บทที่ 754 บังอาจปล้นข้าหรือ
การเดินทางที่กินระยะเวลายาวนานถึงหนึ่งปีนั้นเป็นประโยชน์ต่อสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มาก พวกเขาสะสมทรัพยากรได้มากโข จนสามารถปลดหนี้และได้ทุนคืนจากการนำมาสร้างเรือบินรบเมื่อหนึ่งปีก่อนอย่างแน่นอน รวมถึงหลังจากที่จัดการสะสางภาระเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ก็จะยังมีทรัพย์สินเงินทองเหลืออยู่มากกว่าเงินที่ใช้ไปก่อนออกเดินทางหลายเท่า
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจยอมให้ดวงเนตรหมื่นปีศาจเลือกจุดหมายปลายทาง แทนที่จะกำหนดทางที่จะไปด้วยตนเอง สถานที่ที่พวกเขาไปเป็นบริเวณใหม่ที่ไม่เคยมีสำนักไหนค้นพบมาก่อน แน่นอนว่าทางเลือกสุ่มเสี่ยงนี้มีอันตรายรออยู่มากมาย แต่ด้วยการผนึกกำลังกันของหวังเป่าเล่อและเต๋อคุนจื่อ พวกเขาจึงสามารถรอดพ้นภัยอันตรายมาได้โดยแทบไม่มีรอยขีดข่วน
ทรัพย์สมบัติมากมายที่เก็บสะสมได้จะกลายมาเป็นภัยอันตรายกับพวกเขาอย่างแน่นอนทันทีที่กลับดาวบ้านเกิดไปได้และเริ่มจัดการทรัพย์สิน นอกจากนี้ปัญหาในตอนนี้ยังเป็นเรื่องการเก็บสมบัติอีกด้วย หวังเป่าเล่อต้องเปิดพื้นที่ในเรือบินรบของเขาให้ใช้เก็บข้าวของ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเก็บเรือบินรบเข้ากระเป๋าไม่ได้เหมือนเคย เรือบินรบแสนยิ่งใหญ่ของเขาจึงต้องเปิดเผยรูปโฉมให้ประชาชีได้ชม
หวังเป่าเล่อเป็นกังวลว่าการเปิดเผยฐานะที่ร่ำรวยเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาตามมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากพยายามทำให้หน้าตาเรือบินรบดูเก่าโทรมที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้เขายังพยายามเก็บของที่ล้ำค่าที่สุดไว้ในกระเป๋าตนเองและกระเป๋าเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ด้วย
เมื่อจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เต๋อคุนจื่อก็จัดการปลุกพลังของดวงเนตรหมื่นปีศาจขึ้น จากนั้นพวกเขาทุกคนและเรือบินรบก็พุ่งผ่านลำแสงเจิดจ้าอันเป็นสัญญาณการเริ่มต้นการเคลื่อนย้าย แสงสว่างจุดให้ห้วงอวกาศสว่างไสว พร้อมด้วยเสียงดังสะเทือนแน่นในหู ผู้ฝึกตนจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และเรือบินรบของพวกเขาอันตรธานหายไปในพริบตา
พวกเขามาปรากฏตัวอีกครั้งที่ดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
ภาพที่คุ้นตาของดวงดาวและดาวเคราะห์บ้านเกิดทำให้ทุกคนบนเรือรู้สึกตื่นเต้นดีใจ เมื่อคิดถึงทรัพย์สมบัติที่ตนเองหามาได้ในคราวนี้ จิตใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวัง
หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน แต่ความตื่นเต้นของเขาไม่ได้มาจากการที่ได้กลับมาถึงดาวเอก แต่เป็นความต้องการกระบวนเวทซึ่งเป็นของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาไม่สนใจดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในดวงเนตรปีศาจแม้แต่น้อย ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใด วิชาแห่งศาสตร์มืดของเขาก็สยบมันไว้ได้เสมอ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือการได้ภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจมาไว้ในครอบครอง มันจะทำให้พลังปราณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ช่วยให้เขาก้าวผ่านขั้นเชื่อมวิญญาณไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะ และบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ได้ในที่สุด!
