดีใจเช่นกัน
ซานเป่ากับซื่อเป่าหัวเราะร่วน
ลู่เจียวถูกลูกๆ ทำเอาเขินอายอย่างมาก เซี่ยอวิ๋นจิ่นวางตะเกียบในมือลง เอื้อมมือข้ามหน้าลูกๆ ไปกุมมือลู่เจียวไว้ กล่าวอย่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากว่า“วันหน้าพ่อจะยิ่งดีกับท่านแม่พวกเจ้า ทำให้นางมีความสุขยิ่งขึ้น พวกเจ้าเองก็ต้องเอาใจท่านแม่เหมือนที่พ่อเอาใจ ทำให้ท่านแม่ของของเจ้ามีความสุข พวกเราทั้งครอบครัวต้องเอาอกเอาใจและรักนางให้มากๆ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ส่งเสียงรับเสียงดังก้องยิ่งกว่าก้อง “พวกเรารู้แล้ว ท่านพ่อวางใจได้”
ลู่เจียวมองภาพตรงหน้า ความผูกพันในใจค่อยๆ หยั่งรากลึกลงอย่างไม่รู้ตัว เหมือนนางข้ามภพมาในนิยายเพื่อพบเจอกับพวกเขา
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็อมยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น “รีบกินเถอะ อย่าเอาแต่พูดจามากความ”
ลู่เจียวกล่าวจบก็คีบอาหารที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นชอบให้เขา เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็คีบให้ลู่เจียว
ภาพครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่าได้ถามว่าอบอุ่นเพียงใด
หลังอาหารเย็น ลู่เจียวจะพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปอาบน้ำที่เรือนด้านหลัง
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นในห้องแอบขุ่นเคืองราวกับสุนัขที่ถูกเจ้าของทิ้ง เด็กๆ เห็นแล้วก็ทนไม่ไหว คิดจะเอ่ยปากให้ท่านแม่อยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ
ลู่เจียวกลับรู้สึกว่าไม่อาจเอาใจคนผู้นี้มากไป ไม่เช่นนั้นเขาจะยิ่งเอาใหญ่ ดังนั้นนางจึงแย่งพูดขึ้นก่อนว่า “ท่านพ่อเจ้าได้รับบาดเจ็บ ควรพักผ่อนเงียบๆ ตามลำพัง หากแม่อยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ จะยิ่งทำให้ท่านพ่อนอนหลับไม่สบาย”
พอลู่เจียวกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็พูดตามกันว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าได้เอาแต่อยากให้คนมาอยู่เป็นเพื่อน นอนพักรักษาตัวไปคนเดียวอย่าดื้อนะ”
“ใช่แล้ว โตขนาดนี้แล้ว ยังเอาแต่จะให้ท่านแม่มาคอยเป็นเพื่อน คืนนี้ท่านแม่จะไปนอนเป็นเพื่อนพวกเรา”
“รอท่านพ่อหายดีก่อน ค่อยให้ท่านแม่มานอนเป็นเพื่อนท่านพ่อนะ”
ซื่อเป่าดึงมือนางมากล่าวอย่างดีใจว่า “คืนนี้ถึงตาท่านแม่นอนเป็นเพื่อนพวกเราแล้ว”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ลากลู่เจียวออกไปอย่างดีอกดีใจ เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังมองตามแม่ลูกที่จูงมือกันออกไปด้วยสีหน้างุนงง
ดังนั้นเขาจึงถูกทอดทิ้งเช่นนี้?
