“ครับ?”
“ชื่อของเจ้านี่ไงครับ ปีเตอร์”
นี่เป็นชื่อภาษาอังกฤษของอินซอบ แม้จะไม่เคยลองเรียกเลยสักครั้ง แต่ก็ไม่มีทางที่อีอูยอนจะไม่รู้
“ตั้งแต่วันนี้ไปนายมาอยู่กันฉันนะปีเตอร์”
อินซอบมองลายบนพื้นของลิฟต์อย่างตั้งใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเอาตาไปวางไว้ตรงไหน
“ว่าไงครับ คิดว่าปีเตอร์อยากอยู่กับผมหรือเปล่าครับ”
อีอูยอนเอาตุ๊กตาหมีมาวางตรงหน้าอินซอบก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ปะ ปีเตอร์เองก็…”
อินซอบจะพูดแทนตุ๊กตา แต่หน้ากลับเห่อร้อนขึ้นมา เพราะรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังใช้สรรพนามบุรุษที่สามเรียกแทนตัวเอง
“ต้องอยู่อย่างสุขสบายที่บ้านของคุณอีอูยอนแน่นอนครับ”
อินซอบรีบพูดต่อว่าเจ้าหมีปีเตอร์น่ะครับขณะที่ยังก้มหน้าอยู่ ความเย็นชาปรากฏในดวงตาของอีอูยอนที่กำลังยิ้มวูบหนึ่ง
จากนั้นเขาก็โพล่งถามขึ้นมา
“คุณอินซอบจำที่บอกกับผมว่าผมต้องได้รางวัลได้ไหมครับ”
“ผมน่ะเหรอครับ”
“วันที่ดื่มเหล้าด้วยกันคราวก่อน คุณร้องไห้เอะอะโวยวายและขู่ผมว่าผมต้องได้รางวัลให้ได้ไงครับ”
“ผมน่ะเหรอครับ?!”
อินซอบหน้าซีด เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองก่อเรื่องแย่ๆ แบบไหนเอาไว้ และไม่สามารถโต้แย้งคำพูดของอีอูยอนได้เลย
“ถ้าผมไม่ได้รางวัลคุณจะอายและเสียใจไหมครับ ถึงขนาดร้องไห้เลยหรือเปล่า”
“มะ ไม่ครับ ผมไม่เป็นแบบนั้นแน่นอนครับ”
“งั้นผมควรได้รางวัลหรือเปล่าครับ”
“ต่อให้ไม่ได้ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ เพราะคุณอีอูยอนเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรางวัลเลย”
“งั้นผมควรจะรับในสิ่งที่เขาให้หรือเปล่าครับ”
อีอูยอนถามคำถามเดิมซ้ำ
“…ถ้าเขาให้ก็รับเถอะครับ”
อินซอบตอบด้วยน้ำเสียงบางเบา ตอนนั้นเองประตูของลิฟต์ที่เคลื่อนมาถึงชั้นใต้ดินชั้นสี่ก็เปิดออก
“ถ้าผมได้รางวัล คุณจะทำอะไรให้ผมเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยตาเป็นประกายเหมือนเด็กที่รอคำชมจากพ่อแม่ อินซอบครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะเปิดปากพูด
“ถ้าคุณบอก ผมจะทำให้ทุกอย่างเลยครับ”
“คุณรู้นี่ครับว่าผมอยากได้อะไร”
“ผมจะทำให้ทุกอย่างจริงๆ ครับ ถ้าผมทำได้ ทุกอย่างเลย”
อีอูยอนทำตาหยี
“ได้ครับ ผมจะเอาถ้วยรางวัลมาขอคุณแต่งงานให้ได้ อย่ากลับคำพูดนะครับ เพราะปีเตอร์เป็นพยานอยู่”
“…ฮ่าๆ”
อินซอบหัวเราะเขินๆ ให้กับคำพูดล้อเล่นนั้น จู่ๆ อีอูยอนที่อุ้มตุ๊กตาหมีและเดินอยู่ข้างหน้าก็หัวเราะออกมา
“หัวเราะทำไมครับ”
“ผมคิดถึงเรื่องเมื่อกี้น่ะครับ ดาราในบริษัทของเรา”
“ขอโทษครับ พอดีผมไม่เคยเล่นอะไรแบบนั้น”
อินซอบคิดว่าวันนี้เขาต้องกลับบ้านไปศึกษาเกี่ยวกับกลอนสามประโยคสักหน่อย
“เพราะอย่างนั้นผมเลยแย่งของรักของหวงที่สำคัญของผมกลับมาได้อีกครับไงครับ”
อีอูยอนกอดของรักของหวงที่ไม่เคยสำคัญไว้ในอ้อมกอดราวกับว่ามันสำคัญมาก
“พอเป็นแบบนี้แล้วดูเหมือนคู่รักธรรมดาเลยนะครับ”