หากมีกระบวนเวทนั้น บวกกับความเร็วในการพัฒนาขั้นปราณของวิชาดวงเนตรปีศาจ ภายในไม่กี่วันข้าย่อมบรรลุระดับดาวพระเคราะห์แน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยังคงระวังตัวไม่ยอมวางใจง่ายๆ จากที่เขาทราบทั้งวิชาดวงเนตรปีศาจและวิชาดวงเนตรสวรรค์สามารถใช้เพิ่มพลังปราณของเขาในความเร็วที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต้องมีพลังการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน พลังของพวกเขาอาจถูกสามสำนักใหญ่สะกดเอาไว้ จึงทำให้ก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุดผ่านการสังหารหมู่เพื่อยึดอำนาจไม่ได้ แต่พลังที่สั่งสมย่อมต้องมีมากมายอย่างแน่นอน
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเองนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดเต๋อคุนจื่อก็กำลังกลัดกลุ้มกับปัญหาของตนอยู่เช่นกัน ดวงวิญญาณของเขาถูกตราเอาไว้ด้วยผนึกที่ทำให้เขากลายเป็นข้ารับใช้ การปลอบใจตนเองและหลอกตนเองอย่างไม่ย่อท้อทำให้เขาคิดได้…ว่าการได้เป็นข้ารับใช้แห่งราชวงศ์นั้นเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่เพียงใด!
เขาเปลี่ยนความรู้สึกอดสูจากการถูกจองจำให้เป็นทาส โดยการพร่ำบอกกับตนเองว่านี่เป็นเกียรติสูงสุดในชีวิต เสียงของเต่อคุนจื่อที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเรากลับมาถึงบ้านแล้ว ต่อไปก็เพียงต้องระวังขณะเดินทางกลับไปดาวเอกเท่านั้น ข้าว่าคงไม่มีปัญหาอันใดหรอก!”
ในตอนนั้นเอง เรือบินรบสองลำของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ระเบิดความเร็วโดยฉับพลัน มุ่งหน้าพุ่งตรงไปยังทิศที่ดาวเอกของระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ตั้งอยู่
อาณาเขตของอารยธรรมถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนตามสำนักที่เป็นผู้ปกครองสูงสุด โดยมีดาวเอกตั้งอยู่ตรงกลาง พื้นที่รอบดาวเอกถูกหั่นออกเป็นสามบริเวณด้วยกัน พื้นที่ว่างโล่งขนาดมหึมาที่ล้อมรอบดาวเอกไว้เป็นที่ที่เอาไว้จองจำสมาชิกราชวงศ์ และถือเป็นพื้นที่สาธารณะของอารยธรรม
จุดที่มีดารานิรันดร์อยู่ไม่ได้เป็นของสำนักใดสำนักหนึ่ง แต่อยู่ในพื้นที่สาธารณะของอารยธรรม ด้วยเหตุนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จึงวางแผนการเดินทางกลับบ้านให้อยู่ในพื้นที่สาธารณะเสียเป็นส่วนมาก
ด้วยความที่พื้นที่นี้เป็นสาธารณะ จึงมีเรือบินรบเหาะกันขวักไขว่เป็นประจำทุกวัน ซึ่งแปลว่าอันตรายจากการปล้นชิงนั้นมีมาก ความตึงเครียดระหว่างสามสำนักถูกกดทับไว้ นานๆ จะระเบิดออกมาให้เห็นกันสักที แต่ต่อให้แทบไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ความขัดแย้งก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อมีกองทหารของสามสำนักใหญ่เข้ามาพัวพันด้วย
สำหรับสำนักเล็กอย่างสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ การจะเดินทางให้ปลอดภัยนั้นทำได้ง่ายๆ ด้วยการจ่ายค่าผ่านทางเท่านั้น สำนักใหญ่ๆ ไม่ค่อยทำให้ชีวิตของพวกเขายุ่งยากมากนักหากจ่ายค่าธรรมเนียมตามสมควร นี่คือหนึ่งในกฎที่ทุกคนรู้ดีแต่ไม่มีใครพูดในอารยธรรมแห่งนี้ การชำระค่าธรรมเนียมทำนองนี้ถือเป็นหนึ่งในรายได้ที่ทำให้กองทหารของสำนักทั้งสามเดินหน้าต่อไปได้
หวังเป่าเล่อทราบเรื่องนี้มาจากเต๋อคุนจื่อ ระหว่างทางกลับพวกเขาเจอกองทหารของสามสำนักใหญ่ถึงสามครั้ง ทุกครั้งเต๋อคุนจื่อจะจ่ายค่าผ่านทางให้กองทหารด้วยท่าทีชำนาญ จึงทำให้การเดินทางกลับสำนักของพวกเขายังไม่มีเรื่องมารบกวน ทุกคนมุ่งหน้าเข้าใกล้ดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ขึ้นเรื่อยๆ
