ดูอันใดกัน
โจวเสวียนเกือบจะหัวเราะออกมา
หญิงสาวนี้ช่างพูดจาเหลวไหลเก่งเสียจริง
“อย่าเหลวไหล” เขาทำหน้าบึ้งตึง “ราษฎรเกรงกลัวท่าน โกรธแต่ไม่กล้าพูด ข้ามากำจัดภัยให้ราษฎร”
เฉินตันจูวางตำราและพู่กันลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืน
“คุณชายโจว ข้าเฉินตันจูกำลังรักษาโรคช่วยชีวิตคน” นางพูดด้วยความขุ่นเคืองและคับข้องใจ “คำพูดเหล่านั้นเป็นแค่ข่าวเท็จ ก่อนหน้านี้บอกว่าข้าขวางทางปล้นทรัพย์ คุณชายโจวไปถามได้ คนที่ถูกข้ารั้งเอาไว้เหล่านั้น พวกเขามีโรคร้ายแรงหรือไม่ ถูกข้ารักษาหายหรือไม่”
หญิงสาวคนนี้โกรธแล้วหรือ…สีหน้าของโจวเสวียนไม่เปลี่ยน “ข้าไม่ถามเรื่องอดีต ข้าถามเรื่องในเวลานี้ ข้าจะไปพบคนผู้น่าสงสารคนนั้น ถามให้กระจ่าง”
เฉินตันจูหันหลังเดินออกไปด้านอก เรียกขานอาเถียนและจู๋หลินเสียงดัง
จู๋หลินพลิกตัวกระโดดลงมาจากหลังคา อาเถียนที่ถูกกำชับให้หลบออกไปก็กระโดดออกมาจากห้องด้านข้างทันที เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อที่อยู่อีกทางยืนอยู่ข้างประตู…อาเถียนบอกไว้ว่าอย่างนี้เรียกว่าล้อมรอบสี่ด้าน
โจวเสวียนยืนอยู่บนทางเดินคนเดียว เขามองดูในลานคนเหล่านี้ ราวกับหมาป่าจ้องมองเป็ดไก่ทั้งเล้า
เฉินตันจูไม่ได้สั่งการให้เกิดการปะทะหมู่ หากแต่ใช้ท่าไม้ตายของนาง
“เตรียมรถ!” นางตะโกน “ข้าจะไปฟ้องที่ว่าการ!”
โจวเสวียนหัวเราะร่าอยู่ด้านหลัง “นี่เรียกว่าคนร้ายฟ้องก่อน?”
เฉินตันจูหันหน้ากลับมา “คุณชายโจว พวกเราสองคนผู้ใดเป็นคนร้ายยังไม่แน่” พูดพลางเดินออกไป
ไม่ปะทะย่อมดีที่สุด จู๋หลินรีบไปเคลื่อนรถ อาเถียนวิ่งตามไป
ประตูเมืองหนาแน่นเวลานี้ สองขบวนที่รอคอยการเข้าเมืองไม่ขาดสายตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทันใดนั้นมีรถม้าวิ่งอย่างรวดเร็วมาจากระยะไกล ไม่แม้แต่จะลดความเร็วเมื่อเข้าใกล้ประตูเมือง ทหารยามที่ตรวจคนในขบวนอย่างเข้มงวดวิ่งขึ้นมาทันที...
