หนานกงมั่วยกมือขึ้นมาป้องปากพลางหัวเราะเสียงเบา จากนั้นจึงเอ่ยถาม “เสด็จลุงเรียกอู๋สยามาที่นี่ ใช่เรื่องเสบียงอาหารหรือไม่เพคะ”
เยี่ยนอ๋องจึงเอ่ยถามกลับ “ไหนลองเอ่ยมาซิ ว่าเจ้าวางแผนจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร”
หนานกงมั่วจึงเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันได้เข้าไปปรึกษาหารือกับผู้ว่าการโยวโจวแล้วว่าจะขอยืมเสบียงอาหารของแม่ทัพเซี่ยห้าหมื่นสือมาใช้ฉุกเฉินก่อน จากนั้นก็จะใช้ม้าเร็วไปยืมเสบียงอาหารกับฉีอ๋องและชิ่งอ๋อง สุดท้าย หากว่าทางฝั่งจวนเยี่ยนอ๋องมีเงินพร้อม คาดว่าหนิงอ๋องคงไม่ปฏิเสธที่จะซื้อเสบียงอาหารส่งมาให้พวกเราหรอกเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยนอ๋องและเนี่ยนหย่วนต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมาทันที เนี่ยนหย่วนก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง อาตมาเคยบอกท่านแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่สามารถทำอันใดซิงเฉิงจวิ้นจู่ได้ คราวนี้ท่านเชื่ออาตมาแล้วหรือยัง”
เยี่ยนอ๋องเองก็หัวเราะด้วยความชอบใจ “ไม่เลว ไม่เลว หากข้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็คงจะไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องไปกว่าเจ้า แต่ทว่า เรื่องของแม่ทัพเซี่ยลี่เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป ข้าได้ให้คนไปส่งข่าวกับน้องหกและน้องสิบสี่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว อีกไม่เกินสามวันเสบียงอาหารจะถูกส่งมาถึงอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่เจ้าจะไปขอให้หนิงอ๋องซื้อเสบียงอาหารให้นั้น ข้าไม่มีเงิน”
หนานกงมั่วจึงเอ่ย “เสบียงอาหารของทางฝั่งฉีอ๋องและชิ่งอ๋อง เกรงว่าคงจะไม่พอกระมัง”
เยี่ยนอ๋องพยักหน้าเบาๆ “ย่อมไม่พออยู่แล้ว อย่างมากก็คงจะอยู่ได้เพียงสองเดือน”
“ดังนั้น เราจะทำเช่นไรต่อ” หนานกงมั่วเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
เยี่ยนอ๋องจึงเอ่ยตอบ “ดังนั้น ข้าจะตัดภาษีรายได้ฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ไปซื้อเสบียงอาหารแทน”
หนานกงมั่วชะงักไปชั่วขณะ รีบถามขึ้นว่า “เสด็จลุงจะตัดภาษีฤดูใบไม้ร่วงของราชสำนักหรือเพคะ”
เยี่ยนอ๋องกระแอมเบาๆ ไม่ได้ตอบอันใด แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจดี
หนานกงมั่วลูบจมูกเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะทอดถอนใจหรือหัวเราะดี ที่ผ่านมารายได้ที่ได้มาจากการเก็บภาษีในเขตพื้นที่จะถูกนำมาแบ่งให้เจ้าเมือง ข้าราชบริพารและขุนนางในราชสำนัก เพราะอย่างไรเสียสำนักผู้ว่าการและกองกำลังทหารของแต่ละเมืองนั้นไม่สามารถรอการสนับสนุนจากราชสำนักอย่างเดียว หากภาษีรายได้ถูกนำไปมอบให้กับเจ้าเมืองและข้าราชบริพารจนหมด แล้วทางฝั่งขุนนางในราชสำนักจะหาเงินจากไหนมาสนับสนุนข้าราชการจำนวนมากนี้กันเล่า ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองและข้าราชบริพารจะเป็นฝ่ายเดินงานและมีผลงานมากกว่า แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ จู่ๆ เยี่ยนอ๋องจะมาตัดภาษีรายได้ฤดูใบไม้ร่วงทั้งหมดในคราวเดียวเช่นนี้ หากสามารถนำกลับมาคืนได้ก็แล้วไป แต่หากไม่สามารถนำกลับมาได้ คนที่จะต้องร้องห่มร้องไห้ก็คงหนีไม่พ้นผู้ว่าการโยวโจวเป็นแน่แท้