แต่โชคลาภของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเหือดแห้งไปในตอนที่อยู่ห่างจากดาวเอกไปเพียงสองวันเท่านั้น พวกเขาเผชิญกับกองทหารขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยเรือบินรบหน้าตาประหลาดเจ็ดแปดลำ เรือบินรบเหล่านั้นดูเหมือนหนวดหมึกที่สร้างมาจากวัตถุดิบพิเศษ เป็นการหลอมรวมระหว่างสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติกับชิ้นส่วนที่สร้างขึ้น
เรือบินรบหน้าตาเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากยิ่งกระทั่งในหมู่กองทหารของสามสำนักใหญ่ มีเพียงกองทหารที่ทรงพลังที่สุดสิบอันดับแรกของสำนักหลักเท่านั้นที่จะมีเรือบินรบเช่นนี้เอาไว้ในครอบครอง เรือบินรบหน้าตาเหมือนหนวดหมึกเหล่านี้ทรงพลังกว่าเรือบินรบทั่วไป แม้จะไม่เทียบเท่าเรือบินรบเวทที่ขับเคลื่อนได้โดยผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็ถือได้ว่าใกล้เคียงเลยทีเดียว
สามครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาเผชิญกับกองทหารจากสามกลุ่มอำนาจหลักเช่นกัน แต่พลังในการรบของคนเหล่านั้นเทียบอะไรไม่ได้กับเรือบินรบหน้าตาประหลาดที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้
แม้แต่เต๋อคุนจื่อยังอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นเรือบินรบเหล่านี้เข้า แม้จะดูทรุดโทรมไปบ้างราวกับเพิ่งผ่านศึกหนักมา แต่พลังทำลายล้างที่เรือบินรบเหล่านี้ปล่อยออกมา ก็ทำให้ทุกคนในเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์รู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจ
ต้นเหตุของความกลัวก็คือ…พลังของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแปดคนที่แผ่ออกมาจากเรือบินรบซึ่งดูเหมือนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล พลังรุนแรงไหลเข้าท่วมบริเวณโดยรอบราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถม
มีความโกรธเกรี้ยวแฝงอยู่ในพลังรุนแรงนั้น ราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสุนัขป่าที่หิวโหยซึ่งเพิ่งกลับมาจากสนามรบ มันพ่ายแพ้ในศึกครั้งก่อนหน้า และกำลังโกรธเคืองถึงที่สุดกับความปราชัยนั้น ทุกสิ่งมีชีวิตที่โชคร้ายมาขวางทางมันเข้า จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผู้โชคร้ายที่ต้องรับชะตากรรมของโทสะนั้นไป
“กองทหารมังกรหยดหมึกแห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!” เต๋อคุนจื่อมีความรู้มากกว่าใครเพื่อนในเรื่องกองทหารอันมีชื่อเสียงภายใต้สามสำนักใหญ่ ความรู้สึกไม่สบายใจพัดโหมเข้ามาในใจทันทีที่เขาเห็นเรือบินรบหน้าตาเหมือนหมึกยักษ์เบื้องหน้า
เขาพูดเสียงเบา “กองทหารมังกรหยดหมึกแข็งแกร่งเป็นลำดับเจ็ดของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เป็นกองทหารที่ขึ้นชื่อโหดเหี้ยมอำมหิตและบ้าเลือดเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังไร้เหตุผลอีกด้วย ผู้นำของกองทหารนี้…เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ! ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะเจอเรื่องไม่ค่อยดีมา พวกเราควรเดินหมากอย่างระมัดระวัง”
หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาสัมผัสได้ถึงพลังขั้นเชื่อมวิญญาณที่ไหลบ่าออกมาจากเรือบินรบหมึกยักษ์ พลังนั้นมีทั้งหมดแปดกระแสด้วยกัน ห้ากระแสแรกอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น ส่วนอีกสามกระแสที่เหลืออยู่ในชั้นกลาง เขาไม่สนใจแปดคนนี้มากนัก เป็นผู้นำของกองทหารนี้และสำนักที่คุ้มศีรษะของพวกเขาอยู่ต่างหาก ที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถต่อกรด้วยได้ในตอนนี้
