ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา เรื่องที่พุทธศาสนาสร้างบุคคลมากความสามารถที่แตกฉานในสติปัญญาขึ้นมานั้น แท้จริงแล้ว ไม่ มี อะไร เลย! หนานกงมั่วและคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในวัดหลิงเฉวียนต่างก็อยู่อย่างผ่อนคลายและสบายใจ แต่เซียวเชียนชื่อที่อยู่ในโยวโจวกลับต้องเหน็ดเหนื่อยและลำบากเป็นอย่างมาก ตั้งแต่พี่สะใภ้เดินทางไปยังวัดหลิงเฉวียนแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ชีวิตของผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องนับวันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิม โชคยังดีที่พี่สะใภ้ของเขาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงอาหารให้ก่อนที่จะเดินทาง แต่การที่ไปบังคับยืมเสบียงอาหารมาหลายหมื่นสือ และต่อมาเยี่ยนอ๋องก็ได้ตัดภาษีรายได้ฤดูใบไม้ร่วงอีก ผู้ว่าการโยวโจวย่อมเกิดความไม่พอใจเซียวเชียนชื่ออยู่แล้ว ถึงแม้ว่าทางนั้นจะไม่มีปัญญาต่อกรกับเยี่ยนอ๋องและจวิ้นจู่ แต่จะให้คนเหล่านั้นกลัวเด็กเมื่อวานซืนเช่นเขาด้วยหรืออย่างไรกัน เรื่องนี้ก็ช่างเถิด เพราะอย่างไรเสียที่ผ่านมาสำนักผู้ว่าการโยวโจวและจวนเยี่ยนอ๋องก็มีความขัดแย้งกันมายาวนาน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้คบค้าสมาคมกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เซียวเชียนชื่อได้ควบคุมตัวบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจของจวนเยี่ยนอ๋องมาไต่สวนสืบหาความจริง เรื่องนี้ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับขุนนางข้าราชการเหล่านั้นเป็นอย่างมาก หากได้ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนมาบ้างก็ยังพอว่า แต่กลับจับได้แค่พวกปลายแถว ตอนนี้จะกักกุมตัวคนเหล่านั้นไว้ก่อน ซื่อจื่อตั้งใจจะเสียเวลาทุกคนหรืออย่างไรกัน
ไม่ได้เจอกับเยี่ยนอ๋อง พระชายาเยี่ยนอ๋องกลับอยู่ในจวนแทน ส่งผลให้คนในตระกูลของขุนนางข้าราชการเกิดความไม่พอใจจึงพากันมาร้องทุกข์ที่หน้าประตูใหญ่เป็นจำนวนมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาก็คอยมาโน้มน้าวเขาเป็นพักๆ จนทำให้เซียวเชียนชื่อหน้าดำคร่ำเครียดแอบทุกข์อยู่ในใจ สุดท้ายก็เป็นจวนเยี่ยนอ๋องที่เป็นฝ่ายออกหน้า สยบทุกความคิดเห็นของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเผด็จการ เซียวเชียนชื่อจึงค่อยสามารถเจียดเวลามาจัดการกับศัตรูได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถจับผู้ช่วยก่อการร้ายได้สองคน แต่ตัวการสำคัญกลับหนีไปได้ เหล่าบรรดาขุนนางผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของจวนเยี่ยนอ๋องจึงต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ด้วยความคับแค้นใจเป็นอย่างมาก
“ท่านอ๋อง ท่านซื่อจื่อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในห้องหนังสือของเรือนรับแขก หนานกงมั่วและเนี่ยนหย่วนกำลังนั่งเสวนากับเยี่ยนอ๋องอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงรายงานขององครักษ์ดังขึ้น
เยี่ยนอ๋องเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางเอ่ยขึ้นว่า “มาแล้วรึ ให้เขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องหัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นก็วางจดหมายลับลงพร้อมกับเอ่ยว่า “สายลับสามคน แต่ตัวการสำคัญกลับดันหนีไปได้ เจ้าเด็กคนนี้มันช่างน่านัก…”
เนี่ยนหย่วนยิ้มพร้อมกับรีบเอ่ยตัดบทว่า “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ ใช่ว่าซื่อจื่อจะไร้ซึ่งสติปัญญา แต่เพราะมีความเมตตา…จึงใจอ่อนไม่เด็ดขาดก็เท่านั้น ท่านอ๋องมอบหมายอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดให้ซื่อจื่อเป็นคนจัดการดูแล ถือว่าเป็นการยากสำหรับเขาแล้ว”