“หลบไป หลบไป!” พวกเขาตะโกนเสียงดัง ใช้อาวุธดันคนในขบวนหลบไปสองข้าง เปิดทางออกมาอย่างรวดเร็ว
รถม้าเคลื่อนผ่านไปในเมืองอย่างรวดเร็วดุจสายลม
ราษฎรที่เดินอยู่ริมทางไม่แปลกใจกับเรื่องนี้อีกต่อไป พวกเขาหลบไปด้วยตนเองตอนที่ทหารยามตะโกนให้หลีกทาง อีกทั้งยังเตือนคนที่อยู่หน้าหลังซ้ายขวา “เฉินตันจูมาแล้ว เฉินตันจูมาแล้ว”
สำหรับการเดินทางผ่านประตูเมืองของเฉินตันจูเช่นนี้ พวกเขาหมดซึ่งความโกรธ อย่างมากก็แค่ส่ายหัว
รถม้าของเฉินตันจูเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอฝุ่นควันลอยลงมา เหล่าราษฎรรีบยืนกลับตำแหน่งเดิมเพื่อจะได้เข้าเมืองอย่างรวดเร็ว แต่ครานี้ถูกทหารยามกีดขวางเอาไว้
“หลบไป หลบไป” พวกเขาตะโกนขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งจากด้านหลังมาด้านหน้า ผลักขบวนที่กำลังจะรวมตัวออกไปอีกครั้ง
เกิดอันใดขึ้น เฉินตันจูเพิ่งเข้าเมืองแล้วออกมาอีก หรือว่ามีเฉินตันจูอีกคน ทุกคนต่างมองไปด้านหลัง เสียงเกือกม้าดังขึ้น คนสองคนขี่ม้าวิ่งมาท่ามกลางฝุ่น…
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าลักษณะรูปงาม เขาสวมชุดสีดำ พกดาบไว้ข้างกาย ก่อนถึงประตูเมืองไม่ผ่อนความเร็วลงหากเร่งความเร็วยิ่งขึ้น ทหารยามที่วิ่งช้าเกือบถูกเตะคว่ำ
“ผู้ใดอีก” ราษฎรตกใจ “เหิมเกริมเสียยิ่งกว่าเฉินตันจูอีก!
คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก แต่มีคนจำผู้ที่เดินทางมาได้ “ราวกับเป็นบุตรชายของโจวชิง นามว่าโจวเสวียน”
โจวเสวียนเดินทางกลับเมืองอย่างลับๆ เมื่อเดินทางมาถึงก็พักอยู่ในพระราชวัง นอกจากติดตามองค์หญิงจินเหยาออกไปหนึ่งครั้ง เวลาอื่นล้วนไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
ถึงแม้ทุกคนไม่รู้จักเขา แต่ทุกคนรู้จักชื่อนี้ อีกทั้งข่าวการสถาปนาท่านโหวของโจวเสวียนถูกปล่อยออกมา ทันใดนั้นเกิดการถกเถียงมากมาย
“ที่แท้ก็เป็นโจวเสวียน”
“ดูไม่เหมือนบิดาของเขา”
โจวชิงเป็นขุนนางพลเรือน อ่อนโยน สง่างาม แต่คุณชายโจวนี้ดูหัวแข็งดื้อรั้น ได้ยินว่าการกระทำของเขาส่วนมากล้วนไม่สนใจพิธีรีตอง อาทิ เขาไม่เดินส่งขบวนฝังของโจวชิง หรืออาทิเผาตำรา หรืออาทิตีเหล่าองค์ชายในพระราชวัง…
“ต่อจากนี้นอกจากเฉินตันจูแล้ว ยังมีอีกคนที่เข้าเมืองโดยไม่ต้องต่อแถวไม่ต้องตรวจสอบ อีกทั้งยังต้องเปิดทางหรือ”
“การเข้าเมืองประตูเมืองเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่ารังแกหญิงข่มเหงชายเหมือนเฉินตันจูก็พอ”
“เอ๊ะ พูดถึงรังแกหญิงข่มเหงชาย พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ เฉินตันจูลักพาตัวชายหนุ่มในเมือง”