ลู่เจียวพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปอาบน้ำที่เรือนด้านหลัง เด็กๆ อาบเสร็จก็ปีนขึ้นเตียงลู่เจียวจริงๆ
ลู่เจียวเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เช่นนี้ก็แทบอยากจะร้องไห้ นางนอนเป็นเพื่อนท่านพ่อของลูกๆ แล้ว ก็ต้องมานอนเป็นเพื่อนลูกๆ ต่อ
สองวันนี้ลู่เจียวไปอยู่เรือนด้านหน้าเป็นเพื่อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น แม้ว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่พูด แต่ในใจแอบสลด คืนนี้ได้นอนข้างกายลู่เจียวจึงก่ายกอดเป็นพิเศษ ดึงนางให้มาเล่านิทานให้ฟัง
ตั้งแต่เปิดโรงเรียนอนุบาลในบ้าน ลู่เจียวก็ไม่ได้เล่านิทานอีก เพราะนางแต่งนิทานแล้วเอาไว้ในส่วนของวิชาภาษา ให้อาจารย์อ่านให้ฟัง
คืนนี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตื่นเต้นอย่างมาก ดึงลู่เจียวมาเล่านิทานก่อนนอน
ลู่เจียวไม่ได้ปฏิเสธ คิดแล้วก็เล่านิทานให้พวกลูกทั้งสี่ฟังสองเรื่อง ก่อนจะพาพวกเขาเข้านอนด้วยกัน
วันรุ่งขึ้น จางเหนียงจื่อก็มาเยี่ยมเซี่ยอวิ๋นจิ่นพร้อมกับหลี่เหวินปินจริงๆ
ทั้งสองคนยังนำของขวัญราคาแพงมากันมากมาย
ที่สำคัญก็คือหลี่เหวินปินวันนี้สวมชุดผ้าแพรต่วน ดูแล้วมีราศีอยู่ไม่น้อย
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “หลี่ซิ่วไฉแต่งกายเช่นนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย หากเดินอยู่บนท้องถนน ข้าก็คงจำไม่ได้”
กล่าวตามจริง ลู่เจียวไม่เข้าใจบัณฑิตอย่างหลี่เหวินปินจริงๆ เห็นอยู่ว่าครอบครัวภรรยามีเงิน วันๆ เอาแต่สวมชุดมอซอธรรมดาอย่างมาก เขาต้องการแสดงอะไร แสดงว่าตนเองมีศักดิ์ศรีหรือ
หากเจ้ามีศักดิ์ศรี ทำไมแต่งเข้าตระกูลจาง แม้ว่าเพราะมารดาป่วย แต่ในความคิดนาง สหายร่วมชั้นเรียนของเขาในสำนักศึกษาประจำอำเภอก็มีไม่น้อย ขอหยิบยืมจากสหายร่วมชั้นเรียนก็ได้ ในเมื่อแต่งเข้าตระกูลจางแล้ว ทำไมไม่ใช่เงินทองตระกูลจาง
พอลู่เจียวคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าหลี่เหวินปินไม่เหมือนกับที่ตนเคยคิดไว้
สีหน้าหลี่เหวินปินดูอึดอัด กล่าวอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินักว่า “ข้าเกิดในตระกูลยากจน ไม่ค่อนชินกับการสวมชุดผ้าแพรต่วนเช่นนี้เท่าไร”
จางปี้เยียนยื่นมือไปดึงมือลู่เจียวมากล่าวว่า “ลู่เหนียงจื่อผิวพรรณดีจริงๆ นี่ใช้น้ำมันอะไรบำรุงผิวพรรณกัน”
ลู่เจียวมองจางปี้เยียนกุมมือนางก็ไม่ได้ชักมือกลับ มีเพียงแววตาเย็นเยียบ
พอคิดถึงเรื่องเซี่ยอวิ๋นจิ่นบาดเจ็บ คิดถึงคนชุดดำที่จับเอ้อร์เป่าขึ้นเขาไปพวกนั้น แม้ว่าไม่อาจกล่าวได้แน่ชัดว่าคนพวกนั้นก็คือฝีมือตระกูลจาง แต่ในเรื่องนี้ย่อมต้องมีตระกูลจางร่วมด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางจดบัญชีตระกูลจางไว้แล้ว ขอเพียงเปิดช่อง นางกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นย่อมไม่ปล่อยตระกูลจางและเสิ่นซิ่วผู้นั้นไปแน่ ตอนนี้เหมือนเสิ่นซิ่วยังอยู่ในมือคนตระกูลจาง?
ลู่เจียวครุ่นคิดในใจ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “น้ำมันอะไรกัน ข้าก็แค่อ้วน คนอ้วนผิวย่อมขาวผ่อง ความจริงข้ารู้สึกว่าผิวพรรณจางเหนียงจื่อสิดีกว่า รูปโฉมก็งดงาม”