เมื่อเห็นเยี่ยนอ๋องที่กำลังเล่นหมากล้อมอย่างใจเย็น หนานกงมั่วก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลใจขึ้นมา
เมื่อเห็นสีหน้าของหนานกงมั่วแล้ว เยี่ยนอ๋องก็เทเม็ดหมากล้อมกลับเข้าไปในกล่อง จากนั้นก็กระแอมเบาๆ พลางเอ่ย “เด็กคนนี้นี่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว คนแซ่ฉีผู้นั้นจะกล้ามาถามข้าหรืออย่างไรกัน ถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่ย่อมต้องรู้อย่างแน่นอนว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนี้ ตอนนี้กลัวก็แต่ข้าจะไปหาเขา ไม่มีทางที่เขาจะเข้ามาหาข้าเองอย่างแน่นอน”
ช่างเถิด หนานกงมั่วพยักหน้ารับรู้ เยี่ยนอ๋องกล้าที่จะสกัดกั้นเงินภาษีฤดูใบไม้ผลิของสำนักผู้ว่าการโยวโจวซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าเซียวเชียนเยี่ยจะพลิกหน้าบ้างหรืออย่างไรกัน ไม่แน่บางที เขาอาจกำลังหยั่งเชิงราชสำนักของจินหลิงก็เป็นได้
เยี่ยนอ๋องมองดูสตรีผู้ซึ่งสุภาพงดงามกระทั่งอากัปกิริยาที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนลมหายใจออกมาเบาๆ หากเชียนชื่อฉลาดปราดเปรื่องและกล้าหาญได้สักครึ่งของหนานกงมั่ว เขาก็คงจะไม่ต้องเป็นกังวลใจถึงเพียงนี้ เยี่ยนอ๋องโบกมือเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรที่จะฝืนร่างกายจนเกินไป ธุระที่เหลือก็ให้เชียนชื่อจัดการต่อก็แล้วกัน”
ไม่รู้ว่าหลังการต่อสู้ เซียวเชียนชื่อที่อายุยังน้อยคนนี้จะถูกเหล่าบรรดาขุนนางเก่าแก่ของโยวโจวถลกหนังหรือไม่ ในใจนางรู้สึกว่าควรจะต้องเชื่อมั่นในตัวของเซียวเชียนชื่อ แต่เมื่อนึกถึงการแสดงออกของเซียวเชียนชื่อที่ลานกว้างของคลังเสบียงในวันนี้ หนานกงมั่วก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
พูดคุยสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนอ๋องก็ลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังห้องพระที่เรือนส่วนหน้า ในเมื่อบอกว่าจะมาถือศีลกินเจภาวนาจิต ไม่ว่าเยี่ยนอ๋องจะศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ อย่างน้อยๆ ก็ควรจะต้องทำให้ได้ แต่ก่อนที่จะกลับไปยังห้องพระ เยี่ยนอ๋องได้สั่งให้หนานกงมั่วพำนักอยู่ที่วัดหลิงเฉวียนสักสองสามวันแล้วค่อยกลับไปที่โยวโจว ได้ยินมาว่าน้ำพุหลังวัดหลิงเฉวียนมีสรรพคุณเป็นอย่างมาก หนานกงมั่วพึ่งจะตั้งครรภ์ได้สามเดือน วันนี้นางเองก็ยุ่งมาทั้งวัน รีบกลับไปทั้งอย่างนี้ก็คงจะไม่เหมาะเท่าใดนัก เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของโยวโจวที่แสนจะยุ่งเหยิงและระเนระนาดแล้ว ท้ายที่สุดหนานกงมั่วก็พยักหน้าตอบตกลง