ไม่ใช่เพราะใจอ่อนไม่เด็ดขาด แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณที่ลังเลไม่หนักแน่น จึงก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดต่างหาก จุดนี้คือข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของเซียวเชียนชื่อ
การเข้ารับตำแหน่งไม่จำเป็นต้องฉลาดปราดเปรื่องหรือความสามารถล้ำเลิศที่สุด แต่จะต้องรู้จักเลือกและตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดภายใต้การนำเสนอข้อคิดเห็นต่างๆ ของผู้ใต้บังคับบัญชา การตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาดจะนำมาซึ่งความวุ่นวายตามมาอีกมากมาย ผลลัพธ์ย่ำแย่กว่าการที่ไม่เฉลียวฉลาดในการคิดวิเคราะห์เสียด้วยซ้ำ เยี่ยนอ๋องเองต้องการจะใช้สถานการณ์นี้มาขัดเกลาความคิดและจิตใจของเซียวเชียนชื่อ ถึงขั้นเรียกตัวหนานกงมั่วออกมานอกเมืองด้วย แต่น่าเสียดาย สุดท้ายก็ไม่ได้สมดังปรารถนาอยู่ดี
หนานกงมั่วเงียบงัน คนที่หนีไปได้ไม่จำเป็นต้องไปกังวลใจ เพราะอย่างไรเสียเยี่ยนอ๋องก็ได้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรก จะปล่อยให้ตัวการสำคัญหนีไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เพียงแต่ว่าการที่ตัวการสำคัญหลุดไปจากมือของเซียวเชียนชื่อ เกรงว่าสาเหตุที่ทำให้เยี่ยนอ๋องไม่สบอารมณ์นั้นคงจะเป็นเพราะรู้สึกผิดหวังมากกว่าความโกรธ
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ” ที่นอกประตูก็มีเสียงของเซียวเชียนชื่อดังขึ้น
“เข้ามา” เยี่ยนอ๋องเอ่ยขึ้นเสียงขรึม
ได้ยินแล้วเซียวเชียนชื่อก็ค่อยๆ เดินเข้ามาด้านใน แต่เมื่อสังเกตเห็นเนี่ยนหย่วน เซียวเชียนชื่อก็ชะงักไปชั่วครู่ “เสด็จพ่อ”
เยี่ยนอ๋องกระแอมเสียงเบา พลางถามขึ้นว่า “เรื่องไปถึงไหนแล้ว”
เซียวเชียนชื่อก้มหน้าลงต่ำ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงละอายใจว่า “ลูกไร้ซึ่งความสามารถ จึงทำให้ตัวการสำคัญหนีไปได้ จับได้เพียงผู้ช่วยก่อการร้ายเพียงสองคนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องกวาดตาอ่านเอกสารราชการที่ค่อนข้างหนาจบอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาดูเย็นชาและเคร่งขรึมขึ้นมาเป็นเท่าตัว “เจ้าเซียวเชียนเยี่ยกับกงอวี้เฉิน เก่งกล้าเสียจริง ถึงได้สามารถส่งสายลับจำนวนมากขนาดนี้เข้ามาในจวนเยี่ยนอ๋องของข้าได้ ข้าล่ะนับถือเจ้าพวกนี้จริงๆ” การที่สีหน้าของเยี่ยนอ๋องย่ำแย่ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเพราะเซียวเชียนเยี่ยเสียทีเดียว เซียวเชียนเยี่ยขึ้นมารับตำแหน่งยังไม่ถึงปี จึงยังไม่มีความสามารถพอที่จะส่งสายลับจำนวนมากขนาดนี้เข้ามาในจวนเยี่ยนอ๋องได้ เกรงว่าคนเหล่านี้คงจะเป็นคนของอดีตฮ่องเต้เสียแปดส่วน แต่ทว่าตอนนี้อดีตฮ่องเต้สวรรคตแล้ว และฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นที่เรียบร้อย คนเหล่านี้ก็ย่อมต้องพากันถวายความจงรักภักดีให้กับเซียวเชียนเยี่ยเป็นธรรมดา
เมื่อนึกถึงความแคลงใจที่เสด็จพ่อมีต่อเขา ก็ไม่แปลกที่สีหน้าของเยี่ยนอ๋องจะแย่เพียงนี้
เยี่ยนอ๋องยื่นเอกสารราชการในมือให้กับหนานกงมั่วที่นั่งถัดไปจากตน จากนั้นก็ถามขึ้นเสียงขรึมว่า “แล้วสืบได้หรือยัง ว่าเสบียงอาหารของข้าอยู่ที่ไหน” เยี่ยนอ๋องไม่เชื่อว่าเสบียงอาหารจำนวนหลายแสนสือจะถูกทำให้เสียหายจนหมด
เซียวเชียนชื่อส่ายหน้าอย่างลำบากใจ ตอบกลับว่า “สองคนนั้นไม่รู้เรื่อง พวกเขามีหน้าที่สับเปลี่ยนเสบียงอาหารและควบคุมคนดูแลคลังเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องลูบคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “เช่นนี้…แสดงว่าจะต้องไปถามคนที่หลบหนีไปแล้วอย่างนั้นหรือ อู๋สยา”
หนานกงมั่วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “เสด็จลุง หม่อมฉันได้ส่งคนไปจับแล้ว คาดว่าภายในสองวันนี้คงจะได้ข่าวเพคะ”