“ให้พวกเขาผ่านไปก่อน!” หวังเป่อเล่อหรี่ตา พูดออกคำสั่งในทันที เต่อคุนจื่อเองก็เห็นด้วย เขาบังคับเรือบินรบให้หลบลงเบื้องล่างเรือบินรบหมึกยักษ์ ราวกับกำลังค้อมคำนับผู้ทรงอำนาจกว่ากระนั้น กองทหารมังกรหยดหมึกพุ่งทะยานผ่านพวกเขาไปด้วยความแข็งแกร่งทรงพลัง
เต๋อคุนจื่อมองเรือบินรบที่พุ่งทะยานผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างไม่สนใจใยดีแล้วก็กำลังจะถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งกำลังมองกองทหารอย่างไม่วางตาเริ่มมุ่นคิ้ว
หนึ่งในเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึกหยุดอยู่กลางอวกาศ ทันใดนั้น เสียงจากสัมผัสสวรรค์ก็ประกาศออกจากเรือบินรบที่หยุดนิ่งนั้น มันทะลุทะลวงผ่านเข้ามาในเรือบินรบสองลำของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างรุนแรง และเข้าท่วมท้นจิตสัมผัสของทุกคนอย่างไร้ความปราณี
“พวกข้าจะยึดทุกอย่างที่พวกเจ้าหามาได้ ส่วนพวกเจ้าก็เชิญ…ไสหัวไปซะ!”
เสียงนั้นเปรียบเสมือนระเบิดที่ปะทุออกมาในจิตใจของทุกคน ต่างคนต่างมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยิน ใบหน้าของเต๋อคุนจื่อกลายเป็นสีแดง ความโกรธโหมกระพือขึ้นในจิตใจอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีแววตาเย็นเยียบคมปลาบ
“นายท่านขอรับ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นเพียงสำนักย่อยที่ยอมศิโรราบให้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ พวกเราเทียบพวกเขาไม่ติดแม้แต่น้อย…นอกจากนี้พวกเรายังอยู่ในพื้นที่สาธารณะอีกด้วย หากเราเปิดฉากโจมตีก่อนอาจพอมีโอกาสชนะเล็กน้อย แต่ผู้นำกองทัพนี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ…” เต๋อคุนจื่อสูดหายใจเข้า โยนความโกรธของตนเองทิ้งไปทันทีเมื่อเห็นประกายเย็นเยือกในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขารีบส่งข้อความไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อพยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดเป็นอันมาก เนื่องจากโดยปกติแล้วเขาเป็นฝ่ายปล้นผู้อื่นตลอด แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกที่กลายมาเป็นฝ่ายถูกปล้นเสียเอง สิ่งที่เต๋อคุนจื่อพูดนั้นมีเหตุผล พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์โดยตรง หากพยายามต่อกรกับศัตรูเพื่อแย่งชิงทรัพยากรในตอนนี้ แรงสนับสนุนจากสำนักใหญ่ที่คุ้มหัวพวกเขาอยู่ต้องลดน้อยถอยลงแน่นอน
ชายหนุ่มรู้สึกปวดใจกับทรัพยากรที่พวกเขากำลังจะสูญเสียไป เมื่อลองชั่งข้อดีข้อเสียดูแล้วเขาก็สูดหายใจเข้าลึก แต่ก่อนที่จะได้ประกาศความคิดของตนเองออกไปนั้น…ประกาศจากสัมผัสสวรรค์จากเรือบินรบลำที่สองของกองทหารมังกรหยดหมึกก็มาถึงอีกครั้ง เสียงนั้นแข็งกร้าวอันธพาลกว่าเสียงแรกมากนัก ไม่ต่างจากพายุร้ายที่เริ่มก่อตัว
“เรือบินรบลำนี้น่าสนใจดี ถือว่าเป็นของข้าก็แล้วกัน!”
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองอย่างช้าๆ เขาไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหน้าทนการโดนยั่วยุได้ง่ายๆ ประกายเย็นวาบเข้ามาในแววตาทันทีที่ได้ยินเสียงเยาะเย้ยนั้น ชายหนุ่มพลันหัวเราะออกมา
อยากได้เรือบินรบของข้ารึ ต่อให้พวกเจ้ามีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคุ้มกะลาหัวอยู่แล้วอย่างไรเล่า คิดว่าคนอย่างข้าจะกลัวหัวหดหรืออย่างไร