ตอนที่ 213 เจ็บป่วยกะทันหัน
หลินม่ายเพิ่งออกไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบและเตรียมทำอาหารอร่อยๆ ตอนเที่ยง
ในฤดูร้อนควรกินเนื้อเป็ดเพื่อล้างความร้อนและขับพิษ
หลินม่ายจึงซื้อเป็ดอ้วนสองตัวในคราวเดียวและทำเป็ดต้มสองตัว
ตัวหนึ่งเธอกินกับพวกคุณปู่ฟางในตอนเที่ยง อีกหนึ่งตัวนำไปให้คุณยายเถียนและหลานชายในตอนบ่าย
นอกจากนี้ก็ถือโอกาสมาดูว่าจะมีอันตรายอะไรที่บ้านของพวกเขาขณะฝนตกหนักหรือไม่ ถ้ามีก็จะได้แก้ไขได้ในทันท่วงที
คุณยายเถียนและหลานเป็นคนแก่และเด็ก หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามรถรับมือได้
โชคดีที่คุณยายเถียนและหลานชายอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ ที่ตั้งของบ้านใหม่ค่อนข้างสูงและไม่มีเนินเขาด้านหลัง ดังนั้นจึงไม่มีโคลนถล่ม หลินม่ายจึงรู้สึกโล่งใจ
สองวันผ่านไปในพริบตาเดียว ฝนก็มีแต่จะตกหนัก
หลินม่ายถือร่มมองไปที่แม่น้ำอวี้ไต้สองครั้ง ระดับน้ำก็สูงขึ้นทุกครั้ง
เธอรู้สึกไม่สบายใจและไปที่หน่วยราชการเพื่อรายงานเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม หน่วยราชการไม่มีเวลาคำนึงถึงอันตรายของแม่น้ำอวี้ไต้ เนื่องจากอยู่ภายใต้แรงกดดันเรื่องจากการควบคุมน้ำที่ต้นสาย
นอกจากนี้พวกเขายังไม่คิดว่าแม่น้ำอวี้ไต้จะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
ในสายตาของเขา แม่น้ำอวี้ไต้เป็นเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ ไม่เคยมีสถานการณ์อันตรายมาก่อนและคงไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจมากนัก
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีการออกเอกสารไปยังหมู่บ้านหยางหลิวและหมู่บ้านอวี้ไต้ เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านเสริมการควบคุมน้ำท่วม
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับรถแทรกเตอร์ไปที่หน่วยงานภาคสนามของรัฐ เพื่อซื้อกระสอบทรายจำนวนมากด้วยเงินเธอเอง
ในกรณีที่เกิดอันตรายในแม่น้ำอวี้ไต้หรือหมู่บ้านหยางหลิว สามารถใช้กระสอบทรายเพื่อเสริมแนวกั้นเขื่อนได้
หลังจากซื้อกระสอบทรายแล้ว หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์ไปที่หมู่บ้านอวี้ไต้ เพื่อมอบกระสอบทรายให้กับพวกเขา ให้พวกเขาได้ใช้มันทุกเมื่อที่ต้องการโดยไม่มีการรอช้า
ทันทีที่รถแทรกเตอร์แล่นเข้าไปในหมู่บ้าน หลินม่ายก็เห็นทั้งหมู่บ้านอยู่ในความโกลาหล
ต่งเค่อเฉียงและเจ้าหน้าที่หมู่บ้านวิ่งและตะโกนโดยสวมชุดกันฝนและถือโทรโข่ง ระดมคนหนุ่มสาวและวัยกลางคนไปรวมตัวกับหัวหน้าหมู่บ้านทันที เพื่อเข้าร่วมการช่วยเหลือฉุกเฉิน
เจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านหลายแห่งได้จัดศูนย์พักพิงขนาดใหญ่สำหรับชาวบ้าน
“ทุกคนวิ่ง วิ่งขึ้นที่สูงให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขื่อนหลายแห่งกำลังจะแตก ถ้าไม่วิ่งมันจะสายเกินไป!”
แม้ว่าเจ้าหน้าที่หมู่บ้านจะตะโกนเสียงแหบเสียงแห้ง แต่ชาวบ้านก็ทิ้งเป็ดไก่และหมูของพวกเขาไม่ลง พยายามคิดหาวิธีที่จะพาพวกมันออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนไหวช้า
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านหลายคนโกรธจัด หัดดูเวล่ำเวลาด้วยสิ ยังจะไม่ยอมทิ้งกันอีก!
หลินม่ายรีบขับรถแทรกเตอร์ไปที่ด้านข้างของต่งเค่อเฉียงและหยุดรถ ถามเสียงจริงจังว่า ”เกิดอะไรขึ้น มีอันตรายอะไรหรือเปล่าคะ?”