“ใครเหรอครับ”
อีอูยอนชี้อินซอบสลับกับตัวเอง
อินซอบไม่กล้าแม้แต่จะถามว่า ที่ไหน อย่างไร และทำไมถึงมองดูเป็นแบบนั้น
“ก็ปกติแล้วพวกแฟนหนุ่มเขาให้ของขวัญแบบนี้กันเยอะแยะไปนี่ครับ ของที่ใหญ่อย่างเดียวแต่ไม่มีประโยชน์”
“…ให้ผมเอากลับไปเหมือนเดิมไหมครับ”
อินซอบยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง แต่อีอูยอนไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยินด้วยซ้ำ
“ดีนะครับ ของธรรมดาเนี่ย”
อีอูยอนเป็นคนที่ห่างไกลจากคำว่าธรรมดา ไม่มีอะไรที่ไม่โดดเด่นเลยสักอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง และอาชีพการงาน อย่าว่าแต่ธรรมดาเลย อีอูยอนที่หนีบตุ๊กตาหมีไว้ที่สีข้างตอนนี้เหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารด้วยซ้ำ
แต่ตัวเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายกลับ…
อินซอบมองภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในประตูกระจก และหลุบตามองด้านล่างด้วยความเศร้า
“จะไปที่ไหนดีครับ”
อีอูยอนเปิดประตูกระจกพลางเอ่ยถาม
“ผมบอกให้คิดไว้ไงครับ เมื่อวานน่ะ”
“…”
อินซอบลืมไปเสียสนิท เขามัวแต่คิดเรื่องที่อีอูยอนโกหกเขาจนไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารเย็นเลย
อีอูยอนเข้าใจความงงงวยที่ปรากฏบนใบหน้าของอินซอบและหัวเราะอย่างขมขื่น
“…คังอูไปก่อนแล้วเหรอครับ”
อินซอบหันไปมองรอบๆ พลางเอ่ยถาม ทันทีที่การทักทายบนเวทีจบลง เขาก็ไม่เห็นตัวคิมคังอูเลย เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะลงไปก่อน และเอารถไปรออยู่ในที่ที่เคลื่อนตัวออกไปได้ง่าย
“เป็นเดทนะครับ จะไปกันสามคนเหรอ”
พออีอูยอนหยิบสมาร์ทคีย์ออกมากดปุ่ม ไฟหน้าของรถยนต์ก็กะพริบจากที่ที่ไม่ไกลมากนัก ตอนนี้อินซอบรู้ถึงเหตุผลที่อีอูยอนไม่ใช้รถตู้ แต่ขับรถของตัวเองมาที่นี่แล้ว
อีอูยอนเปิดประตูด้านหลังรถ และยัดตุ๊กตาหมีเข้าไป จากนั้นเขาก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้อินซอบ อินซอบมองไปรอบๆ เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับ หลังจากขึ้นมานั่งตรงที่นั่งคนขับแล้ว อีอูยอนก็เอ่ยถามระหว่างที่ดึงเข็มขัดนิรภัยลงมา
“มีของที่อยากกินหรือเปล่าครับ”
“ผมกินอะไรก็ได้ครับ”
“ไปกินปลาหมึกผัดที่ไม่ได้กินมานานแล้วกันไหมครับ”
“…”
ข้อเสนอของอีอูยอนทำให้ใบหน้าของอินซอบซีดเผือด เขานึกถึงฝันร้ายก่อนหน้านี้ขึ้นมา
“ล้อเล่นครับ”
อีอูยอนสตาร์ทรถก่อนจะเร่งอินซอบ
“รีบคิดนะครับ ต้องพิมพ์ลงไปในเครื่องนำทางอีก”
“ครับ ผมจะรีบคิดครับ”
อีอูยอนขมวดคิ้วให้กับคำตอบของอินซอบที่ตอบกลับมาทันที
“ทำไมถึงทำตัวเกร็งอย่างนั้นล่ะครับ คุณไม่ใช่พนักงานใหม่ที่กำลังจะไปกินข้าวกับหัวหน้าในที่ทำงานซะหน่อย มีแค่ผมที่ตั้งตาคอยกับเดทวันนี้เหรอครับ”
อีอูยอนถามเย้าแหย่พร้อมกับเลี้ยวตรงมุมของลานจอดรถแคบๆ อย่างชำนาญ
“…ผมเองก็ตั้งตารอเหมือนกันครับ”
