อินซอบแทบจะแพนิกแล้ว เขาตัดสินใจไม่ได้ด้วยซ้ำว่าควรจะทำอะไร และสถานการณ์ในตอนจะเป็นอย่างไร
แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นกรรมการผู้จัดการคิมนั่นเอง
[พอดีมีคนโทรมาบอกฉันน่ะ ตอนนี้ฉันกำลังไป อีอูยอนอยู่ที่ไหน หมอนั่นทำอะไรอยู่ แล้วทำไมคังยองโมถึงมาหาล่ะ สองคนนั้นมีเรื่องอะไรกันเหรอ]
ทันทีที่โทรศัพท์ถูกเชื่อมต่อ กรรมการผู้จัดการคิมก็พูดโดยไม่หยุดหายใจ
“ตอนนี้…”
อินซอบรีบตั้งสติ และมองตัวเลขบนหน้าจอแสดงตัวเลขของลิฟต์
“กำลังลงไปครับ”
[ลงไปไหน เขาไม่ได้อยู่กับนายเหรอ]
อินซอบกดปุ่มลิฟต์ที่อยู่อีกฝั่ง ก่อนจะวิ่งลงบันไดฉุกเฉินไป เพราะทนรอไม่ไหว
“อินซอบ ขอร้องล่ะ ตอนนี้คนที่จะห้ามหมอนั่นได้มีแค่นายคนเดียว ไม่สิ ต่อไปก็จะมีแค่นายเหมือนกัน”
“ผมจะโทรศัพท์กลับไปใหม่นะครับ”
อินซอบวางสาย และมองหน้าจอแสดงตัวเลขของลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่ามันหยุดอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นสามก็เริ่มวิ่งลงบันไดไปอีกครั้ง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นที่หัวใจทำให้อินซอบต้องจับราวบันไดเอาไว้และปรับลมหายใจให้เข้าที่ เขาหยิบยาที่พกมาเผื่อไว้ออกมาจากกระเป๋าและกลืนลงไป
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย อินซอบก็ลงบันไดไปอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าห้ามฝืนตัวเอง แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอีอูยอนแล้ว ร่างกายของเขาจะขยับไปก่อนเสมอ
เมื่อมาถึงชั้นใต้ดินชั้นสาม ขณะที่กำลังจะเปิดประตูฉุกเฉิน เขาก็ชะงักไป มือไม้สั่นเทา
เขานึกถึงภาพที่เคยเห็นในซอยวันนั้น
สายตาที่แสนจะเย็นชาของชายหนุ่ม และไม่สามารถหาความเป็นมนุษย์ได้
เขาไม่อยากสบตาคู่นั้นอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าถ้าเปิดประตูไปแล้วจะเจอกับภาพแบบไหน และอีอูยอนกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่เหนือกว่าการเลือกที่ผิดพลาดคือเขามีหน้าที่ที่จะต้องฝ่าฟันกับทุกอย่าง
อินซอบพ่นลมหายใจยาวก่อนจะจับลูกบิดประตูและหมุน
“แม่งเอ๊ย ไอ้บ้านี่มันจริงๆ เลย!”
อินซอบถูกผลักด้วยแรงของผู้ชายที่พ่นคำด่าอย่างรุนแรงในขณะที่เปิดประตู และล้มลงไปทั้งๆ แบบนั้น
“มองอะไร โธ่เว้ย ไม่หลบสายตาไปล่ะ!”