หลังจากที่ส่งเยี่ยนอ๋องเรียบร้อยแล้ว หนานกงมั่วจึงค่อยหันกลับไปมองเนี่ยนหย่วน เนี่ยนหย่วนก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ไม่ได้เจอกันนาน จวิ้นจู่ดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนเสียด้วยซ้ำ อาตมายังไม่ได้แสดงความยินดีกับจวิ้นจู่และคุณชายเว่ยเลย”
หนานกงมั่วยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ไต้ซือชมเกินไปแล้ว ขอบคุณไต้ซือเป็นอย่างมาก”
เนี่ยนหย่วนทอดสายตามองไปยังนอกพลับพลา แสงแดดยามอัสดงสีอ่อนสาดส่องกระทบลงบนหลังคาของอารามราวกับว่าถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองก็ไม่ปาน ด้านหน้าภายในอุโบสถต้าสยงก็เริ่มมีเสียงสวดคัมภีร์ของพระภิกษุดังขึ้น เนี่ยนหย่วนค่อยๆ ท่องบทสวดพึมพำด้วยเสียงอันแผ่วเบา
หนานกงมั่วจ้องมองไปยังเนี่ยนหย่วนด้วยสีหน้าแปลกใจ “ไต้ซือไม่ต้องทำวัดเย็นหรือ”
เนี่ยนหย่วนยิ้มบาง เอ่ย “ในใจมีพระพุทธ จะภาวนาจิตเวลาใดก็ย่อมได้”
หนานกงมั่วยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ความหมายของไต้ซือคือ หากจิตใจไม่มีพระพุทธ ท่องคัมภีร์ภาวนาจิตทุกวันก็ไร้ซึ่งประโยชน์”
“เป็นเช่นนั้น”
“เกรงว่าเจ้าอาวาสของวัดคงจะไม่เห็นด้วยกับทัศนคติของท่าน” หากเอ่ยเช่นนี้ พระภิกษุทั้งหลายคงจะไม่ต้องนั่งท่องคัมภีร์ภาวนาจิตทุกเช้าค่ำแล้วมีพระพุทธอยู่ในจิตใจก็เพียงพอแล้วกระนั้นหรือ
เนี่ยนหย่วนยิ้มบาง ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
ผ่านไปครู่ใหญ่ เนี่ยนหย่วนก็ได้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ขึ้นมา “จวิ้นจู่คิดเห็นเช่นไรกับสถานการณ์ของจวนเยี่ยนอ๋อง”
หนานกงมั่วอึ้งไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าเนี่ยนหย่วนจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกว่าเนี่ยนหย่วนจะดูไม่เหมือนกับคนที่ปลีกวิเวกไม่ยุ่งกับคนทางโลก แต่เมื่อเขาเอ่ยถึงสถานการณ์ของจวนเยี่ยนอ๋องขึ้นมา จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ชินอย่างบอกไม่ถูก เงียบอยู่พักหนึ่ง หนานกงมั่วก็ถามกลับไปว่า “ไต้ซือคิดเห็นเช่นไร”
เนี่ยนหย่วนยิ้มขึ้นเล็กน้อย นิ้วชี้ที่เรียวยาวเลื่อนเม็ดหมากล้อมบนกระดาน พลางเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ใต้หล้ากำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จวนเยี่ยนอ๋อง…จะโชคดีรอดพ้นจากวิบากกรรมนี้ได้อย่างไรกัน”
สีหน้าของหนานกงมั่วเปลี่ยนไปในทันที หลุบตาต่ำพลางเอ่ย “ไต้ซือกล่าวเกินไปแล้ว”
เนี่ยนหย่วนเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