อินซอบกำชายเสื้อจนยับยู่ยี่ก่อนจะหลุบตามองด้านล่าง ความจริงแล้วตอนนี้เขาสนใจเรื่องที่อีอูยอนโกหกเขามากกว่าตั้งตารออาหารเย็นหลายเท่า
ลองถามออกไปตรงๆ ตอนนี้เลยดีไหม
“มีเรื่องที่จะพูดหรือเปล่าครับ”
อีอูยอนถามอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา
“…ไม่มีครับ”
อินซอบหันหน้ากลับไป
“แต่ผมมีครับ”
อีอูยอนหมุนพวงมาลัยรถก่อนจะเอ่ย ตอนนั้นเองรถที่พุ่งมาทางขวากลับไม่ยอมเปิดไฟเลี้ยวและแทรกเข้ามา
อีอูยอนเหยียบเบรกก่อนจะใช้แขนกั้นไม่ให้ตัวของอินซอบไหลไปข้างหน้า
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ครับ ไม่เป็นอะไรครับ”
แม้จะเลี่ยงการชนได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็เกิดความหงุดหงิดขึ้นบนใบหน้าของอีอูยอน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายที่ต้องถอยรถไปด้านหลังกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
อีอูยอนยื่นมือออกไปจากที่นั่งคนขับ และทำมือเป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายขยับรถไปด้านหลัง พอเขาทำแบบนั้นคนขับรถคู่กรณีก็บีบแตรอย่างกวนประสาทแทนคำตอบ อีอูยอนหัวเราะดังเหอะก่อนจะกำพวงมาลัยแน่
“ให้เขาไปก่อนเถอะครับ”
อินซอบพูดอย่างระมัดระวัง ถ้าหากโต้เถียงกัน คนที่จะเสียเปรียบในทุกกรณีมักจะเป็นฝ่ายดาราเสมอ ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว อินซอบไม่อยากเห็นอีอูยอนต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องที่ไม่ดี
พออีอูยอนถอนหายใจและถอยรถไปด้านหลัง รถคู่กรณีก็ส่งเสียงดังพร้อมกับขับออกไปจากลานจอดรถเหมือนรออยู่แล้ว
อีอูยอนเข้าเกียร์ D อีกครั้งและหมุนพวงมาลัย เขาดูอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”
อีอูยอนทำหน้าเหมือนได้ยินคำพูดที่คาดไม่ถึง
“ก็ที่คุณช่วยมีน้ำใจเพราะผมไงครับ”
อินซอบจำคำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าไม่อยากจะจับพวงมาลัยรถ เพราะไอ้พวกคนที่ขับรถแย่ได้อย่างชัดเจน
อีอูยอนเปลี่ยนไปทำสีหน้าแปลกๆ แม้อินซอบจะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นขำ หรือกลั้นความโมโหเอาไว้ แต่เขาก็มั่นใจว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาทุเลาลงแล้ว
“ใช่แล้วครับ ถ้าไม่มีคุณอินซอบ ผมอาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ และชนท้ายไปแล้วล่ะครับ”
เมื่อไม่นานมานี้มีโฆษณาเพื่อสาธารณประโยชน์รณรงค์เรื่องขับขี่ปลอดภัยถูกเสนอมาให้อีอูยอน ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์เท่านั้น เพราะส่วนมากมักจะไม่ได้ค่าตัว นี่เป็นการทำการตลาดในเรื่องของภาพลักษณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมในฐานะดารา แต่กรรมการผู้จัดการคิมกลับปฏิเสธโฆษณาคราวนี้ทันควัน เพราะเขาเชื่อว่าการฝากโฆษณาแบบนั้นให้กับฆาตกรที่ฆ่ารถเบนช์ เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้ในฐานะมนุษย์
“คำพูดที่ว่านิสัยที่แท้จริงจะโผล่ออกมาตอนขับรถดูท่าจะจริงนะครับ มีคนขับรถเหี้ยจริงๆ อยู่เยอะเลย เหนื่อยหน่อยนะครับ”