พอคังยองโมเงื้อมือขึ้นขู่อินซอบ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงทำเพียงแค่สบถและเดินลงบันไดไป อินซอบมองด้านหลังของคังยองโมด้วยใบหน้ามึนงง และความคิดที่โผล่เข้ามาในหัวก็ทำให้เขารีบลุกขึ้น
ทำไมถึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นนะ
อินซอบใช้มือที่สั่นเทาเปิดประตู
“ผมกำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลยครับ”
อีอูยอนเอาโทรศัพท์ที่แนบอยู่กับหูลง อินซอบวิ่งไปจับแขนของอีกฝ่ายไว้
“บะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ทำไมผมต้องบาดเจ็บด้วยล่ะครับ”
“ก็เมื่อกี้คุณคังยองโม…”
วินาทีที่เห็นว่าคังยองโมเดินออกมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อินซอบถึงได้รู้ว่าตัวเองโง่ขนาดไหน เขาไม่คิดว่าอีอูยอนอาจจะบาดเจ็บ กลับกันเขาคิดว่าคังยองโมอาจจะเป็นอันตรายก็ได้
“ผมบอกแล้วไงครับว่าจะคุยกันแป๊บเดียว”
“…”
“อีกไม่นานผมจะต้องเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์แล้วนี่ครับ ก็คุณอินซอบสั่งให้ผมได้รางวัลนี่นา”
แม้จะเป็นคำพูดที่พูดเหมือนล้อเล่น แต่ก็แสดงความจริงใจออกมาด้วย พอเห็นอินซอบหน้าซีดไม่พูดอะไร อีอูยอนก็เดาะลิ้นเหมือนไม่พอใจ
“ตกใจมากเหรอครับ บาดเจ็บ…”
อีอูยอนไม่สามารถพูดต่อได้ อินซอบทรุดลงไปนั่งกับพื้นทั้งอย่างนั้น
“คุณอินซอบ!”
อินซอบร้องไห้โฮ น้ำตาพรั่งพรูออกมาและหยดลงบนพื้นจนเปียก ร่างกายของอินซอบสั่นเทา ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นความโล่งใจหรือความหวาดกลัวถาโถมเข้าเหมือนน้ำที่กำลังขึ้น
“ร้องไห้ทำไมครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่ครับ ผมไม่เป็นระ…”
แม้จะตอบไปอย่างนั้น แต่เขาก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุดและไม่สามารถพูดต่อได้ อินซอบสะอื้นอยู่สักพักและมุดหน้าลงไป
“ขอโทษ…ครับ ผมหยุดร้องไห้ไม่ดะ…”
อีอูยอนรีบอุ้มอินซอบขึ้นมา พออินซอบดิ้น อีอูยอนก็กระชับแขนที่กอดอีกฝ่ายไว้
“อยู่เฉยๆ ครับ”
“ผะ ผมเดินได้ครับ ผมเป็นแบบนั้นเพราะตกใจนิดหน่อย”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ร่างกายของอินซอบก็ไม่หยุดสั่น อีอูยอนหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าแล้วกด รถที่คลุมไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำมีไฟติดขึ้นมา รถคันนั้นคือรถโรลส์-รอยส์รุ่นแฟนทอม EWB ที่หาซื้อได้ยาก และกรรมการผู้จัดการคิมเองก็อวดจนน้ำลายแห้งเมื่อไม่นานมานี้ อีอูยอนเก็บผ้าคลุมแค่ตรงส่วนหลังก่อนจะเปิดประตูด้านหลัง และจับอินซอบเข้าไปในนั่ง ส่วนตัวเขาเองก็นั่งลงข้างๆ อินซอบและปิดประตู พื้นที่ของที่จอดรถที่ถูกปิดทั้งสามด้าน และผ้าคลุมรถทำให้ภายในรถกลายเป็นพื้นที่ปิดโดยสมบูรณ์
“มานี่เร็วครับ”