“…ข้าได้ยินแล้ว เวลานั้นคุณชายผู้นั้นกำลังซักผ้าอยู่ใต้สะพาน ถูกเฉินตันจูที่เดินทางผ่านไปพบเข้า ตกตะลึงในความงาม จึงให้องครักษ์พาตัวกลับไปทันที ตอนนั้นมีป้าคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์กับตา ตกใจจนเป็นลมไป”
ประตูเมืองกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้คนพลางต่อแถวพลางถกเถียงเรื่องใหม่นี้อย่างออกรสออกชาติ
…
จวนจวิ้นโส่วในเมือง ใต้เท้าโอรสสวรรค์
หลี่จวิ้นโส่วผู้เที่ยงธรรมกำลังศึกษาหมากรุกอย่างสุขสบายตกใจกับสิ่งที่ขุนนางใต้บังคับบัญชามารายงาน
“เฉินตันจูมาฟ้องคดีอีกแล้ว?” เขาถลึงตาถาม “ครั้งนี้ทะเลาะกับคุณหนูท่านใดอีก”
ขุนนางใต้บังคับบัญชายิ้มอย่างขมขื่น “ครั้งนี้ไม่ใช่คุณหนู แต่เป็นคุณชาย”
คุณชายหรือ ระยะนี้ไม่พบเห็นมานานแล้ว ตอนแรกเป็นคุณชายตระกูลหยางเท่านั้น ราวกับเวลานี้ยังถูกขังไว้ในคุก หลี่จวิ้นโส่วนึกขึ้นได้ เมื่อเทียบกับเหล่าคุณหนู คุณชายยังดีขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าเหล่าคุณหนูตีไม่ได้ด่าไม่ได้ ยิ่งไม่อาจขังเข้าไปในคุกได้ ทำได้เพียงสิ้นเปลืองน้ำลายตำหนิต่อว่า
“ถูกล่วงเกินอีกแล้วหรือ” หลี่จวิ้นโส่วยกแก้วชาขึ้น พูดอย่างเรียบเฉย “ขังเข้าไปในคุกโดยตรง ไม่ต้องสืบ”
ขุนนางใต้บังคับบัญชามองเขา “แต่ ใต้เท้า คุณชายท่านนั้นคือโจวเสวียน”
หลี่จวิ้นโส่วมือสั่น ชาหกใส่ตัว
…
ด้านหลังคุณหนูและคุณชายยืนตรงข้ามกัน
โจวเสวียนหัวเราะเยาะ “ท่านจะฟ้องข้าเรื่องใด”
“ย่อมต้องเป็นการกีดขวางข้าช่วยชีวิตคน” เฉินตันจูพูดอย่างเรียบเฉย
“ช่วยชีวิตคนหรือไม่ ท่านพูดไม่นับ” โจวเสวียนหัวเราะ “นำตัวคนป่วยท่านนั้นมา ให้เขาพูด”
ผู้ใดอย่าคิดรบกวนจางเหยา! เฉินตันจูยิ้มเย็น “ทำให้คนป่วยของข้าตกใจ หากรักษาไม่หาย ท่านย่อมเป็นฆาตกร”
ทั้งสองคนถกเถียงกัน ด้านนอกมีขุนนางเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง
“คุณชายโจว คุณหนูตันจู” เขาพูด “ใต้เท้าหลี่วิงเวียนขึ้นมากะทันหัน ไม่อาจตัดสินให้ท่านทั้งสองได้ หรือพวกท่านมาวันอื่น?”
โจวเสวียนพูดเสียงเย็น “ได้ยินว่าหลี่จวิ้นโส่วสนิทกับคุณหนูตันจู เมื่อได้ยินว่าข้ามาฟ้องจึงป่วยขึ้นมาทันที”
เฉินตันจูไม่มีสีหน้าดีให้แก่ขุนนาง “ใต้เท้าหลี่ช่างรังแกคนอ่อนแอเกรงกลัวคนแข็งแกร่งเสียจริง” นางโบกมือ “เอาเถิด ข้าไม่ทำให้เขาลำบากใจ ข้าไปหาฝ่าบาท”
พูดพลันหันหลังเดินจากไป
โจวเสวียนเดินตามพูดเสียดสี “ต้องให้ข้าเชิญองค์ชายสามกับองค์หญิงจินเหยามาช่วยเหลือท่านด้วยหรือไม่”
ทั้งสองคนออกจากจวนจวิ้นโส่วไป หลี่จวิ้นโส่วโล่งใจ แต่ ฮ่องเต้ในพระราชวังปวดหัวขึ้นมา
…
“เหตุใดจึงมีเรื่องกันอีกแล้ว” เขาถาม “เรื่องจวนองค์ชายสามพูดด้วยเหตุผล โจวเสวียนยังคงไม่ฟังหรือ”