อีอูยอนเลื่อนกระจกลงตรงหน้าตู้เก็บเงินค่าจอดรถแล้วเอ่ยทักทาย น้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยนนั้นไม่ต่างอะไรกับเสียงที่พูดถึงคนแย่ๆ เลยแม้แต่น้อย
อีอูยอนเลื่อนกระจกขึ้นหลังจากที่คิดเงินเสร็จ
“ผมขับเองดีไหมครับ”
อินซอบมองอีอูยอนอย่างกังวลพลางเอ่ยถาม อีอูยอนหัวเราะออกมา
“ไม่ต้องหรอกครับ มีคุณอินซอบอยู่ข้างๆ ผมไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอนครับ”
อีอูยอนดูอารมณ์ดีอย่างมาก ลมที่พัดเข้ามาผ่านช่องของกระจกที่ถูกเปิดทำให้ผมของอีอูยอนยุ่งเหยิง พอพวกเขาสบตากัน อีอูยอนก็ยิ้มร่า
“ตอนนี้คุณมองผมตรงๆ แล้วแฮะ”
“ครับ?”
“ก็วันนี้คุณเลี่ยงที่จะสบตาผมทั้งวันเลยนี่ครับ ผมปวดใจนะ”
อีอูยอนพูดถึงบาดแผลที่ตัวเองได้รับอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงสดใส เขามองอินซอบที่ทำตัวไม่ถูก และครุ่นคิดว่าจะร้องไห้ออกมาตอนนี้เลยดีไหม ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ขอผมรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ”
อินซอบขออนุญาตก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า อีอูยอนเหลือบมองชื่อของคนที่โทรมา
“ฮัลโหล ชเวอินซอบครับ”
[อินซอบ…อยู่กับอีอูยอนหรือเปล่า]
“ครับ! ผมอยู่กับคุณอีอูยอนครับกรรมการผู้จัดการ!”
อินซอบตะโกนเสียงดังอยู่ข้างๆ อีอูยอน เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากปลายสาย
“เกิดเรื่องอะไรเหรอครับ”
[เห็นข่าวหรือยัง]
“ข่าวอะไรเหรอครับ”
อินซอบถามกลับด้วยความตกใจ อีอูยอนยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้อินซอบโดยไม่พูดอะไร อินซอบรีบเข้าไปในเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นและเช็กหน้าข่าวสังคม จากนั้นเขาก็ไล่สายตาไปตามหน้าบันเทิง
“เอ่อ…”
[‘แชยอนซอเข้าโรงพยาบาลด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์’]
อินซอบใช้มือที่สั่นเทากดอ่านข่าว แม้จะยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัด แต่เนื้อหาข่าวบอกว่าตอนนี้เธอกำลังถูกย้ายไปที่โรงพยาบาลจากการโดนชนท้ายอย่างกะทันหันในระหว่างที่ไปถ่ายละคร และไม่มีอันตรายอะไรถึงชีวิต
“เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
อินซอบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล และรถก็จอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกพอดี
[อืม ฉันลองโทรศัพท์คุยกับทางนั้นแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีตรงไหนที่หัก แค่ฟกช้ำดำเขียวเล็กน้อยเท่านั้น]
อินซอบถอนหายใจอย่างโล่งใจ
“โล่งอกไปทีนะครับ”
ชเวอินซอบไม่เคยรู้จักแชยอนซอเลย นี่เป็นความสัมพันธ์ที่แม้จะเดินผ่านกันไปมาที่สถานีโทรทัศน์ แต่ก็ไม่เคยทักทายกันสักครั้ง อีอูยอนทอดสายตามองอินซอบที่แม้จะมีความสัมพันธ์แบบนั้น แต่ก็แสดงความโล่งใจออกมาจากใจจริงนิ่งๆ
[แต่อาจต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจนั่นตรวจนี่น่ะ]