อีอูยอนดึงอินซอบมากอดไว้ข้างตัว รถยนต์คันนี้เป็นรถซีดานที่ได้ชื่อว่ามีพื้นที่ตรงเบาะหลังกว้างจนผู้ชายที่โตเต็มวัยสามารถยืดขาทั้งสองข้างได้โดยที่ยังเหลือที่ อีอูยอนจับอินซอบมานั่งตัก และปลอบให้หยุดร้องไห้อย่างอ่อนโยนเหมือนปลอบเด็ก
“อย่าร้องนะครับ คุณอินซอบ ไม่เป็นไรแล้วนะ”
แม้อินซอบจะพยักหน้า แต่การร้องไห้ที่เกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่งกลับไม่หยุดง่ายๆ หยดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตากลมโตโดยไม่หยุดพัก
อีอูยอนไม่ชอบเห็นใครร้องไห้และเกลียดเสียงร้องไห้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะมันเป็นสภาพที่แสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมามากที่สุด
แต่ว่านี่มัน
“ฮึก…ขอโทษครับ”
ใบหน้าของอินซอบเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
ใต้ตาที่แดงก่ำ ขนตายาวที่เปียกชุ่ม และริมฝีปากที่สั่นเล็กน้อย
อินซอบร้องไห้ได้สวยจนแค่เห็นภาพตอนร้องไห้เขาก็แข็งแล้ว แต่มันไม่จบแค่นั้น
“ผมเป็นแบบนั้น เพราะ…เพราะตกใจครับ เดี๋ยวผมจะหยุดแล้วครับ…ฮึก”
ช่วงล่างของเขาไม่ได้ปวดหนึบแค่อย่างเดียว แต่ทุกครั้งที่อินซอบร้องไห้ เขาจะรู้สึกปวดใจจนหายใจลำบาก
แม่งเอ๊ย สมองใช้การไม่ได้อย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง
อีอูยอนถอนหายใจและซุกหน้าลงกับไหล่ของอินซอบ เขากอดแผ่นหลังของอินซอบไว้แน่นและปลอบเบาๆ ว่าอย่าร้องไห้
เขารู้สึกว่าอินซอบพยักหน้าเบาๆ อีอูยอนลูบหลังของอินซอบและรอให้หยุดร้องไห้
เสียงร้องไห้ที่สะอึกสะอื้นอยู่สักพักค่อยๆ เบาลง แม้การร้องไห้จะหยุดลงไปแล้ว แต่ความอับอายก็ทำให้อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้
“ร้องเสร็จแล้วหรือยังครับ”
“…ครับ”
“กลัวคังยองโมขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เปล่าครับ”
อินซอบส่ายหน้า ความรู้สึกเกี่ยวกับคังยองโมเป็นความรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าความกลัว ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือเขาไม่อยากให้คังยองโมยุ่งเกี่ยวกับอีอูยอน เขากลัวว่าฝ่ายนั้นจะทำให้ชีวิตของอีอูยอนพัง
“ทำไมถึงกลัวขนาดนั้นล่ะครับ”
อีอูยอนพูดเหมือนแหย่เล่น
“ไม่ใช่นะครับ”
แม้อินซอบจะพยายามค้าน แต่เขาก็ไม่มีพลังโน้มน้าวใจมากพอหลังจากที่เพิ่งร้องไห้งอแง อีอูยอนลูบหลังอินซอบอยู่ตลอดเวลา
“…โล่งอกไปทีนะครับที่คุณอีอูยอนไม่ได้บาดเจ็บ”
อีอูยอนจ้องมองคนที่เป็นห่วงตนจากใจจริงโดยไม่พูดอะไร คำพูดที่อินซอบพูดว่าเป็นห่วงตนโดยไม่จำเป็นนั้น ต่อให้ฟังอีกกี่รอบเขาก็ยังชอบอยู่ดี เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่อ่อนแอ ไม่เก่งพอ และต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนปกติ
“ทำยังไงดีล่ะครับ เสื้อผ้าพังหมดเลย”
อินซอบมองเสื้อไหมพรมที่เปื้อนกาแฟเต็มไปหมดพลางขมวดคิ้ว
“ทำยังไงดีล่ะครับ คุณอินซอบช่วยอมให้ได้ไหมครับ”
“ครับ ผมจะอมให้ครับ”
อินซอบรีบเงยหน้าขึ้นมาพูด เขาสบตากับอีอูยอน หลังจากกะพริบตาอยู่หนึ่งครั้ง อินซอบถึงตระหนักได้ว่าตัวเองเลือกใช้คำผิด
“…ผมจะเอาไปซักให้ครับ”
แม้เขาจะรีบแก้ แต่อีอูยอนก็ยิ้มตาหยีกลับมาให้ก่อนแล้ว
“ตอนที่เห็นว่าคังยองโมแตะต้องคุณอินซอบ ผมอยากจะฆ่ามันให้ตายไปเลยล่ะครับ”
ทันทีที่ได้ยินว่าอินซอบคิดจะไปเดท อีอูยอนก็ไปที่ห้องของกรรมการผู้จัดการคิมเพื่องัดลิ้นชักโต๊ะทำงานที่ถูกล็อกเอาไว้ และหยิบกุญแจรถยนต์ออกมา อีอูยอนมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งในขณะที่เดินลงบันได ท้องฟ้าแจ่มใส เขาไม่เข้าใจคำพูดที่ว่าถ้าอากาศดี อารมณ์ก็จะดีไปด้วย เพราะอากาศก็เป็นแค่สภาพของดินฟ้าอากาศเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบที่อินซอบวางแผนจะไปเดทเพราะอากาศดี อีอูยอนเดินลงบันไดอย่างว่องไว
แต่ตอนที่เขาเข้ามาในออฟฟิศ เขาก็ต้องสงสัยในสายตาของตัวเองไปพักหนึ่ง คังยองโมกำลังตีแก้มอินซอบเบาๆ และทำเหมือนเล่นของเล่น เขาเดินเข้าไปหาคังยองโม แม้จะอยากผ่ากบาลของไอ้นั่นเป็นสองซีกตรงนั้น แต่เขาก็คิดว่าจะเก็บไว้เป็นความสนุกทีหลัง
“แต่ผมก็ทนไว้ครับ”
การที่เขาใช้ตัวบังกาแฟที่สาดใส่อินซอบเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติ หลังจากที่โดนกาแฟสาด อีอูยอนก็ต้องควบคุมลมหายใจอยู่พักหนึ่ง ความคิดภายในหัวถูกจัดการอย่างสุขุม แต่เขาคิดเหตุผลที่จะไม่ฆ่าคังยองโมให้ตายเดี๋ยวนี้ไม่ออกเลย แล้วเขาก็สบตากับอินซอบในจังหวะที่กำลังจะเลือกหยิบเก้าอี้ขึ้นมาฟาดหัวคังยองโมพอดี
“…ผมอดทนอย่างยากลำบาก”
ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะร้องไห้ ด้วยดวงตาคู่นั้นอีกฝ่ายทั้งกลั้นร้องไห้และรั้งเขาไว้ในเวลาเดียวกัน เขาคิดว่าถ้าอีกฝ่ายต้องการ ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งเขาก็จะทนไว้
อีอูยอนเสยผมของที่เปียกชื้นของอินซอบขึ้น และกดจูบลงบนเปลือกตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้
“เก่งมากครับ”
อินซอบลังเลก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของอีอูยอนและลูบเบาๆ เหมือนเด็กที่ลูบหัวของสัตว์ร้ายทั้งที่ตัวสั่นเทา อีอูยอนกลั้นหัวเราะ
“เพราะฉะนั้นคุณช่วยทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การนำไปส่งซักให้หน่อยนะครับ ขอร้องล่ะครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วโป้งกดริมฝีปากของอินซอบเบาๆ พลางพูด อินซอบหน้าแดง และแดงไปจนถึงต้นคอ
“ขะ ข้างนอก…”
“ไม่มีใครมาตรงนี้หรอกครับ แล้วก็มองไม่เห็นด้วย”
