เด็กสาวคนก่อนจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์เป็นเด็กที่เขาได้เห็นการเติบโตของนางมากับตาตัวเอง แล้วบุตรสาวของเด็กสาวคนนั้นจะทำตัวน่าเหลืออดเหลือทนอย่างที่คนเขาเล่าลือกันได้อย่างไร
เป็นเพราะเขาเองที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานานเกินไป ยิ่งเขาได้ฟังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหลงเชื่อมากขึ้นเท่านั้น
เขาหลงเชื่อว่าตัวเองเป็นราชาผู้เฉลียวฉลาดและเห็นอกเห็นใจประชาชน ตลอดช่วงเวลาหลายปีนั้น เขาไม่เคยปฏิบัติต่อบรรดาแม่ทัพที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในศึกของตนด้วยความอยุติธรรมเลยแม้แต่คนเดียว แต่วันนี้เขากลับเพิ่งค้นพบว่าหลานสาวของแม่ทัพผู้มากด้วยความดีความชอบคนนั้นกลับต้องมาเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ หัวใจของอดีตฮ่องเต้ก็ยิ่งเต็มไปด้วยโทสะ หากไม่ใช่เพราะวิธีการรับมืออันสุขุมเยือกเย็นของเด็กคนนี้ล่ะก็ สุดท้ายแล้วเขาอาจจะปล่อยให้ตระกูลซูรอดตัวไปโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนจริงๆ ก็ได้
ตระกูลซูหนอตระกูลซู!
อดีตฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึก ปัง! ลูกประคำที่เขากำลังนับอยู่ในมือถูกกระแทกลงบนโต๊ะ แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเดือดดาล ”ไปเรียกตัวฮูหยินซูมาพบข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงขานรับของขันทีซุน ร่างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับถูกพายุหิมะโหมใส่ นางก้าวถอยหลังราวกับคนไร้วิญญาณ
ตอนที่ขันทีซุนนำตัวฮูหยินซูเข้ามา ฮูหยินซูก็เห็นมาแต่ไกลแล้วว่าสาวใช้คนสนิทของตนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น นางถึงกับใจหายขึ้นมาทันที
เดิมทีนั้นฮูหยินซูคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงแค่เด็กสาวผู้โง่เขลาธรรมดา และคงไม่ต้องเปลืองแรงจัดการมากนัก ดังนั้นนางจึงส่งสาวใช้ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนางมาจัดการกับเรื่องนี้ ทุกอย่างควรจะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่ทำไมคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นถึงกลายเป็นเสี่ยวเหลียนไปได้
ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่นอน!
คนฉลาดอย่างฮูหยินซูใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถตรวจสอบใบหน้าของบุตรสาวสุดที่รัก และเสิ่นเวินหว่านได้เสร็จสรรพ ในเสี้ยววินาทีถัดมา นางก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ปฏิกิริยาแรกที่นางทำคือเปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก และทำให้เรื่องเล็กที่ว่านั่นอันตรธานหายไป เพราะถ้าหากนางสามารถผลักเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของเด็กๆ ได้ นางก็จะสามารถอ้างได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแต่มาจากความหุนหันพลันแล่น และความไม่ตั้งใจของหนุ่มสาวทั้งสิ้น
แต่ถ้านางพลอยติดร่างแหไปด้วย เรื่องก็จะต่างออกไปแล้ว
ดังนั้น ต่อให้มันจะน่าสงสารเพียงใด แต่นางก็ทำได้เพียงแค่ต้องทิ้งหมากบางตัวเท่านั้น
ฮูหยินซูขยำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แต่ท่าทางของนางก็ยังไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็นไปแต่อย่างใด นางควบคุมสติของตนเอง และคารวะอีกฝ่ายอย่างสมฐานะว่า ”ฮูหยินเสนาบดีคารวะอดีตฮ่องเต้เพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
อดีตฮ่องเต้ไม่ได้สั่งให้นางลุกขึ้นเช่นกัน เขาทำเพียงมองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่เสียงของเขาจะดังขึ้นว่า ”ข้าจำได้ว่าขุนนางเสิ่นเพิ่งจะเข้าเมืองหลวงมาเมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเพราะตระกูลซูของเจ้าเป็นผู้ช่วย”
“เรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักนั้น หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบแน่ชัดเท่าใดนักเพคะ” ซูเหยียนโม่กำผ้าเช็ดหน้าของตน แต่สีหน้าของนางกลับไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ”ท่านพี่ไม่เคยเล่าเรื่องพวกนั้นให้หม่อมฉันฟังเพคะ”
อดีตฮ่องเต้หรี่ตา ”เช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักคุณหนูเสิ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าด้วยหรือ”
“หม่อมฉันไม่เคยพบนางมาก่อนเพคะ” ซูเหยียนโม่ไม่เคยพบกับเสิ่นเวินหว่านมาก่อนจริงๆ จริงอยู่ที่การรวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของบรรดาขุนนางนั้นนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่การที่ผู้หญิงจับกลุ่มสนิทสนมกันมากเกินควรมีแต่จะทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น พี่ชายของนางก็เพิ่งจะเลื่อนตำแหน่งให้คนสกุลเสิ่นไปหมาดๆ แม้นางจะใช้ตระกูลเสิ่นเป็นเครื่องมือ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกันซึ่งหน้า นางจึงมักจะสื่อสารกันผ่านทางจดหมายกับอีกฝ่ายเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่านังเด็กเหลือขอนั่นไม่ได้สร้างผลกระทบใหญ่โตจนเกินเหตุในสำนักไท่ไป๋ และทำให้เจียวเอ๋อร์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงครั้งแล้วครั้งเล่าล่ะก็ นางก็คงจะไม่นำตัวหมากที่อยู่ในสำนักไท่ไป๋มาใช้ก่อนเวลาอันควรเช่นนี้แน่
อดีตฮ่องเต้มองท่าทางของซูเหยียนโม่ และรู้ว่าต่อให้เค้นถามต่อไปเท่าใดก็คงจะไม่มีทางได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ตนต้องการแน่ ดังนั้นเขาจึงทำเพียงแค่นหัวเราะอยู่ในลำคอ ”เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่รู้เหมือนกันใช่หรือเปล่าว่าบุตรสาวสุดที่รักของเจ้าร่วมมือกับบุตรสาวตระกูลเสิ่นทำร้ายผู้อื่น”
“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือเพคะ” ดวงตาของซูเหยียนโม่สั่นไหว ดูราวกับนางไม่เชื่อ พร้อมกันนั้นนางก็หันไปทางเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ”เจียวเอ๋อร์ เจ้าทำร้ายใคร แม่สอนเจ้าอยู่ทุกวี่วันว่าเจ้าหัวอ่อนเกินไป จึงยากที่จะเลี่ยงไม่ให้ถูกผู้อื่นเอาเปรียบได้ คราวนี้มันเกิดอะไรขึ้นหรือ”
หากไม่ใช่เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าฮูหยินซูเป็นคนเช่นใด นางก็คงจะถูกการแสดงของอีกฝ่ายหลอกเอาได้แล้ว เมื่อเทียบกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ผู้เป็นแม่ของนางนั้นได้ขัดเกลาทักษะการแสดงของตนไปจนถึงระดับสูงสุด หรือก็คือเหนือกว่าคำว่าไร้ยางอายไปแล้วนั่นเอง
“ฮูหยินซู” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปทีละน้อย และเดินเข้าไปหานางช้าๆ รอยยิ้มที่มุมปากของนางดูเยือกเย็น ”ข้าอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ในหนังสือเล่มนั้นเขียนเอาไว้ว่า คนเรานั้นหากตกอยู่ในอาการประหลาดใจอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถรักษาสีหน้าของตนได้มากที่สุดก็เพียงแค่สองวินาทีเท่านั้น หากเกินกว่าสองวินาทีย่อมหมายความว่าคนคนนั้นไม่ได้ประหลาดใจจริงๆ แต่กำลังแกล้งแสดงละครอยู่ ฮูหยิน ข้าจับเวลาดูแล้ว เกรงว่าท่านจะทำหน้าเช่นนี้มาได้อย่างน้อยสักห้าวินาทีได้แล้วกระมัง”
ซูเหยียนโม่ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวที่เคยแข้งขาสั่นทุกครั้งที่พบหน้านางจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ เมื่อนึกถึงข่าวที่นางได้รับในช่วงนี้ นางก็หรี่ตาลงเล็กน้อย และกลับสู่ท่าทางปกติของตน ”เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าพูดจากับประมุขของตระกูลตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร สำนักไท่ไป๋สอนให้เจ้าเสียมารยาทกับผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ผู้อาวุโสหรือ ฮูหยินคงจะลืมไปแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านได้ยุแยงให้บรรดาผู้อาวุโสตัดข้าออกจากตระกูลแล้วนี่ ทุกวันนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้อยู่คนเดียวอย่างสันโดษ นอกจากอาจารย์ของข้า คนที่สามารถนับเป็นผู้อาวุโสสำหรับข้าได้ก็ล้วนแต่ถูกฝังอยู่ในหลุมหมดแล้ว หรือบางทีฮูหยินอาจจะอยากไปร่วมวงกับพวกเขา หากเป็นเช่นนั้น ข้าอาจจะรับพิจารณาเรียกท่านว่า ’ผู้อาวุโส’ ก็ได้”