“อย่างนั้นเหรอครับ”
อีอูยอนถามกลับ เพราะเขารู้ว่าการพูดเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนท้ายสุดเป็นศิลปะในการพูดของกรรมการผู้จัดการคิม
[…เธอนั่งรถไปกับผู้อำนวยการฝ่ายอีน่ะ]
“แล้วเขาตายเหรอครับ”
[แกนี่…ไม่ ผู้อำนวยการฝ่ายอีไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ลงข่าวอุบัติเหตุ แต่เพราะรถที่ชนเป็นรถที่นั่งข่าวขับ ก็เลยเป็นข่าวทันที โชคไม่ดีจริงๆ]
อีอูยอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะแย่งโทรศัพท์ของตัวเองที่อยู่ในมือของอินซอบมาดูข่าว อินซอบมองอีอูยอนด้วยความหวั่นใจ
[แน่นอนว่าฉันไม่ได้จะบังคับให้นายไป หรืออะไรแบบนั้น แต่มีคนกำลังจับตามองอยู่นะ ดังนั้น…]
อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการอีน่าจะปกปิดว่าเป็นผู้เกี่ยวข้อง และใช้อีอูยอนเบี่ยงเบนสายตาของคนอื่น แม้จะเป็นแผนการที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่กรรมการผู้จัดการคิมที่ได้รับโทรศัพท์มาก็ทำได้แค่ขอร้องอีอูยอน
ปัญหาก็คืออีอูยอนเป็นคนที่ไม่อดทนจนถึงที่สุดกับสิ่งที่ตัวเองเกลียด กรรมการผู้จัดการคิมพูดต่ออย่างระมัดระวัง
[ไปสักครั้งเถอะ นายสวมหน้ากาก แล้วก็ไปอย่างที่คนเขาทำกัน…]
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปครับ”
[โอเค ไปนะ…ว่าไงนะ]
กรรมการผู้จัดการคิมถามซ้ำด้วยความตกใจ เหมือนได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรจะได้ยิน
“ผมบอกว่าจะไปครับ ช่วยส่งชื่อโรงพยาบาลกับหมายเลขห้องมาทางข้อความด้วยนะครับ มีพวกนักข่าวอยู่ด้วยใช่ไหมครับ”
[เออ ก็อยู่น่ะสิ …จะไปจริงๆ เหรอ]
“ก็คุณโทรศัพท์มาสั่งให้ไปนี่ครับ แต่ขี้ขลาดจังเลยนะครับ ที่โทรมาหาคุณอินซอบก่อน แทนที่จะเป็นผม”
คำพูดของอีอูยอนทำให้อินซอบตื่นตระหนก และแทรกมาจากด้านข้างว่า ‘ไม่ได้ขี้ขลาดนะครับ’
[ไม่หรอก ก็ขี้ขลาดจริงๆ นั่นแหละ…อีอูยอนนายไม่ได้กินยาอะไรแปลกๆ ใช่หรือเปล่า]
นี่เป็นคำถามที่กรรมการผู้จัดการคิมมักจะถามเพื่อตรวจสอบเสมอ เมื่อเขาได้ยินจากพวกอัยการว่ามีการเข้าตรวจค้นยาเสพติด แน่นอนว่าเขาก็ถามแบบนี้ในวันที่อีอูยอนพาแมวที่บาดเจ็บไปโรงพยาบาลรักษาสัตว์ด้วยเช่นกัน
“กินวันละเม็ดครับ”
[ไอ้บ้านี่ อย่าล้อเล่นสิ! ไม่รู้เหรอว่าช่วงนี้มันวุ่นวายน่ะ]
“ผมกำลังขับรถอยู่ ไว้จะโทรไปใหม่นะครับ”
อีอูยอนวางสาย อินซอบเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าอีกครั้ง ทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถก็เริ่มขยับ
“ขอโทษนะครับ เอาไว้เราค่อยกินข้าวเย็นกันนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ผมจะไปส่งที่บ้านเองครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ จอดตรงสถานีรถไฟที่อยู่ข้างหน้าก็ได้ เดี๋ยวผมกลับเองครับ”
อีอูยอนไม่พูดอะไร เขาเปิดไฟฉุกเฉินและจอดรถตรงข้างทาง อินซอบตกใจกับการจอดรถอย่างกะทันหันและหันหน้ากลับมา
“ถ้าคุณไม่ให้ไป ผมก็จะไม่ไปครับ”