อีอูยอนหยิบกุญแจรถออกมาล็อกประตู
“ไม่มีคนเข้ามาด้วยครับ”
“…”
อีอูยอนทำหน้าเคร่งเครียดและเอ่ยถามว่า ‘ไม่ชอบเหรอครับ’
“ปะ เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น…”
อินซอบก้มหน้าและพูดพึมพำ มันนานมากแล้วจริงๆ นี่เกือบจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำหลังจากที่เขาขอไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวข้างนอก เขาควรจะปฏิเสธ นั่นเป็นหน้าที่หลักในฐานะผู้จัดการส่วนตัว แม้จะคิดแบบนั้น แต่เขาก็อดดีใจไม่ได้ที่อีอูยอนต้องการเขา
…คนเราสามารถโง่ขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ
อินซอบกำชายเสื้อของอีอูยอนเอาไว้ในขณะที่คิดทบทวนถึงความละอายใจ
“มองไม่เห็นจากด้านนอกจริงๆ ใช่ไหมครับ”
อินซอบเอ่ยถามเสียงค่อยในขณะที่หลุบตามองด้านล่างด้วยความกังวลใจ
“อย่ากังวลเลยครับ”
เพราะถ้าใครมาเห็น ก็น่าจะต้องโดนควักลูกตาทิ้ง
อีอูยอนเก็บคำพูดต่อท้ายเอาไว้ และใช้นิ้วกดริมฝีปากของอินซอบ อินซอบอ้าปากอย่างช้าๆ อีอูยอนสอดนิ้วชี้เข้าไปในปากของอินซอบ ขนตาของอินซอบสั่นระริก
“ของที่ใหญ่กว่านี้จะถูกใส่เข้าไปนะครับ ถ้าแค่นิ้วยังลำบาก แล้วจะทำยังไงล่ะครับ”
มีความปรารถนาที่รุนแรงแฝงอยู่ในคำพูดที่ฟังดูเหมือนกับความเป็นห่วงที่อ่อนโยน อีอูยอนใช้มือข้างหนึ่งจับคางของอินซอบไว้เพื่อไม่ให้ปิดปาก และเพิ่มจำนวนนิ้วที่ใส่เข้าไปในปากเรื่อยๆ
ของเหลวที่ไม่สามารถกลืนลงไปได้ไหลลงมาตามคางของอินซอบ อีอูยอนดึงมือของอินซอบมาไว้ที่กางเกงของตัวเอง แก่นกายที่แข็งขืนด้วยความคาดหวังเผยถึงการมีอยู่ของมันผ่านเนื้อผ้า
“ช่วยเลียให้ทีนะครับ”
อีอูยอนถูมือของอินซอบกับเครื่องเพศของตัวเองพร้อมกับขอร้องอย่างสุภาพ อินซอบพยักหน้า พออีอูยอนถอนนิ้วออกไป อินซอบก็ลงไปนั่งคุกเข่าตรงด้านล่างของเบาะรถ
เขานึกถึงคำยืนกรานของกรรมการผู้จัดการคิมที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอนพูดถึงคุณค่าของพื้นที่ระหว่างเบาะหน้ากับเบาะหลังของรถซีดานคันนี้ เพราะคำดูถูกที่ว่าทำไมถึงต้องใช้เงินขนาดนั้นในการซื้อรถคันหนึ่ง
“มีคุณค่าจริงๆ ด้วยครับ”
“ครับ?”
“เปล่าครับ ทำต่อเถอะครับ”
อีอูยอนว่าพลางลูบหัวอินซอบ ในตอนที่อินซอบยื่นมือออกมาราวกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว เสียงโทรศัพท์ก็ดังแทรกความเงียบขึ้นมา อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือของอินซอบออกมาจากกระเป๋า และรับสายแทนอินซอบที่ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจไปแล้ว
“ว่าไงครับกรรมการผู้จัดการ”
[อีอูยอน…!]
“ผมไม่ได้ฆ่าครับ แล้วก็จะไม่ฆ่าด้วย แต่ถ้าโทรศัพท์มาหลังจากนี้ ผมอาจจะเปลี่ยนใจฆ่านะครับ”
อีอูยอนวางสายไปก่อนที่กรรมการผู้จัดการคิมจะทันได้พูดต่อ และปิดเครื่อง