ต่งเค่อเฉียงยุ่งมาก ในตอนแรกไม่ได้คิดที่จะคุยกับเธอ
แต่เมื่อเห็นกระบะหลังรถของเธอเต็มไปด้วยกระสอบทราย ดวงตาเขาก็เป็นประกายและพยักหน้า “ใช่!”
จากนั้นก็พูดว่า “เอากระสอบทรายของคุณมาให้เราก่อน แล้วเราจะจ่ายให้คุณทีหลัง!”
เดิมทีเธอซื้อกระสอบทรายเหล่านี้มาให้พวกเขาอยู่แล้ว หลินม่ายจึงไม่ได้คัดค้าน
เธอขับรถแทรกเตอร์ตรงไปยังแม่น้ำอวี้ไต้ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถบรรทุกกระสอบทรายเพื่อเสริมทำนบได้
ตราบเท่าที่ทำนบดินแข็งแรงขึ้น อันตรายก็จะหมดไปและรักษาหมู่บ้านไว้ได้
ไก่เป็ดห่านและหมูที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้จะไม่จมน้ำ และข้าวที่เก็บไว้ในยุ้งก็จะไม่ถูกกระแสน้ำพัดหาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านที่สร้างด้วยอิฐโคลนอาจไม่พังเสียหาย ซึ่งสามารถลดความสูญเสียของชาวบ้านได้
สำหรับทรัพย์สินของทั้งหมู่บ้าน ภายใต้การนำของต่งเค่อเฉียง คนหนุ่มสาวและวัยกลางคนของหมู่บ้านอวี้ไต้ต่างพากันฝ่าลมแรงและฝนตกหนัก แบกกระสอบทรายลงจากรถแทรกเตอร์ของหลินม่าย พยายามอย่างยิ่งที่จะปิดกั้นอันตรายที่กำลังจะมา
หลินม่ายกระโดดลงจากรถแทรกเตอร์และแบกกระสอบทรายสู้น้ำท่วม
ชาวบ้านต่อสู้กันนานกว่าสองชั่วโมง และในที่สุดก็แก้ไขอันตรายที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่คนของหมู่บ้านหยางหลิวกำลังร้องขอความช่วยเหลือที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
กระสอบทรายเหลือไม่มาก หลินม่ายจึงทิ้งกระสอบทรายทั้งหมดลงพื้น ขับรถไปที่หน่วยงานภาคสนามของรัฐอีกครั้ง และบรรทุกกระสอบทรายกลับมาอีกรอบ
ชาวบ้านของทั้งสองหมู่บ้านต่างร่วมมือกันช่วยหมู่บ้านหยางหลิวแก้ไขสถานการณ์อันตราย
จากนั้นต่งเค่อเฉียงก็สูดลมหายใจ เช็ดฝนที่ใบหน้า เลี้ยงข้าวเย็นหลินม่ายอย่างมีไมตรีจิต พร้อมกล่าวขอบคุณเธอ
หากเธอไม่มาเตือนพวกเขาก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่หมู่บ้านเหล่านี้คงไม่ได้ออกตรวจแม่น้ำอวี้ไต้ทั้งกลางวันและกลางคืนในทุกวัน และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจจับอันตรายได้ทันเวลา
ทันทีที่พบอันตราย พวกเจ้าหน้าที่หมู่บ้านก็แทบเข่าทรุดด้วยความตกใจ
ถ้าเขื่อนแตก ชาวบ้านจะอพยพกันไม่ทัน และจะมีคนเสียชีวิต
มีฝนตกลงมาหลายวันและอุณหภูมิลดลงอย่างมาก
หลินม่ายสวมเพียงชุดกระโปรงตัวเดียว ทั้งยังเปียกฝนและตัวสั่นจากความหนาวเย็น
ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยชาวบ้านสู้น้ำท่วม เธอคงขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่บ้านคุณปู่ฟางเพื่ออาบน้ำร้อน และดื่มชาร้อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว
หลังจากถูกแช่แข็งมาเป็นเวลานาน จิตใจไม่แจ่มใส จะไปมีความอยากอาหารเพื่อกินอาหารเย็นได้อย่างไร!
เธอจึงปฏิเสธอย่างเฉียบขาด และขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่บ้านของปู่ฟาง
คู่พ่อแก่แม่เฒ่าเห็นว่าเธอสกปรกไปทั้งตัว และริมฝีปากของเธอก็เป็นสีม่วงจากความหนาวเย็น ดังนั้นพวกเขาจึงรีบต้มน้ำขิงและต้มน้ำให้อาบ
ทันทีที่ต้มน้ำขิงเสร็จ คุณย่าฟางก็นำไปให้หลินม่ายทันที
หลินม่ายเกลียดการดื่มน้ำขิงจริงๆ แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจ ถ้าไม่ดื่ม ร่างกายคงจะเย็นเกินไป!