“เจ้า!” ฮูหยินซูหายใจเข้าอย่างแรง ”เจ้าเปลี่ยนไปรวดเร็วเหลือเกิน แม้แต่ข้าที่เป็นแม่ของเจ้าก็แทบจะจำเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง แสงในดวงตาของนางก็แผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกออกมา ”ฮูหยิน ข้าต้องเตือนสติท่านหรือเปล่าว่าท่านแม่ของข้า คนที่เคยปฏิบัติต่อท่านเสมือนน้องสาวแท้ๆ ถูกท่านแย่งสามีไป อีกทั้งยังถูกท่านทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จนล้มป่วยเรื้อรัง และจากโลกนี้ไปแล้ว ก่อนที่นางจะสิ้นใจ ท่านยังกุข่าวอ้างว่านางทนท่านไม่ได้ ดูเหมือนว่าลูกสาวสุดที่รักของท่านเองก็คงจะได้รับการสืบทอดนิสัยของท่านมาเช่นกัน ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็น แต่ใส่ร้ายป้ายสีและปรักปรำคนอื่นนั้นช่างชำนาญนัก!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็อดที่จะหันไปมองฮูหยินซูตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กสาวจากตระกูลขุนนางสองสามคนที่เหลืออยู่ พวกนางไม่รู้เลยว่าภายในเมืองหลวงมีเรื่องน่าตกใจเช่นนี้เกิดขึ้น
มารดาของอัจฉริยะด้านพลังปราณผู้ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้อย่างมารดาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้น จริงๆ แล้วกลับได้รับตำแหน่งของตนมาด้วยวิธีการเช่นนี้นี่เอง
บอกตามตรงว่าวิธีการเช่นนี้นับว่าเป็นวิธีการที่ไร้ยางอายที่สุดสำหรับพวกนางเลยทีเดียว แม้ว่าในหมู่แวดวงสังคมของคนในเมืองหลวง ทุกคนต่างก็อยากแต่งงานมีสามีดีๆ แต่การขโมยสามีของพี่สาวตัวเองมาเป็นของตนนั้น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกนางคิดจะทำอย่างแน่นอน
พวกนางไม่รู้เลยว่าฮูหยินซูเคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน...
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ซูเหยียนโม่ไม่อยากให้ใครขุดคุ้ยอย่างที่สุด แต่แน่นอนว่าทุกประโยคที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดนั้นล้วนแต่เป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของนางออกมาทั้งสิ้น
ซูเหยียนโม่คิดอยากจะฉีกเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นชิ้นๆ ในทันที แต่ก็ไม่อาจระเบิดอารมณ์ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้
นอกจากนี้ นางก็ยังไม่รู้รายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะมาถึงที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงทนเงียบอยู่เช่นนั้น นางหันหน้าไปทางอดีตฮ่องเต้ และกล่าวว่า ”อดีตฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันรู้จักบุตรสาวของตัวเองดี นางมีนิสัยอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง เข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่าเพคะ”
“เข้าใจผิดหรือ” สายตาของอดีตฮ่องเต้เด็ดเดี่ยว น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความไม่พอใจ ”บุตรสาวของเจ้ายุบุตรสาวตระกูลเสิ่น บอกให้นางเอาไม้มนต์ดำเข้ามาในวัดเพื่อทำร้ายคนอื่น สาวใช้คนสนิทของเจ้าก็คุกเข่าอยู่บนพื้นนี่ เจ้าคิดว่ามันยังจะมีความเข้าใจผิดอะไรได้อีกหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำโป้ปดที่พรั่งพรูออกมาเลย พวกนางกล้าทำแม้กระทั่งทำร้ายผู้อื่น ซูเหยียนโม่ นี่เป็นวิธีที่ตระกูลซูของเจ้าอบรมบุตรหลานหรือ”