“ดีมาก จับเป็นให้ได้ ข้าจะดูว่ามันผู้นั้นเก่งกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าทรยศข้า!” เยี่ยนอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น สายลับที่ถูกอดีตฮ่องเต้ส่งมาแฝงตัวในยังจวนเยี่ยนอ๋องนั้นคือหัวหน้าขุนนางฝ่ายซ้ายของจวนเยี่ยนอ๋อง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ติดตามเยี่ยนอ๋องมาบุกเบิกโยวโจว คนผู้นี้จงรักภักดีมาตลอดยี่สิบกว่าปี ไม่เคยทำผิดพลาดประการใดมาก่อน ข้าราชการพลเรือนที่เยี่ยนอ๋องไว้วางใจที่สุดก็คือหัวหน้าขุนนางฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา นี่ไม่ใช่แค่การทรยศเท่านั้น แต่ถือเป็นการตบหน้าเยี่ยนอ๋องซึ่งๆ หน้าอีกด้วย
เซียวเชียนชื่อเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ จะจัดการกับคนเหล่านี้อย่างไรหรือ”
รอยยิ้มที่เยือกเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเยี่ยนอ๋อง เอ่ยขึ้นเสียงเคร่งขรึม “ประหารทั้งตระกูล เอาศพของนักโทษตัวการหลักไปวางแผ่หลากลางลานสามวันสามคืน ใช้วิธีเชือดไก่ให้ลิงดู! ส่วนคนเฝ้ายามของคลังเสบียงให้สั่งโบยหนึ่งร้อยครั้งแล้วเนรเทศให้พ้นจากแผ่นดิน”
ลงโทษด้วยการโบยหนึ่งร้อยครั้งแล้วเนรเทศให้พ้นจากแผ่นดิน ถึงแม้ว่าโยวโจวจะห่างจากด่านชายแดนไม่ไกลมากนัก แต่หลังจากถูกโบยแล้วยังต้องถูกเนรเทศในเวลาเดียวกัน เกรงว่าคงจะไม่รอด ทันทีที่เยี่ยนอ๋องออกคำสั่ง เมืองโยวโจวก็จะนองเลือดอีกครั้ง
หนานกงมั่วขมวดคิ้วกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง เนี่ยนหย่วนก็ปิดปากพลางกระแอมเบาๆ เมื่อหันไปมองเนี่ยนหย่วนก็เห็นเขาส่ายหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการห้ามปรามนาง หนานกงมั่วชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วแน่นและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
เซียวเชียนชื่อเองก็ผงะด้วยความตกใจเช่นกัน รีบหันไปหาหนานกงมั่วทันควัน นึกไม่ถึงว่าตอนที่คนเหล่านั้นอยู่ในมือของพี่สะใภ้ก็ยังถือว่ามีชีวิตรอด แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นตกอยู่ในมือของเสด็จพ่อ ยิ่งไปกว่านั้น เสด็จพ่อไม่ได้เป็นเหมือนพี่สะใภ้ หากได้เอ่ยออกปากไปแล้วก็จะไม่กลับคำอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าเยี่ยนอ๋องกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาคมกริบ เซียวเชียนชื่อก็สะดุ้งโหยงไปหมด เขารีบประสานมือพร้อมกับเอ่ยว่า “ลูกน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องจึงค่อยพยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็รีบไปจัดการเถิด ส่วนเรื่องในจวนอ๋อง ก็ให้เสด็จแม่ของเจ้าคอยสอดส่องดูแลให้มากขึ้น”
เซียวเชียนชื่อตอบรับนอบน้อม เยี่ยนอ๋องจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไปเถิด”
“ลูกขอทูลลา” เซียวเชียนชื่อค่อยๆ ถอยออกไปอย่างช้าๆ ขณะที่กำลังยืนอยู่ที่นอกประตู เซียวเชียนชื่อก็ได้หวนนึกถึงรอยยิ้มที่ค่อนข้างฝืนของเสด็จพ่อขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อของเขาผิดหวังกับการจัดการปัญหาของเขาเป็นอย่างมาก เขาเองก็อยากจะเป็นวีรบุรุษที่เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญชาญชัยเฉกเช่นเสด็จพ่อเหมือนกัน แต่ทว่า…เรื่องแบบนี้เวลาคิดเหมือนจะง่าย แต่เวลาปฏิบัติจริงกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด คำเอ่ยเพียงประโยคเดียวก็สามารถคร่าชีวิตนับร้อยชีวิตให้หายไปได้ในพริบตา เขาเองก็รู้ดีว่าคนเหล่านี้สมควรได้รับโทษ และรู้ดีว่าหากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการสูญเสียทหารและม้าที่ด่านชายแดนนับหมื่นชีวิต และจวนเยี่ยนอ๋องก็จะล่มสลายในที่สุด แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ คนบริสุทธิ์กี่สิบชีวิตที่ต้องถูกตัดหัวอย่างไม่เป็นธรรม อดเป็นกังวลกับทัศนคติและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนนอกที่มีต่อเรื่องนี้ไม่ได้เลย