เธอฝืนทนต่อความร้อน ค่อยๆ ดื่มน้ำขิงถ้วยใหญ่ลงท้อง ในที่สุดก็รู้สึกอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ในเวลานี้ น้ำสำหรับอาบก็พร้อมแล้ว หลินม่ายรีบอาบน้ำร้อนจากฝักบัวก่อน แล้วค่อยเทน้ำลงอ่างขนาดใหญ่ให้ตัวเองแช่
ในตอนที่เธอกำลังจะถอดเสื้อผ้า โต้วโต้วก็วิ่งเข้ามาและพูดว่า “แม่ หนูขอถูหลังให้แม่ได้ไหมคะ?”
หลินม่ายยิ้มตอบรับ
เธอเปลื้องผ้าและลงไปในอ่าง ก่อนรู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเท้าซ้าย
หลินม่ายหายใจเข้าลึก ๆ นั่งลงในอ่างอาบน้ำแล้วเหยียดเท้าซ้ายออก
ปรากฎว่ามีบาดแผลบนหลังเท้าซ้ายของเธอ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นระหว่างการช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่เธอไม่ได้สังเกตในเวลานั้น
พอแผลโดนน้ำร้อนเข้าก็เลยแสบ
โต้วโต้วนั่งลงตรงเท้าของหลินม่าย ยื่นมือเล็กๆ ออกไปเพื่อสัมผัสบาดแผลอย่างระมัดระวัง และถามอย่างเป็นทุกข์ “แม่ เจ็บมากไหม?”
“เจ็บนิดเดียว แล้วก็เพิ่งจะเจ็บเอง”
เด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกโล่งใจแล้ว และถูหลังของเธออย่างแรง
หลังจากแช่ตัวในอ่างน้ำร้อนอย่างสบายเป็นเวลานาน หลินม่ายก็ฟื้นตัวในที่สุด
เมื่อกินอาหารเย็นที่คุณย่าฟางเตรียมไว้ให้แล้ว ทุกคนก็นั่งฟังวิทยุและพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ หลินม่ายที่เริ่มเหนื่อยจึงขอตัวไปนอน
หลังจากนั้นไม่นาน เด็กน้อยก็ปีนขึ้นไปบนเตียงและหลับไปข้าง ๆ เธอ
นอนหลับจนถึงช่วงเที่ยงคืน โต้วโต้วก็ถูกปลุกด้วยเสียงครวญครางของหลินม่าย
หล่อนถามด้วยความงุนงง “แม่ เป็นอะไรไป?”
หลินม่ายปิดตาและพูดอย่างอ่อนแรง “แม่มีไข้น่ะ หนูไปถามย่านะว่ามียาแก้หวัดไหม ถ้ามีเอามาให้แม่สองเม็ด”
โต้วโต้วตอบรับอย่างเชื่อฟัง ลงจากเตียงไปหาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
คนชรานอนหลับไม่ลึก ดังนั้นเมื่อโต้วโต้ววิ่งไปเคาะประตู ทั้งคุณปู่และคุณย่าฟางก็ตื่นขึ้น
คุณปู่ฟางลุกขึ้นเปิดประตู ลดศีรษะลงและถามด้วยความประหลาดใจ “นี่มันเที่ยงคืนแล้ว ทำไมมาที่นี่ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน”
โต่วโต้วเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “แม่มีไข้ หนูขอยาแก้หวัดจากปู่และย่าได้ไหมคะ”
คุณย่าฟางอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินในห้องก็ลุกขึ้นทันที “ฉันจะไปดู!”
เมื่อมาถึงเตียงของหลินม่าย นางก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายอันร้อนผ่าวของเธอ จึงรีบให้ยาแก้หวัดและน้ำขิงแก่เธอ
เมื่อหลินม่ายกินยาแก้หวัดและน้ำขิงก็อาเจียนออกมาทันที
คุณปู่ฟางเห็นว่าอาการไม่ดี เขาจึงยอมฝ่าฝนตกหนักไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน และส่งหลินม่ายไปศูนย์สุขภาพของเมือง
แพทย์ในแผนกฉุกเฉินของศูนย์สุขภาพประจำเมืองได้ทำการตรวจเบื้องต้น และคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางถามอย่างกระวนกระวาย “ม่ายจื่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
แพทย์ส่ายหน้า “สถานการณ์แย่มาก สงสัยว่าหล่อนจะมีภาวะติดเชื้อ ต้องรีบส่งตัวไปโรงพยาบาลใหญ่ทันที หล่อนอาจตกอยู่ในอันตรายหากล่าช้า”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทรหดมากม่ายจื่อ ใส่ชุดกระโปรงตากฝนไปแบกกระสอบทรายสู้น้ำท่วมเนี่ยนะ
ติดเชื้ออะไรที่มากับน้ำผ่านทางบาดแผลหรือเปล่าเนี่ย น่ากลัวเหมือนกันนะ
ไหหม่า(海馬)