ขันทีจิ้นจงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ “ไม่ใช่เรื่องจวนพ่ะย่ะค่ะ ราวกับเป็นเพราะคุณหนูตันจูลักพาตัวชายหนุ่มกลางทาง คุณชายโจวต้องการกำจัดภัยให้ราษฎร”
ฮ่องเต้ยื่นมือปิดหน้า “เจ้าตัวก่อเรื่องทั้งสอง…”
ราวกับดูออกว่าฮ่องเต้ไม่อยากสนใจคนทั้งสองนี้ ขันทีจิ้นจงเตือน “ฝ่าบาท พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่นอกตำหนัก หากให้องค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยารู้เข้า เกรงว่าจะถูกเกี่ยวพันเข้ามา”
หากเป็นเช่นนั้นบุตรชายบุตรสาวของเขาคงต้องลำบาก ฮ่องเต้ทำได้เพียงตั้งสติ ในฐานะบิดาคนหนึ่ง เขาต้องบังแดดบังฝนให้บุตรหลาน…
“ให้พวกเขาเข้ามา”
…
เฉินตันจูเดิมทีต้องรอเรียก แต่เมื่อเห็นโจวเสวียนพาองครักษ์ชิงเฟิงเดินเข้าไป นางจึงให้จู๋หลินนำทาง บุกรุกเข้าไปตามกัน
นอกประตูพระราชวังเหลือเพียงอาเถียนรออยู่คนเดียว นางมองประตูพระราชวังตาปริบ เป็นห่วงคุณหนู ไม่นานนักนางเห็นจู๋หลินเดินออกมา จึงยิ่งร้อนใจ
“เจ้าออกมาได้อย่างไร” นางถาม “หากคุณหนูถูกตีอยู่ด้านใน คงไม่มีคนช่วย”
จู๋หลินระอา หากคุณหนูตันจูถูกตีในพระราชวัง ย่อมต้องเป็นพระราชโองการของฮ่องเต้ ผู้ใดปกป้องได้
“เจ้าอย่ากังวล” เขาพูด “ฝ่าบาทไม่ให้พวกเขาตีกันขึ้นมา อีกทั้งไม่ตีพวกเขา”
อย่างมากแค่ตำหนิ ระบายความโกรธของฮ่องเต้ จากนั้นไล่พวกเขาออกมา
เป็นไปดั่งที่พูด ไม่นานนัก อาเถียนเห็นเฉินตันจูเดินออกมา
“คุณหนู” นางเดินเข้าไป “ถูกตีหรือไม่เจ้าคะ คุกเข่าจนเจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
เฉินตันจูโกรธมาก “ไม่ได้ตีข้า อีกทั้งข้าไม่ได้คุกเข่า แต่ฝ่าบาทปกป้องโจวเสวียน ช่างรังแกคนเสียจริง”
อาเถียนหลั่งน้ำตาออกมาทันที “รังแกคุณหนูเสียจริง”
พอได้แล้วกระมัง ฝ่าบาทไม่ได้ลงโทษท่านเพื่อโจวเสวียนก็ถือเป็นการปกป้องท่านแล้ว จู๋หลินมองฟ้า
“ไปเถิด ไปเถิด” เฉินตันจูพูด พลันหันกลับไปมอง “เหนื่อยเสียจริง”
หน้าประตูวัง รถม้าเคลื่อนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว หน้าตำหนักในพระราชวัง โจวเสวียนยืนไขว้มือไว้ด้านหลัง
“คุณหนูตันจูไม่เกรงใจเสียจริง” ชิงเฟิงพูดอยู่ด้านหลัง “วิ่งมาฟ้องท่านต่อหน้าฮ่องเต้ เรื่องเล็กเท่านี้เอง”
สายตาของโจวเสวียนมองข้ามตำหนักซ้อนกันหลายชั้น บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มเหยียดหยาม “ใช่ เรื่องเท่านี้เอง”
นางถามด้วยความโกรธเคือง แม้แต่ฝ่าบาทยอมรับนางได้ เหตุใดโจวเสวียนจึงยอมรับนางไม่ได้
แต่ตอนที่นางมองมายังเขา ภายในดวงตามีแค่ความรำคาญใจ อีกทั้งยังอาศัยตอนยกแขนเสื้อแสร้งร้องไห้ หาววอดขึ้นมา
ดังนั้นคุณหนูท่านนี้กำลังล้อเล่นกับเขาหรือ