เรื่องที่เนี่ยนหย่วนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเยี่ยนอ๋องในวัดหลิงเฉวียนเช่นนี้ บางทีอาจจะมิใช่เรื่องบังเอิญ การที่เนี่ยนหย่วนเดินทางมาจำวัดที่วัดหลิงเฉวียนแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองมิใช่แค่คนรู้จักเก่าเมื่อนานมาแล้วอย่างที่เยี่ยนอ๋องได้กล่าวไว้อย่างแน่นอน และเวลานี้จู่ๆ เนี่ยนหย่วนก็ได้เอ่ยถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองขึ้นมา หนานกงมั่วจึงรู้สึกแน่ใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ทว่า ในเมื่อเยี่ยนอ๋องไม่ยอมเอ่ยกับนางตรงๆ จึงทำได้เพียงเสแสร้งว่าไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนเนี่ยนหย่วน พุทธสาวกผู้มากล้นความสามารถที่อายตนะทั้งหก[1]ไม่ขาวสะอาด นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจกับเรื่องนี้อีกต่อไป
การที่หนานกงมั่วมาพำนักอยู่ที่วัดหลิงเฉวียนระยะเวลาหนึ่งนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี ระหว่างนี้คุณชายเสียนเกอก็คอยแวะเวียนเอายาที่ช่วยผ่อนคลายมาส่งให้กับหนานกงมั่ว ทุกอย่างล้วนหลีกเลี่ยงสายตาของเยี่ยนอ๋องทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าคุณชายเสียนเกอรังเกียจเยี่ยนอ๋องและความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เป็นอย่างมาก
การมาพำนักอยู่ในวัดหลิงเฉวียนนั้นยากที่จะหาความเงียบสงบได้ ในทุกๆ วันนอกจากจะต้องฟังไต้ซือที่อยู่ในวัดบรรยายธรรมแล้ว ก็ต้องมาดูเยี่ยนอ๋องและเนี่ยนหย่วนเล่นหมากล้อมอีก ทั้งยังต้องมาฟังทั้งสองสนทนากันเรื่อยเปื่อย เนี่ยนหย่วนสมควรจะได้รับตำแหน่งผู้ปราดเปรื่องรูรอบสารทิศเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาถึงพุทธคัมภีร์ เหตุการณ์บ้านเมืองหรือขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี ก็สามารถเอ่ยได้อย่างลื่นไหลไม่ขาดสายและมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก หลายๆ ครั้งที่หนานกงมั่วถูกชมว่าเป็นสตรีที่แปลกและน่าทึ่ง แต่นางก็รู้จักประมาณตนดี หากจะให้นางมีความรู้ความสามารถรอบด้านเฉกเช่นเนี่ยนหย่วน เกรงว่าถึงแม้จะใช้เวลาร่ำเรียนอีกสิบปีก็คงจะไม่พอ เมื่อเห็นไต้ซือเนี่ยนหย่วนไม่เคยไม่ตั้งใจเรียนหรือไม่เอาไหนเหมือนเช่นนางมาก่อน จู่ๆ คุณหนูใหญ่หนานกงเช่นนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาและเกลียดชังผู้ที่เรียนเก่งซ้ำยังมากความสามารถเช่นเขาขึ้นมา
นั่งฟังทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ หนานกงมั่วก็พอจะเข้าใจแล้วว่าไต้ซือเนี่ยนหย่วนไม่ได้สนใจกับการเป็นผู้แตกฉานในพุทธศาสนาแต่อย่างใด เขาวางแผนที่จะก้าวข้ามพรมแดนเพื่อที่จะมาเป็นที่ปรึกษาระดับสูงต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะลดระดับตนเองมาเป็นแค่ที่ปรึกษาของเจ้าเมืองหรือขุนนางระดับสูงในราชสำนัก แต่เป็น… ตอนนี้ ทั้งสองก็คงกำลังอยู่ในขั้นตอนการหยั่งเชิงและทำความเข้าใจซึ่งกันและกันอยู่กระมัง
[1]อายตนะทั้งหก เครื่องรู้และสิ่งที่รู้ เช่น ตาเป็นเครื่องรู้ รูปเป็นสิ่งที่รู้ ในพระพุทธศาสนาหมายถึง จักษุ (ตา) โสต (หู) ฆาน (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กาย ใจ เรียกว่า อายตนะภายใน